บทที่ 67 มรรคากระแสแห่งการรู้แจ้ง
บทที่ 67 มรรคากระแสแห่งการรู้แจ้ง
หนึ่งเดือนต่อมา ณ จุดสูงสุดของเทือกเขาวงจันทรา
เฉินซีถือกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเขา ภายใต้การจ้องมองของจี้อวี๋ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าก่อนจะสะบัดข้อมือออกกระบวนท่าเงาวายุพริบตา!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ริ้วกระบี่คมกริบนับไม่ถ้วนเป็นดั่งคลื่นที่ซัดเข้าหากันเมื่อเสียงลมและเสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานด้วยเสียงครวญคราง สวรรค์และโลกราวกับเต็มไปด้วยแสงเย็นยะเยือกและพร่างพรายซึ่งว่องไวราวกับเงา
วิ้ง!
ปราณกระบี่ส่องประกาย และภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
ปราณกระบี่เรียวเล็กพุ่งออกไปมากมายจนเกิดเป็นวงกลมระลอกคลื่นในอากาศ จากนั้นพวกมันก็สับก้อนเมฆที่ห่างไปสิบจั้งจนสลายกระจัดกระจายไปโดยสิ้นเชิง
นี่คือกระบวนท่าที่สองของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง!
“เด็กคนนี้ไม่เลว เขาสามารถใช้กระบวนท่าสายฝนโปรยปราย โดยแฝงจิตสังหารเอาไว้ในกระบวนท่านั้นได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแก่นแท้ของมันแล้ว” จี้อวี๋ที่ยืนอยู่ใกล้เคียงก็พยักหน้าเบา ๆ
กระบวนท่าที่สาม ‘วายุทมิฬ’ เมื่อออกกระบี่อย่างรวดเร็วไม่รู้จบ ทั้งหน้า หลัง ซ้าย ขวา ทั่วทุกทิศปรากฏภาพจำแลงกระบี่ที่หนาแน่นเหมือนหมู่เมฆ จากนั้นมันก็ปลดปล่อยปราณกระบี่หนาแน่นและรุนแรงปกคลุมท้องฟ้า
ท่าที่สี่ ‘วารีคลั่ง’ อำนาจของกระบี่นี้ถาโถมราวกับคลื่นสมุทรคลั่ง พลังของมันนับว่าแข็งแกร่งไร้ต้าน อีกทั้งยังเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระและรุนแรงราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้าหาฝั่ง
ฟู่ว!
เฉินซีหยุดและเก็บกระบี่ของเขาหลังจากใช้กระบวนท่าทั้งสี่ของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง จากนั้นเขาก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เพื่อสงบจิตใจและรวบรวมสมาธิ
“ไม่เลวทีเดียว เจ้าเชี่ยวชาญสี่กระบวนท่าแรกแล้ว” จี้อวี๋พยักหน้าและประเมิน “แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงกับบรรลุขั้นเอกภาพ เมื่อใดที่เจ้าเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว กระบี่ของเจ้าจะสามารถดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกมาใช้ได้ เท่านั้นจะถือว่าเป็นขั้นเอกภาพที่แท้จริง”
เฉินซีพยักหน้าและยอมรับคำสอนของจี้อวี๋
ต่อจากนั้น จี้อวี๋ก็เริ่มประเมินเคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวที่เฉินซีฝึกฝน
ทั้งสองมาถึงป่าไผ่เขียวขจีอันหนาแน่นที่อยู่ด้านหลังเทือกเขาวงจันทรา
“ป่าไผ่แห่งนี้กินพื้นที่ราวหนึ่งร้อยลี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือไปและกลับมา ห้ามแตะต้องลำต้นหรือใบไม้ใด ๆ ระหว่างทาง และปลายเท้าต้องไม่แตะพื้น” จี้อวี๋สั่งอย่างเฉยเมย “เจ้าต้องทำให้เสร็จภายในเวลาสิบลมหายใจ”
‘คำสั่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!’
ขณะที่จ้องมองไปยังป่าไผ่ที่หนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ เฉินซีก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
เขาเพิ่งเริ่มฝึกฝนเคล็ดวาตะเหินทะยานเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ซึ่งเขาเคยฝึกมันมาก่อนหน้านี้ ณ บริเวณลานกว้างบนยอดเขาของเทือกเขาวงจันทรา ที่นั่นมีพื้นที่กว้างขวางและมีกระแสลมพัดผ่าน ดังนั้นเขาจึงสามารถบินไปรอบ ๆ ได้อย่างเต็มที่และง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับป่าไผ่นี้ การจะผ่านป่าไผ่ทั้งหมดภายในเวลาสิบลมหายใจโดยไม่สัมผัสกิ่ง ลำต้นหรือใบแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เจ้ากังวลว่าตัวเองจะทำไม่ได้หรือ?” จี้อวี๋ส่ายหัวและกล่าวเย้ยหยัน “การทดสอบนี้ยังคงเป็นพื้นฐานที่สุด การต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ดำเนินไปขณะที่บินผ่านชั้นฟ้าและแผ่นดินเสมอ มันไม่เหมือนกับที่เจ้าจินตนาการว่าจะเป็นการแลกหมัดอย่างเท่าเทียม แต่มันเป็นการใช้ประโยชน์จากความสามารถและทุกกลอุบายที่เจ้ามี ตัวอย่างเช่น การเอาชนะด้วยความเร็วพริบตาเหมือนผี หากทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้าด้อยกว่า ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ยืดเยื้อ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สามารถหลบการโจมตีสังหารแรกของคู่ต่อสู้ได้ด้วยซ้ำ”
ความลังเลใจของเฉินซีนั้นรุนแรงขึ้นจากสิ่งที่จี้อวี๋กล่าวและได้กลายเป็นความไม่เต็มใจเอ่อล้นอยู่ในหัวใจของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็ทะยานออกจากพื้นทันที ร่างเปลี่ยนไปเป็นลำแสงเล็ก ๆ ขณะที่พุ่งเข้าไปในป่าไผ่อันอุดมสมบูรณ์ในชั่วพริบตา
วิ้ว!
ลมหนาวพัดผ่านมาจากด้านข้างของร่างกายของเขา แต่เฉินซียังคงควบคุมทิศทางการทะยานของตัวเองไว้มั่น
เขาไม่สามารถสัมผัสลำต้นหรือใบไผ่ได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนทิศทางหลายครั้งเพื่อลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างต้นไผ่ที่รวมตัวกันหนาแน่น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนทิศทางกลับทำให้เสียเวลา แม้ว่าจะเพียงชั่วครู่ก็ตาม สำหรับเฉินซีที่ต้องเดินทางผ่านป่าไผ่ภายในเวลาสิบลมหายใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการพยายามครั้งแรกของเขาล้มเหลว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็บินออกจากป่าไผ่
“ยี่สิบหกลมหายใจ ยังไม่ดีพอ” จี้อวี๋ส่ายหัวรัว
ใบหน้าของเฉินซีไร้อารมณ์ขณะที่เขาบินเข้าไปในป่าไผ่อีกครั้ง
“สิบแปดลมหายใจ ยังไม่ดีพอ”
“สิบสองลมหายใจ สัมผัสใบไผ่สามใบ ยังไม่ดีพอ”
“…ไม่ดีพอ”
คำว่า ‘ไม่ดีพอ’ วนเวียนอยู่ในหัวของเฉินซีตลอดช่วงบ่าย เสียงนั้นสงบและไม่แยแส แต่กลับเหมือนฝันร้ายที่ทำให้เขาไม่เพียงรู้สึกอาย แต่ยังกระตุ้นความดื้อรั้นและไม่ยอมใครง่าย ๆ ของเขาด้วย หลังจากที่จี้อวี๋ออกไป ชายหนุ่มก็บินไปมาในป่าไผ่ด้วยตัวเขาเอง โดยไม่หยุดพักเลยสักนิด
ทุกครั้งที่เขาหมดแรงจนแทบจะทนไม่ไหว คำว่า ‘ไม่ดีพอ’ ที่เคยออกจากปากของจี้อวี๋เบา ๆ กลับเหมือนดังก้องขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็จะกัดฟันและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง…
พลั่ก!
เหงื่อกาฬไหลโซมกาย การหายใจอันหนักหน่วงของเขาดังก้องอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน เฉินซีไม่สามารถยืนขึ้นได้และเขาก็ล้มตัวลงไปบนพื้นอย่างหมดแรง ปราณแท้ในร่างถูกใช้จนเกลี้ยง ความเหนื่อยสาหัสนี้ทำให้เขาไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้ว
ชายหนุ่มเพียงแค่นอนอยู่อย่างนั้น สายตาจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปล่อยให้เหงื่อไหลลงออกไปจากร่างกายเหมือนสายน้ำ
“สิบลมหายใจ ข้าอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว…” คอของเฉินซีแห้งผาก และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความรำคาญและไม่เต็มใจ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าจี้อวี๋ยืนกำลังเฝ้าดูอย่างตั้งใจอยู่ในระยะไกลอย่างเงียบงัน ดวงตาที่ผ่านกาลเวลามานานของชายชราเผยให้เห็นร่องรอยความชื่นชมที่หายาก
สิบวันต่อมา
เฉินซีทะยานเข้าไปในป่าไผ่พร้อมกับเสียงดัง ‘ฟิ้ว’
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เนื่องจากความเร็วของเขาเร็วเกินไป ทุกที่ที่เฉินซีทะยานผ่าน อากาศจะเกิดเสียงราวกับถูกกรีดผ่านและทิ้งภาพติดตาจำนวนมากไว้ ทว่าภาพติดตาเหล่านี้จะหายไปราวกับฟองอากาศหลังจากหนึ่งอึดใจผ่านไป และเมื่อถึงเวลานั้น เฉินซีก็ห่างออกไปมากกว่าสิบลี้แล้ว
เมื่อมองลงมาจากกลางอากาศ ในขณะนี้เฉินซีเป็นเหมือนสายฟ้าสีดำที่ตัดผ่านป่าไผ่อันอุดมสมบูรณ์อย่างว่องไว ยามที่เขาหลบกลุ่มใบไผ่ที่หนาแน่นและล่องผ่านต้นไผ่ที่แข็งแรงจำนวนมาก ความเร็วของชายหนุ่มรวดเร็วมากเสียจนสายตาของคนธรรมดาไม่สามารถตามทันได้!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็พุ่งออกจากป่าไผ่อย่างรวดเร็ว
“แปดลมหายใจ ไม่เลวเลย มันดีกว่าที่ข้าคาดไว้มาก” จี้อวี๋พยักหน้าขณะที่เขาสรรเสริญ
เมื่อได้ยินประโยคนี้เฉินซีก็รู้สึกดีใจราวกับได้เกิดใหม่ ในที่สุดจี้อวี๋ก็หยุดพูดว่า ‘ไม่ดีพอ’ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ตื่นเต้นนานนักเพราะความยากลำบากและเหงื่อที่เขาเสียไปมันมากมายเหลือเกินกว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้
“ตอนนี้ทักษะกระบี่และทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้าล้วนบรรลุถึงขั้นเอกภาพแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะก้าวหน้าต่อไป สิ่งที่เจ้าต้องทำคือทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของพวกมันอย่างแท้จริง” จี้อวี๋ไตร่ตรองก่อนจะพูดว่า “ขั้นต้น ขั้นสูง ขั้นเอกภาพ ระดับขั้นเชี่ยวชาญในทักษะเคล็ดวิชาทั้งสามขั้นนี้สามารถสำเร็จได้โดยอาศัยการฝึกฝนที่ขยันหมั่นเพียร ทว่าขั้นที่สี่เต๋ารู้แจ้ง หากต้องการจะบรรลุถึงขั้นนั้น เจ้าต้องเข้าใจหลักเต๋าแห่งสวรรค์ และเมื่อเจ้าเข้าใจถึงความหมายของเต๋า เจ้าจะสามารถสร้างเจตจำนงกระบี่และเจตจำนงแห่งทักษะการเคลื่อนไหวได้
เข้าใจหลักเต๋าแห่งสวรรค์…
สมองของเฉินซีดังก้อง ราวกับว่าเขารู้แจ้งในทันที
ในอดีต เขาเคยได้ยินคนพูดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะคือ การเข้าใจความหมายที่ยิ่งใหญ่เบื้องหลังหลักเต๋าแห่งสวรรค์ เนื่องจากมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเดินไปยังจุดสูงสุดของเต๋าได้ แต่ในขณะนั้น การบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับต่ำ และเขาก็เพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เขายังคงรู้สึกว่ามันอยู่ไกลเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสนใจมันเลย
ตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเพื่อสร้างรากฐานแห่งเต๋าและมีประสบการณ์การฝึกฝนมาหลายวันแล้ว เขาได้เข้าใจแก่นแท้แห่งเต๋าอยู่บ้าง ในยามนี้เมื่อจี้อวี๋เปิดเผยความจริง มันรู้สึกราวกับว่าหน้าต่างใหม่ถูกผลักเปิดต่อหน้าเขา ซึ่งทำให้เขาได้เห็นโลกใบใหม่ที่งดงามต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง!
เต๋ารู้แจ้ง!
ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้นที่ถือว่าก้าวเข้าสู่ความเป็นอมตะอย่างแท้จริง! เฉพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขึ้นไปเท่านั้น ผู้บ่มเพาะจึงจะมีการรับรู้ใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับโลกรอบกาย
ในขณะนี้เฉินซีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
‘แต่หลักเต๋าแห่งสวรรค์นั้นกว้างใหญ่และลึกลับยากจะหยั่งถึง ข้าจะเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งภายในนั้นได้อย่างไร?’
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดอารมณ์ของเฉินซีก็กลับสู่สภาวะสงบและเขาก็คิดถึงปัญหาที่เขาต้องแก้ไขในตอนนี้ นั่นคือ เขาจะเข้าใจเต๋าได้อย่างไร?
“จงฝึกฝนอย่างพากเพียร นึกภาพและทำสมาธิ แล้วรอให้โชคโอกาสมาถึง” จี้อวี๋ตอบกลับด้วยความคลุมเครือ
เมื่อเขาลองคิดดู ถ้ามีวิธีทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งเต๋าแล้ว ทุกคนในโลกคงจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแก่นแท้แห่งเต๋าไปนานแล้ว
‘โชคโอกาส?’
เฉินซีขมวดคิ้วขณะไตร่ตรอง ทว่าท้ายที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาก็ส่ายหัว สิ่งที่สามารถพบเจอได้ด้วยโชคโอกาสเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอได้ด้วยความมุ่งมั่น
จี้อวี๋อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนเมื่อเห็นสีหน้าของเฉินซี “ไอ้เจ้าเด็กหัวช้าเอ๊ย! ให้ข้าถามเจ้า มีความคล้ายคลึงกันระหว่างเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องและเคล็ดวาตะเหินทะยานหรือไม่?
ความคล้ายคลึงกันระหว่างวิชากระบี่และทักษะการเคลื่อนไหวทั้งสองนี้? อืม…ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเกี่ยวข้องกับลม… อา ลม?
ดวงตาของเฉินซีเป็นประกายราวกับเขามีแผนในใจอยู่แล้ว
จี้อวี๋ยิ้มและพูดว่า “เต๋าแห่งสายลมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รุนแรง อ่อนโยน เฉียบแหลม และอ้อยอิ่ง… มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกจำกัด และเป็นอิสระมากที่สุด หากเจ้าต้องการควบคุมแก่นแท้ของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องและเคล็ดวาตะเหินทะยาน เจ้าต้องรู้ก่อนว่าลมคืออะไร!”
…
ลม!
เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆที่อยู่ด้านข้างของริมผาของเทือกเขาวงจันทรา ขณะนี้เขารู้สึกว่าลมภูเขาพัดผ่านกาย
ลมภูเขาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและหาพบได้ยาก แต่ทักษะกระบี่และทักษะการเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นได้บรรลุถึงขั้นเอกภาพมานานแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงสามารถรวมจิตใจของเขาเข้ากับลมภายในโลกได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อสายลมพัดผ่านทะเลเมฆเป็นคลื่นและปะทะเข้ากับใบหน้า เฉินซีก็รู้สึกได้ถึงความเร็ว วิถีโคจร ความแข็งแกร่ง และแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยที่สุดของกระแสลมอย่างชัดเจน ทุกสิ่งอย่างถูกจดจำอยู่ภายในจิตใจของเขา
“ลมภูเขานี้เย็นเสียดแทงดั่งกระบี่และว่องไวดุจสายฟ้า” สามวันต่อมา เฉินซีลืมตาขึ้นราวกับเขาเข้าใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาก็ลุกขึ้นและทะยานขึ้นไปบนในอากาศราวกับนกและในชั่วพริบตาเขาก็พุ่งออกไปกว่าสิบลี้ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ทักษะการเคลื่อนไหวของเขามีอำนาจที่อธิบายไม่ได้อยู่ภายในนั้น มันลึกซึ้งและรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก่อนถึงทะเลสาบในบริเวณเทือกเขาวงจันทรา
เฉินซีนั่งลงบนพื้นชายฝั่งโดยไม่ชักช้า ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปยังผิวน้ำอันกว้างใหญ่ของทะเลสาบ
วูบ!
ลมพัดพื้นผิวของทะเลสาบทำให้เกิดระลอกคลื่นคล้ายกลีบบัว มันมีร่องรอยความอ่อนโยน ราวกับคนที่ตกหลุมรักอย่างสุดซึ้งกำลังลูบหน้าคนรักของพวกเขา
“ลมในทะเลสาบนี้อ่อนโยนและต่อเนื่องเหมือนฝน…” เจ็ดวันต่อมา เฉินซีลืมตาขึ้นอีกครั้ง การแสดงออกที่ครุ่นคิดในดวงตาของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและบินออกไปจากริมทะเลสาบ
วันแล้ววันเล่า รอยเท้าของเฉินซีปรากฏไปทั่วยอดเขา ทะเลสาบ ผาหิน ยามที่ฝนตกหนัก ภายใต้แสงแดดที่แผดจ้า… การรับรู้เกี่ยวกับลมของเฉินซีก็เพิ่มขึ้นและลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“ลมมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และรูปแบบของลมก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นลมพายุ ลมภูเขา ลมทะเลสาบ หรือแม้แต่ลมหลังฝน ความเร็ว แรง และวิถีของมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเต๋าของการเปลี่ยนแปลงในระดับสูงสุด แต่อะไรคือที่มาของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กัน?”
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
เฉินซีนั่งอยู่คนเดียวในที่พำนัก ขณะที่เขานั่งสมาธิไตร่ตรองกับลมทุกชนิดที่เขาเข้าใจในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
เปลี่ยน?
เหตุใดมันจึงเปลี่ยนไป?
“เสรี! หากปราศจากอิสระ ก็ไม่มีลม!”
ร่างกายของเฉินซีสั่น เมื่อโชคโอกาสมา จิตใจก็แจ่มใส ราวกับแผ่นกระดาษที่ถูกเจาะทะลุ เขารู้แจ้งแล้ว!