บทที่ 68 ความแข็งแกร่งของเฉินซี
บทที่ 68 ความแข็งแกร่งของเฉินซี
หากปราศจากอิสระ ก็ไม่มีลม!
จิตใจของเฉินซีตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้ง เต๋ามีอยู่ในช่วงเวลาอันไร้ขอบเขตของโลก และเต๋าแห่งสายลมก็มีอยู่ในแผ่นดิน แม่น้ำ หญ้าเขียวขจี หิน…ทุกที่
เมื่อลมพัดผ่านเนินเขา เมฆและหมอกที่ปลิวไปเป็นเงาของมัน ขณะพัดผ่านใบบัว ภาพที่พลิ้วไหวนั้นเป็นผลของมัน นี่คือรัศมีของเต๋า และความหมายของเต๋า!
เฉินซีนั่งขัดสมาธิเงียบ ๆ อยู่บนยอดเขาและใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็สงบนิ่ง แต่จิตใจของเขายังคงติดตามสวรรค์และโลกตามลมที่เต้นรำอยู่บนท้องฟ้า เขายังคงแสวงหาลม
เต๋ารู้แจ้ง!
จี้อวี๋ยืนอยู่ในระยะไกล เสื้อผ้าของเขากระพือไปพร้อมกับสายลม ดวงตาลึกล้ำมองไปที่เฉินซีด้วยความสุขและความพึงพอใจ
หลังจากที่ได้สะสมประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายแล้ว บุคคลจะสามารถผูกมัดจิตใจกับสวรรค์และโลกได้อย่างสมบูรณ์เมื่อโชคดีมาถึง จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจการมีอยู่ของเต๋าได้
ดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่ง จันทราสว่างขึ้น และดวงอาทิตย์ตกดิน
เมื่อเวลาผ่านไป สายลมเริ่มรวมตัวกันที่ด้านข้างของเฉินซีซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
“แกว้ก!” อีแร้งบินมาแต่ไกล สายตาเฉียบคมของมันจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ริมหน้าผา ราวกับกำลังจ้องมองอาหารมื้ออร่อย ในฐานะนกป่าที่ยังไม่ได้พัฒนาสติปัญญา มันจึงไม่รู้สึกถึงปราณที่เป็นอันตรายบนร่างกายของเฉินซี อีกทั้งมันก็ยังหิวมากและเป็นอย่างนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แทบจะในทันที มันดิ่งลงเข้าหาเฉินซีอย่างรวดเร็ว มันกางกรงเล็บอันแหลมคมหมายจะคว้าตัวชายหนุ่มอย่างดุเดือด
ทว่าเมื่อห่างจากเฉินซีราวสิบจั้ง
ครืน!
ทันใดนั้น พายุหมุนก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ สายลมที่เร็วและรุนแรงปะปนด้วยมวลพลังจากสวรรค์และโลกสับอีแร้งจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที เนื่องจากลมรุนแรงเกินไปเลือดสดที่กระเซ็นออกมาก็ถูกบดเป็นละอองเลือด จากนั้นพายุก็ปลิวหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีกลิ่นเลือดเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
“เขาเข้าใจแล้ว และความแข็งแกร่งของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ข้าเกรงว่าอีกไม่นาน เขาจะสามารถผ่านระดับที่หนึ่งของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์ได้ ในขณะที่ข้า… ข้าเกรงว่า ในอนาคตข้าจะออกไปจากเคหาบ่มเพาะได้ยากขึ้นเสียแล้ว” การแสดงออกของจี้อวี๋นั้นซับซ้อน จากนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าอันแน่วแน่ “ข้าช่วยเขามามากพอแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งและความคิดอ่านในปัจจุบัน เขาก็สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว การอยู่เคียงข้างเขาต่อไปจะเป็นการขัดขวางเส้นทางของแก่นแท้แห่งเต๋าเท่านั้น…”
ในรุ่งอรุณของเจ็ดวันต่อมา ดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้าและสาดแสงสว่างส่องไปทั่วปฐพี
เฉินซีผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหน้าผา เปิดตาของเขาและมุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่หายาก
วิ้ว!
ในเวลาต่อมา เฉินซีดูเหมือนจะไม่ขยับ แต่ร่างของเขาได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้ว และปีกคู่หนึ่งที่ควบแน่นจากลมก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา จากนั้นชายหนุ่มก็ทะยานขึ้นไปในอากาศอย่างจงใจ และภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ร่างของเขาได้ทะยานผ่านมวลเมฆจนแตกกระจาย รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ!
ลม!
เสรีภาพ!
ร่างของเฉินซีเร็วยิ่งขึ้น เขาเป็นอิสระเหมือนกับสายลมที่พัดผ่าน ไร้รูปแบบทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ถูก
…
การฝึกฝนในภูเขาลึกแยกตัวออกจากโลกภายนอกทำให้เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากความกังวลและความไม่สบายใจตั้งแต่ต้น อารมณ์ของมู่ขุยก็ค่อย ๆ สงบลง
ราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปนานมาก และสิ่งนี้ทำให้มู่ขุยเชื่อมั่นมากขึ้นว่าสยงผีกำลังหลอกเขาและหลอกลวงผู้อาวุโสเฉินซี หลีหู่อาจไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ของราชาวานรทมิฬก็เป็นได้ เพราะราชาวานรทมิฬนั้นมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นอย่างยิ่งไม่ว่ากับเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะอยู่ได้อย่างสงบเป็นเวลาถึงสามเดือนเช่นนี้
‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้? งี่เง่าสิ้นดี!’
มู่ขุยถือเหยือกสุราขณะที่เขาเอนกายอยู่ตรงหน้าที่พักอย่างสบาย ๆ และดื่มจนพอใจ เขาชอบวันที่เงียบสงบเช่นนี้ ผู้อาวุโสเฉินซีกำลังสอดส่องทุกอย่างอยู่บนยอดเขา หมาป่าหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลว่าอสูรร้ายตัวอื่นที่อยู่ใกล้เคียงจะมารบกวนหรือกลืนกินอาณาเขตของเขา
ฟุ่บ!
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศด้วยความเร็วที่ราวกับเคลื่อนย้ายพริบตา ภาพนี้ทำให้มู่ขุยกลัวจนร่างกายแข็งค้างจนเหยือกสุราในมือของเขาหล่นลงไปที่พื้นทันที ทว่าเมื่อเพ่งมอง เขาก็เห็นว่าผู้ที่มาใหม่คือผู้อาวุโสเฉินซีนั่นเอง!
มู่ขุยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย ‘เมื่อครู่นี้ข้าแสดงอาการน่าอับอายสุดขีดออกไปใช่ไหม? ทว่า… ความเร็วของผู้อาวุโสเฉินซีนั้นเร็วเกินไปจริง ๆ! เขาปรากฏตัวต่อหน้าข้าในชั่วพริบตา ใครจะไม่กลัวบ้างเล่า?’
“เตรียมแปรงและจานหมึกให้ข้าด้วย” เฉินซีเดินไปในเคหาทันทีที่เขาพูดจบ
“เอ่อ…ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ ท่านผู้อาวุโส” มู่ขุยลุกขึ้น จากนั้นก็เริ่มเตรียมการอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังแอบสงสัยในใจ ‘ผู้อาวุโสเฉินซีต้องการทำสิ่งใด?’
…
ภายในเคหาที่อยู่อาศัย เฉินซีได้นำสมุดเล่มหนึ่งออกจากแหวนมิติของเขา มันไม่ใช่ตำราเคล็ดวิชา แต่เป็นบันทึกประสบการณ์ทั้งหลายที่เขาได้รับจากการฝึกฝนทั้งหมด
หลังจากไตร่ตรองในใจเป็นเวลานาน เฉินซีก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วจุ่มลงในจานหมึก จากนั้นค่อย ๆ เขียนประสบการณ์ทั้งหมดและการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเขาหลังจากที่ผ่านการฝึกฝนในช่วงผ่านมาทั้งหมด
“ทักษะการใช้พู่กันของเจ้านั้นเสรีและสง่างาม อักษรก็ทรงพลังและเฉียบคม ทุกคำที่เขียนนั้นงามวิจิตรและให้ภาพที่เหมือนจริง การพัฒนาของเจ้าในช่วงเวลานี้ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ” หลังจากที่เฉินซีเขียนเสร็จ จี้อวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาพยักหน้าพลางประเมิน
เฉินซีไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่เขาเขียนอีกคำหนึ่งใหม่เช่น ‘พริบตา’ อย่างรวดเร็ว และส่งไปให้ชายชรา
ตั้งแต่วันที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องและเคล็ดวาตะเหินทะยาน จี้อวี๋ก็ได้ขอให้เขาใช้เวลาหนึ่งวันจากทุกเดือนเพื่อตรวจสอบตนเอง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อสรุปประสบการณ์การต่อสู้ของเขา
สมุดเล่มนี้ถูกเรียกว่า ‘บันทึกสะท้อนตัวตน’
“อย่าเขียนเรื่องแบบนี้อีกในอนาคต” จี้อวี๋หยุดอ่านและส่งสมุดคืนให้เฉินซี “การตรวจสอบตนเองมีไว้เพื่อกระตุ้นให้เจ้าปรับปรุงและหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง ตอนนี้เจ้าได้สร้างเต๋าแล้วและได้ก้าวไปสู่ความเป็นอมตะอย่างแท้จริง การเขียนสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเข้าใจหลักเต๋าแห่งสวรรค์และยึดมั่นในหัวใจของเจ้า”
“เข้าใจหลักเต๋าแห่งสวรรค์และยึดมั่นในหัวใจของข้า…” เฉินซีพูดซ้ำ ราวกับเขาจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วเขาก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็นึกถึงคำถามที่เขากำลังงุนงงอยู่ตอนนี้และถามทันที “ผู้อาวุโส ข้าขอถามถึงความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้เทียบกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนอื่น ๆ ได้หรือไม่ว่ามันเป็นอย่างไร?”
“เจ้าคิดอย่างไร?” จี้อวี๋ตอบคำถามด้วยคำถาม
เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ข้าเพียงแค่เคยต่อสู้กับหลี่ไฮว่ซึ่งอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นข้าอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น ข้าจึงไม่สามารถประมาณการได้อย่างแม่นยำเลย”
“เช่นนั้นข้าจะอธิบายถึงความแข็งแกร่งของเจ้าสั้น ๆ การฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไปสำหรับเจ้าในตอนนี้ไม่ต่างกับเจ้าฆ่าไก่และลิง!” จี้อวี๋พูดคำที่น่าตกใจ
แม้ว่าเฉินซีจะเตรียมใจมาแล้ว แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เหมือนการฆ่าไก่และลิง? นี่ข้าแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้ว?
“เจ้าแปลกใจมากใช่ไหม? เจ้าควรรู้ว่าความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชากระบี่ของเจ้าบรรลุถึงขั้นเต๋ารู้แจ้งแล้ว ซึ่งตามปกติผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไปอย่างดีที่สุดก็บรรลุขั้นเอกภาพเท่านั้น ในแง่ของการใช้กระบี่ ความแข็งแกร่งของเจ้าเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลส่วนใหญ่ไปมากแล้ว”
“จากนี้ข้าจะพูดถึงระดับการบ่มเพาะของเจ้ากันต่อ”
“การปรับแต่งปราณภายในของเจ้า ได้บรรลุการสร้างดาวดวงแรกของขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว เคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์นั้นยอดเยี่ยมและล้ำค่านัก แต่น่าเสียดายที่มันบันทึกเฉพาะการฝึกฝนสำหรับเก้าระดับของขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น
ทว่าเมื่อเจ้าสำเร็จมันทั้งหมดไม่ว่ามันจะเป็นพลังหรือปริมาณ ปราณแท้ในร่างของเจ้าจะเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้”
จี้อวี๋พูดด้วยความมั่นใจ แต่แล้วร่องรอยความผิดหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เจ้ามุ่งเน้นแต่การบ่มเพาะปราณภายในและทักษะการต่อสู้ จึงทำให้เจ้าละเลยการขัดเกลาร่างกาย หากเจ้าสามารถขัดเกลาร่างกายจนบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลด้วยละก็ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสองในสิบส่วน”
“แต่แน่นอน แค่พึ่งพาพลังของญาณตระหนักรู้อันแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ เจ้าก็สามารถฝึกฝนทักษะการโจมตีวิญญาณ ‘มายาเทพ’ ได้แล้ว หากเจ้าสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ โอกาสในการเอาชนะศัตรูก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
จี้อวี๋กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขายังคงวิเคราะห์ความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ของเฉินซีต่อไป “โดยรวมแล้ว ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้าควรจะสามารถต่อสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับห้าดาราได้”
“ขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับห้าดารา? สู้ข้ามขั้นได้ถึงสี่ระดับ?” เฉินซีอ้าปากค้างในขณะที่เขาไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย
จี้อวี๋กล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ควรดูถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนอื่น เพราะผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลสามารถใช้ศัสตราวิเศษระดับสูงได้แล้วและส่วนใหญ่ก็มีทักษะมากมาย อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการโจมตีแบบต่าง ๆ เช่น ค่ายกล หุ่นเชิด ควบคุมเปลวเพลิงวิญญาณ และอื่น ๆ อีกที่ไม่ใช่การห้ำหั่นกันซึ่งหน้า…”
“เอาเป็นว่าอย่างหนึ่งที่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจมากที่สุดก็คือมีระดับความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันในหมู่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล และมีผู้คนมากมายที่สามารถสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับเก้าดาราด้วยการฝึกฝนที่หนึ่งดาราแห่งขอบเขตตำหนักอินทนิล มีแม้กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่สามารถฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้!”
เฉินซีอ้าปากค้าง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหลังจากฟังคำอธิบายของ จี้อวี๋เขากลับสับสนมากขึ้นแทน
“มีอะไรให้ตกใจ? เจ้าไม่ได้ฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเมื่ออยู่ขอบเขตก่อกำเนิดมาหรอกหรือ? ในเวลานั้นเจ้ายังไม่ได้ก่อรากฐานเต๋าด้วยซ้ำและเจ้าก็ยังไม่สามารถบินไปในอากาศหรือควบคุมศัสตราวิเศษระดับสูงได้เสียหน่อย” ดูเหมือนว่าจี้อวี๋จะเข้าใจความรู้สึกของเฉินซี และเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากพูดทั้งหมดนี้แล้ว ข้าแค่ต้องการเตือนเจ้าว่าอย่าประเมินศัตรูต่ำเกินไป แต่อย่ากลัวการต่อสู้ หากเจ้าไม่สามารถชนะได้ก็ถอยออกมาก่อน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผู้บ่มเพาะบางคนถูกคนอื่นไล่ตาม เขาค่อย ๆ หนีอย่างใจเย็นและวางแผนเก็บฝ่ายตรงข้ามทีละคนไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็กวาดล้างทุกคนที่ไล่ตามเขาจนไม่เหลือหลอ”
จิตใจของเฉินซีผ่อนคลายลงเล็กน้อยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะล้อเล่น “ความสามารถในการหลบหนีของชายผู้นั้นช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะถูกล้อมและตายลงไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจำได้ว่าผู้บ่มเพาะคนนั้นดูเหมือนจะแซ่ฮั่น และผู้คนก็ตั้งฉายาว่า ‘ฮั่นผู้ว่องไว’ แต่น่าเสียดาย นั่นเป็นตัวตนก่อนยุคบรรพกาล” ดวงตาของจี้อวี๋เผยให้เห็นถึงความถวิลหาอดีต ก่อนจะถอนหายใจอย่างอาวรณ์ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อ “ข้าขอแนะนำให้เจ้าใช้เวลาในการขัดเกลาร่างกายและการฝึกฝนดวงวิญญาณของเจ้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อร่างกายของเจ้าสำเร็จถึงขอบเขตตำหนักอินทนิล เจ้าควรจะสามารถผ่านระดับที่หนึ่งของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ได้”
ระดับที่หนึ่งของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์?
เฉินซีก้มศีรษะลงเหลือบมองที่ฝ่ามือ ใต้ผิวหนังและเนื้อของเขา ลวดลายของจี้หยกเห็นได้รางเลือน
เหตุการณ์หลายฉากผุดขึ้นในหัวของเขาอย่างเงียบ ๆ แม่ของเขาจั่วชิวเสวี่ยทิ้งเศษเสี้ยววิญญาณของนางเอาไว้ และการได้พบเจอกับผู้อาวุโสจี้อวี๋ รวมถึงรูปปั้นเทพฝูซี…