บทที่ 73 ต่อสู้กับราชาเหยี่ยวสายฟ้า
บทที่ 73 ต่อสู้กับราชาเหยี่ยวสายฟ้า
หลังจากเสียงตะโกนของเซวี่ยอวี้ดังขึ้น เงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากตำหนักที่ตั้งอยู่บนหน้าผา
“กรี๊ซ! กรี๊ซ! กรี๊ซ!”
เสียงร้องแหลมสูงของนกดังเสียดหูเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลผ่านระหว่างสวรรค์กับโลก เงาดำเหล่านั้นโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกมันคืออสูรเหยี่ยวเหล็กทองคำที่มีปีกกว้างเกือบสองจั้ง ขนของมันเป็นดั่งเกราะเหล็กที่แข็งกล้า จะงอยปากเหมือนกระบี่อันแหลมคม และกรงเล็บดั่งตะขอที่สามารถเกี่ยวกระชากเนื้อหนังได้ง่ายดาย พวกมันหลายพันตัวกระพือปีกลอยอยู่ท่ามกลางฟากฟ้า ขณะตั้งแถวล้อมเป็นวงกลมหกชั้น
ในขณะที่ราชาเหยี่ยวสายฟ้ายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของวงกลมอย่างหยิ่งทะนง
“มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์จงตื่น!” เซวี่ยอวี้วาดมือไปยังอากาศและปรากฏภูเขาสูงถึงหนึ่งหมื่นสองพันจั้งที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงสีม่วงอยู่ท่ามกลางอากาศ!
ครืน! ครืน!
คลื่นปราณสีม่วงได้แผ่กระจายไปทั่วชั้นฟ้าและผืนแผ่นดิน ในปราณสีม่วงที่กำลังพวยพุ่งนี้ ภูเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มหดตัวลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาขนาดเล็กที่สูงเพียงสิบสองชุ่นในชั่วพริบตา ภูเขาขนาดเล็กนี้เต็มไปด้วยปราณสีม่วงเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของสมบัติวิเศษอันน่าเกรงขาม!
“ฮ่า ๆๆ มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์นี้หนักสองแสนห้าหมื่นจิน และถูกข้าขัดเกลาโดยใช้เคล็ดวิชาลับเป็นเวลากว่าสามพันปี มันสามารถหดและขยายตัวได้ตามปรารถนา หากถูกมันปะทะเมื่อใดทั้งร่างของเจ้าจะกลายเป็นผุยผง ต่อให้ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าก็ตาม!”
เซวี่ยอวี้ยังคงค้างอยู่ในท่าถือภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่แผ่คลื่นของปราณสีม่วงไว้ จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังอยู่บนท้องฟ้า “แม้ว่าจะมันจะยังไม่สมบูรณ์ดี แต่พลังของมันก็เทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอด! เฉินซีวันนี้เจ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสง… เอ๊ะ เขาหายไปไหนแล้ว?”
ราชาเหยี่ยวสายฟ้ากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างงุนงง เขาเห็นเพียงแต่ท้องฟ้าอันแจ่มใสเท่านั้น หาได้มีร่องรอยของเฉินซีอยู่ในพื้นที่โล่งแจ้ง
“หรือว่าไอ้คนบัดซบคนนั้นหลบหนีไปแล้ว? บัดซบ! ข้าอุตส่าห์เตรียมมหาค่ายกลพันเหยี่ยวและนำสมบัติวิเศษไพ่ตายอย่างมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ออกมา แต่มันกลับหลบหนีไปโดยไม่กล่าววาจาสักคำแบบนี้เนี่ยนะ!?”
ใบหน้าของเซวี่ยอวี้สั่นไหวสลับไปมาระหว่างซีดขาวและโมโห สาเหตุที่เขาหลอกล่อเฉินซีให้ตามมายังที่แห่งนี้โดยไม่ยอมสู้ตั้งแต่แรกก็เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่อาจสะกดอีกฝ่ายด้วยความเร็วได้ และอีกประการหนึ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่เฉินซีครอบครองอยู่
กระบี่ไผ่ทองคำนิลนั้นบังเอิญมีคุณสมบัติสะกดพลังอัสนีซึ่งเป็นธาตุภายในร่างกายของเขา ดังนั้นเซวี่ยอวี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเตรียมการรับมือกับมันด้วยความระมัดระวัง
ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้เขาตัดสินใจว่าหากต้องการจะฆ่าเจ้าเด็กคนนี้ เขาต้องชะลอความเร็วของมันก่อนเพื่อที่เขาจะได้บดขยี้มันด้วยพลังที่มิอาจต้านทานในคราเดียว
มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ที่เขาครอบครองสามารถสร้างสนามแรงโน้มถ่วงที่มีขนาดพื้นที่ราวหนึ่งร้อยสามสิบจั้ง ยามเมื่อสำแดงพลัง สิ่งใดก็ตามที่เข้ามาในสนามแรงโน้มถ่วงจะพบกับแรงโน้มถ่วงอันน่าสะพรึงกลัวถึงสองพันห้าร้อยจิน ผู้คนที่ติดอยู่ข้างในจะรู้สึกราวกับแบกภูเขาลูกเล็กไว้บนบ่า และความเร็วของคนผู้นั้นจะได้รับผลกระทบมหาศาล จนถึงขนาดที่ว่า หากผู้ใดถูกจับโดยไม่ทันตั้งตัว แรงโน้มถ่วงอันน่าสะพรึงกลัวจะกดทับลงมาจนร่างกายของพวกเขาระเบิดกระจุย!
อย่างไรก็ตาม มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์นี้ยังอยู่ในสภาพกึ่งสมบูรณ์เท่านั้น หากเขาคิดจะสังหารเฉินซี ราชาเหยี่ยวสายฟ้าก็ทำได้แต่เพียงทุ่มเทแก่นแท้โลหิตและดวงวิญญาณของเขาในการควบคุมมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์เพื่อให้เปล่งอำนาจสูงสุด โดยไม่อาจแบ่งสมาธิไปกับการลงมือฆ่าเฉินซีได้
ด้วยเหตุนี้เองที่ราชาเหยี่ยวสายฟ้าจึงสั่งให้ลูกน้องของเขาสร้างมหาค่ายกลพันเหยี่ยวขึ้นมา เพราะเขาตั้งใจจะใช้ให้ลูกน้องของตนเองเป็นผู้สังหารเฉินซีแทน
ทั้งหมดนี้ถูกเตรียมการไปตามแผน แต่อนิจจา เฉินซีกลับหายตัวไปแล้ว!
“แม้ว่าไอ้เด็กนั่นจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหายตัวไปจากสายตาของข้าในชั่วพริบตาแบบนี้! หรือว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งในบริเวณใกล้เคียง?” เมื่อคิดทบทวนถึงเรื่องนี้ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าเซวี่ยอวี้ได้แผ่ญาณตระหนักรู้ของเขากวาดผ่านบริเวณใกล้เคียงในทันที แต่เขาก็ไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่เศษเสี้ยวกลิ่นอายของเฉินซี
“เป็นไปไม่ได้! ความพยายามของข้าจะสูญเปล่าแบบนี้ได้อย่างไร!”
ฟิ้ว!
เซวี่ยอวี้ไม่อาจยับยั้งภาวะหดหู่ในหัวใจของเขาได้อีกต่อไป เขากระพือปีกและพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นลอยตระหง่านอยู่กลางอากาศ ขณะที่เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ ในฐานะที่เขาเป็นสัตว์อสูรเหยี่ยว สายตาของเขาจึงเฉียบแหลมมากและสามารถเห็นสิ่งเล็ก ๆ น้อยๆ ในระยะยี่สิบห้าลี้ได้อย่างชัดเจน
“ระยำเอ๊ย เจ้าช่างหลบหนีได้ไวกว่าผู้ใดจริง ๆ…” เซวี่ยสบถสาปแช่งเฉินซีด้วยความโกรธจัด ทว่าเวลานั้นเอง ความรู้สึกอันตรายอันเย็นเยียบได้วาบผ่านกระดูกสันหลังของเขา และปะทุในหัวใจของเขาอย่างรุนแรง
ไม่ได้การ!
สีหน้าของเขาซีดเซียวในทันที ตรีศูลเหล็กที่มีประกายแสงอันกดดันปรากฏขึ้นในมือขวา จากนั้นราชาเหยี่ยวสายฟ้าก็ใช้มันปัดป้องด้วยสัญชาตญาณ
เคร้ง!
ทันใดนั้นปราณกระบี่พลันปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเฉือนตรีศูลเหล็กออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย และด้วยอำนาจที่ยังคงอยู่อย่างเปี่ยมล้นราวกับไม่ได้ถูกบั่นทอนลงเลย ปราณกระบี่ก็พุ่งเข้าที่ลำคอของเซวี่ยอวี้โดยฉับพลัน!
ขณะเดียวกันนี้ ร่างของเฉินซีก็ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศห่างจากด้านข้างของเซวี่ยอวี้ราวสี่ฉื่อ โดยถือกระบี่ไผ่ทองคำนิลอยู่ในมือขวา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฉินซีนั้นช่างว่องไวและเด็ดขาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าหวาดกลัวจนวิญญาณแทบบินออกจากร่าง เขารีบบังคับปีกตนเองปิดเข้าหากันที่ด้านหน้าเป็นประหนึ่งโล่คู่เพื่อรับมือกับช่วงเวลาวิกฤตนี้
ฉัวะ!
บาดแผลขนาดมหึมาเกิดขึ้นที่ปีกของราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าและเลือดก็สาดกระเซ็นออกมาพร้อมกับขนนกที่ปลิวไปทั่วท้องฟ้า
“บัดซบ! ข้าถูกเจ้าเด็กนั่นลอบจู่โจม!” ราชาเหยี่ยวสายฟ้าพ่นลมหายใจด้วยโทสะ ร่างกายของเขาเซไปเซมาและเกือบจะตกลงมาจากท้องฟ้า เขาไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ปีกของเขาย่อมส่งผลต่อความเร็วในการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงต้องการกลับไปที่มหาค่ายกลพันเหยี่ยว
ต้องควบคุมมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์เพียงเท่านั้นที่เขาพอจะสามารถพลิกสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ได้!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เฉินซีซ่อนเร้นตัวเองกลางอากาศด้วยเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอย และรอคอยโอกาสที่ยอดเยี่ยมนี้ด้วยความอดทนอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจะปล่อยให้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าหลบหนีไปได้อย่างไร? ทันใดนั้นด้วยหนึ่งความคิด กระบี่บินแปดเล่มที่ถูกปกคลุมด้วยลำแสงเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้นจากอากาศและทะยานออกไปราวกับลูกศรที่มีชีวิตสกัดเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของเซวี่ยอวี้ในทันใด
กระบี่บินทั้งแปดเล่มนี้เฉินซีได้มาจากใต้หุบเหวในเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดของดินแดนรกร้างใต้พิภพ ก่อนหน้านี้ ตงหมิงเคยใช้พวกมันสร้างเป็นค่ายกลรวบรวมปราณปรโลก คุณภาพของพวกมันจึงอยู่ในระดับปฐพีขั้นสูงสุด
ในขณะนี้เมื่อพวกมันถูกควบคุมโดยเฉินซี แสงอันคมกริบปรากฏออกมาขณะที่ปราณวิญญาณปกคลุมอยู่โดยรอบ
“บัดซบ ชายหนุ่มผู้นี้ครอบครองศัสตราวิเศษระดับปฐพีด้วยหรือ? มันเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตตำหนักอินทนิลเมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่หรืออย่างไร? แล้วมันไปเอาสมบัติล้ำค่ามากมายมาจากหนใดกัน!?” ใบหน้าของราชาเหยี่ยวสายฟ้าซีดลงอย่างรวดเร็วขณะที่ตัวเขาได้แต่กล่าวโทษตัวเองที่คาดการณ์ผิดมาตั้งแต่ต้น
กระบี่ไผ่ทองคำนิล เคล็ดวิชากระบี่ การรู้แจ้งเต๋า เคล็ดวิชาเคลื่อนไหว เคล็ดวิชาซ่อนเร้นที่ปกปิดได้อย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งยังมีกระบี่บินวิเศษระดับปฐพีถึงแปดเล่ม…
ชายหนุ่มผู้นี้มีทรัพยากรมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นศิษย์สายตรงจากนิกายชั้นยอดบางนิกาย?
ฮึ่มมม!
เสียงกระบี่บินดังก้องราวกับเสียงคำรามของมังกรสะท้อนออกมา ภายใต้การควบคุมของญาณตระหนักรู้ของเฉินซี ปลายกระบี่ทั้งแปดเล่มคว่ำหัวลงขณะที่พวกมันหมุนเป็นเกลียวไปทางราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่ลอยอยู่ตรงกลาง
ทว่า แม้จะใช้กระบี่บินทั้งแปดเล่มโจมตีพร้อมกันหมดเฉินซีกลับยังรู้สึกไม่วางใจนัก ดังนั้นเขาจึงใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือเปล่งเจตจำนงกระบี่เข้าผสานกับอำนาจของกระบี่บินทั้งแปดเพื่อบดขยี้ทุกสิ่ง ยามที่มันฉีกผ่านท้องฟ้าไปยังเซวี่ยอวี้
กระบวนท่าที่หกของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง ‘วายุทลายสุญญะ’!
เสียงกรีดผ่านอากาศของกระบี่ดังก้องกังวานไปทั่วทุกทิศเสียดแทงจนหูแทบดับ มันคล้ายกับเสียงกรีดร้องของเทพแห่งความตายที่กำลังย่างก้าวเข้ามาทีละก้าว
เมื่อเซวี่ยอวี้สัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมจากทุกทิศทุกทาง ราชาเหยี่ยวสายฟ้าก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงรีบบินหนีไปโดยไม่ลังเลจนเกิดเสียงฉีกผ่านอากาศดัง ‘แคว่ก’ ทว่าน่าเสียดาย เมื่อเขาถูกผลักกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยกระบี่บินทั้งแปดเล่มที่ล้อมรอบกายเขา มันจึงส่งผลให้ใบหน้าของเขาซีดขาวยิ่งกว่าเก่า เขาคำรามสุดเสียงว่า “เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! หรือเจ้าไม่ต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสหายของเจ้าหรือไร!?”
“ตายซะ!” เฉินซีไม่สนใจกับคำพูดของราชาอสูร กระบี่ไผ่ทองคำนิลถูกขว้างออกไปอย่างรุนแรงจนหมุนควงราวกับสว่านบดขยี้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าจนกลายเป็นหมอกเลือดเศษเนื้อที่โปรยปรายลงสู่พื้นดินราวกับสายฝน
จนถึงตอนนี้ นอกจากราชาวานรทมิฬแล้ว ราชาอสูรอีกตนจากราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดได้ตกตายภายใต้คมกระบี่ของเฉินซี!
“มีเพียงราชาสัตว์อสูรอย่างเจ้าเท่านั้นที่สามารถกักขังคนเหล่านั้นได้แล้วเหตุใดข้าจึงต้องถามหาที่อยู่ของพวกเขาอีก?” เฉินซีจ้องมองไปยังเศษเลือดเนื้อของราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่โปรยปรายลงไปยังพื้นดินราวกับสายฝนโลหิต ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
บั่นหัวราชาวานรทมิฬจากนั้นเดินทางแสนไกลเพื่อบดขยี้ราชาเหยี่ยวสายฟ้า การสังหารทั้งสองครั้งนี้ทำให้ปราณแท้ของเฉินซีใกล้จะแห้งเหือดและรู้สึกอ่อนล้า อีกทั้งความตึงเครียดที่ผ่านมามันทำให้เขารู้สึกวิงเวียนอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดการประมาทเพียงเล็กน้อยในยามต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าอาจนำไปสู่ความตายในชั่วพริบตา หากไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาแข็งแกร่งมาก เขาคงจะไม่อาจประคองตัวเองได้เช่นนี้
“ชายหนุ่มผู้นั้นฆ่าราชาได้แล้ว!”
“ราชาตายแล้ว! มันเป็นไปได้อย่างไร!?”
“เราควรทำอย่างไร? เราจะล้างแค้นให้ราชาหรือไม่!?”
เนื่องจากการต่อสู้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว อสูรเหยี่ยวเหล็กทองคำกว่าพันตัวจึงเพิ่งฟื้นจากอาการตกตะลึงในตอนนี้ และพวกมันต่างอุทานด้วยอารมณ์ที่หวาดกลัวและสิ้นหวัง
“ไสหัวไปซะ!” เฉินซีตวาดอย่างเย็นชา จิตสังหารปรากฏชัดทั่วใบหน้า ด้วยการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว เขาเป็นดั่งเทพแห่งการเข่นฆ่าที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ ทำให้สัตว์อสูรนับพันตัวที่รายล้อมหมดแรงใจจะต่อต้าน พวกมันทั้งหมดไม่กล้าลังเลและกระพือปีกบินหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ท่าทางของพวกมันราวกับว่าไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าอยากมีปีกอีกคู่หนึ่งเพื่อให้บินหนีได้เร็วกว่าที่เป็น…!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เฉินซีร่อนลงมาจากกลางอากาศเมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีอสูรอยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกต่อไป ทว่าเขายังคงคุ้มกันตัวเองด้วยกระบี่ไผ่ทองคำนิลอยู่ในมือขณะที่เขาหอบหายใจอย่างรุนแรง
หลังจากพักผ่อนชั่วครู่และฟื้นฟูร่างกายเล็กน้อย เฉินซีเดินไปหยิบเข็มขัดมิติขึ้นมาจากพื้นดิน เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อส่องดูภายใน จากการคาดคะเน มันมีพื้นที่ด้านในราวหนึ่งร้อยสามสิบจั้ง ทองคำและอัญมณีเช่นหินโมรากับหยกถูกกองไว้อยู่ครึ่งหนึ่ง อัญมณีเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากสำหรับมนุษย์ พวกมันถูกกองซ้อนกันจนคล้ายภูเขาขนาดย่อม ในขณะที่สมุนไพรวิญญาณต่าง ๆ และวัตถุวิญญาณมากมายถูกกองซ้อนอยู่อีกครึ่งหนึ่ง พวกมันทั้งหมดส่องประกายด้วยแสงอันเจิดจ้าและอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของปราณสมบัติ
“คุณภาพของวัตถุวิญญาณเหล่านี้วิเศษนัก อีกทั้งยังมีมากกว่าหมื่นชนิด หากนำพวกมันไปแลกกับวารีวิญญาณข้าคงจะได้มาไม่น้อย แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีศัสตราวิเศษหรือสมบัติวิเศษที่สมบูรณ์สักชิ้นเดียว ความมั่งคั่งของราชาเหยี่ยวสายฟ้าผู้นี้ช่างน่าขายหน้าเสียเหลือเกิน” เฉินซีส่ายศีรษะอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะมองสำรวจไปรอบ ๆ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีเมื่อเห็นภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่มีความสูงราวสิบสองชุ่น ซึ่งอุดมไปด้วยปราณสีม่วงที่ยังหลงเหลืออยู่
‘ตามที่ราชาเหยี่ยวสายฟ้ากล่าวไว้ ภูเขาลูกเล็กนี้เรียกว่ามหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ ซึ่งมีน้ำหนักถึงสองแสนห้าหมื่นจิน และได้รับการขัดเกลาด้วยเคล็ดวิชาลับเป็นเวลานานถึงสามพันปี มันสามารถย่อขนาดและขยายใหญ่ได้ตามใจของผู้เป็นนาย แม้ว่าคุณภาพของมันจะอยู่แค่ระดับกึ่งสมบูรณ์ แต่อำนาจของมันเทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอด ข้าสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่…?’
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเฉินซี จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปหยิบมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์บนพื้น ทว่าแม้เขาออกแรงอย่างเต็มที่ เขาก็ยังไม่อาจขยับมันได้แม้แต่น้อย
“ความแข็งแกร่งของร่างกายข้าได้รับการบ่มเพาะจนถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ และข้าสามารถยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากกว่าสองพันห้าร้อยจินด้วยแขนเพียงข้างเดียว เหตุใดข้าถึงไม่อาจยกภูเขาเล็ก ๆ ที่ความสูงเพียงสิบสองชุ่นได้? ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งนัก!” เฉินซีไม่เพียงไม่ท้อถอย แต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นอีกด้วย เขาไม่ลังเลอีกต่อไป และแผ่เส้นใยปราณแท้ออกจากฝ่ามือในทันที จากนั้นจึงเริ่มผูกมัดภูเขาเล็ก ๆ
ราชาเหยี่ยวสายฟ้าได้ตายไปแล้ว ดังนั้นภูเขาลูกเล็กนี้จึงกลายเป็นสมบัติที่ไร้นาย ดังนั้นเขาแค่ต้องขจัดตราประทับจิตที่ประทับอยู่ในของสิ่งนี้ออกก่อนจึงจะสามารถใช้งานมันได้
“ช่างเป็นสมบัติล้ำค่า!” หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ เฉินซีก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจยามเขาจ้องมองไปยังภูเขาเล็ก ๆ ที่หมุนวนโดยรอบ ขณะที่มันลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา