บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 79 การต่อสู้ภายในคุก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 79 การต่อสู้ภายในคุก

บทที่ 79 การต่อสู้ภายในคุก

เมื่อราชาอสรพิษอินทนิลกล่าวขึ้น คนทั้งแปดที่ถูกผูกไว้กับเสาเหล็กต่างเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เศร้าโศกและสิ้นหวังของพวกเขาต่างก็มีท่าทีเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง

“เหตุใดพวกเจ้าถึงมองข้าอย่างอาฆาตเช่นนั้น? หลังจากที่ปราณแท้ของพวกเจ้าถูกปิดผนึก พวกเจ้าก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ หากข้าอยากจะฆ่าพวกเจ้า เพียงแค่ข้าสะบัดมือเบา ๆ ก็ปลิดชีพได้อย่างง่ายดาย” ราชาอสรพิษอินทนิลกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของมันยังคงจับจ้องไปยังตู้ชิงซีตลอดเวลา ในความคิดของมันแม้สีหน้าของตู้ชิงซีจะดูซีดเซียว แต่ใบหน้าที่งดงามของนางช่างดึงดูดใจเป็นยิ่งนัก สิ่งนี้ทำให้มันรู้สึกกระหายและปรารถนา จนอดไม่ได้ที่จะเอนกายเข้าใกล้เพื่อลูบใบหน้าของหญิงสาว

“หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายเล็บข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อฆ่าตัวตายในทันที!” ตู้ชิงซีหันศีรษะไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการจับต้องของมัน ในตอนนี้ดวงตาที่ใสกระจ่างของนางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นและชิงชัง

เคล็ดวิชาลับ? ฆ่าตัวตาย?

ราชาอสรพิษอินทนิลตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “พวกเจ้าเป็นมนุษย์ที่แปลกจริง ๆ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะบ่มเพาะเคล็ดวิชาลับสำหรับฆ่าตัวตายเพื่อใช้ในสถานการณ์เช่นนี้”

แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่ราชาอสรพิษอินทนิลก็ไม่กล้ากระทำการโดยบุ่มบ่ามอีก อย่างไรก็ตาม การกลั่นโอสถลาภวิญญาณโลหิต ต้องการเลือดและดวงวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยพลัง หากตู้ชิงซีเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เขาย่อมรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียเช่นกัน

“ทำไมต้องดิ้นรนขัดขืนด้วยเล่า? หากเจ้าเชื่อฟังข้า ข้ารับประกันได้เลยว่าข้าจะทำให้เจ้าพึงพอใจ ข้าจะทำให้เจ้าได้สัมผัสกับสรวงสวรรค์และตกหลุมรักราชาองค์นี้อย่างแน่นอน”

ราชาอสรพิษอินทนิลจ้องมองร่างกายของตู้ชิงซีอย่างเปิดเผย สายตาของเขาเต็มไปด้วยราคะ คำพูดของมันเต็มไปด้วยถ้อยคำสกปรกโสโครก จนทำให้ตู้ชิงซีโกรธจนใบหน้าของนางซีดจางขณะที่นางกัดริมฝีปากแน่นจนตัวสั่นสะท้าน

“ช่างน่ารังเกียจ! ราชาอสรพิษอินทนิล เจ้ามาที่นี้ด้วยเหตุใด! เจ้าไม่ละอายใจที่ข่มเหงผู้หญิงหรือ?” ต้วนมู่เจ๋อที่อยู่ใกล้ ๆ ตะคอกด้วยความโกรธ

“ยามที่ราชาผู้นี้พูด มันใช่เรื่องของเจ้าที่จะแส่หรือ?” ราชาอสรพิษอินทนิลแค่นหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็กระโจนไปอยู่เบื้องหน้าของต้วนมู่เจ๋อ และตบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรุนแรง รอยนิ้วสีแดงทั้งห้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาทันที

“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ต้วนมู่เจ๋อโกรธจนคลุ้มคลั่งในขณะที่เขาดิ้นรนพยายามกระชากเสาเหล็กออกไป แต่ก็เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์

การตบหน้าถือว่าเป็นวิธีหยามเกียรติผู้ถูกกระทำเป็นที่สุด การตบที่ดังสนั่นรวมกับท่าทางดูถูกเหยียดหยาม ยิ่งกระตุ้นโทสะของผู้ถูกกระทำราวกับถูกคมมีดแทงเข้าที่หัวใจ

ตั้งแต่ต้วนมู่เจ๋อเกิดในตระกูลต้วนมู่ ตัวเขาราวกับเป็นโอรสสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจ อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาและสง่างาม เปี่ยมไปด้วยท่าทางที่องอาจ เขาไม่เคยถูกข่มเหงจนได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน การฆ่าเขานั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่การตบครั้งนี้… มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน!

“โกรธแค้น? สิ้นหวัง?” ราชาอสรพิษอินทนิลเป็นดั่งอสูรร้ายขณะที่เขากำลังแสยะยิ้ม “เจ้าต้องการที่จะฆ่าข้า? น่าเสียดายที่เจ้าไม่อาจทำได้ต่อให้ไอ้หนุ่มที่ชื่อเฉินซีจะพยายามมาช่วยพวกเจ้าก็ตาม ตอนนี้มันติดอยู่ในค่ายกลวงกตพันมายา โอ้ อันที่จริง ข้าคิดว่ามันอาจจะตายด้วยน้ำมือของราชามังกรทมิฬไปแล้ว”

“เฉินซี!” ร่างของต้วนมู่เจ๋อสั่นสะท้านไม่หยุด จากนั้นก็แผดร้องด้วยกำลังที่เขามี “เฉินซี รีบหนีไปซะ! มีราชาอสูรสามตนอยู่ที่นี่ และเจ้าไม่ใช่คู่มือของพวกมันอย่างแน่นอน!”

ด้านข้างต้วนมู่เจ๋อ ร่างกายของตู้ชิงซีพลันแข็งทื่อขณะที่นางบ่นพึมพำ “เฉินซี? เขา… เหตุใดเขาถึงมาที่นี่? เขาจะเอาชีวิตมาทิ้งเช่นนี้หรือ? ช่างโง่เขลาเหลือเกิน…”

แม้ว่านางจะกล่าวเช่นนี้ แต่กระแสความอบอุ่นก็หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของนาง หลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่นางถูกคุมขังอยู่ที่ใจกลางภูเขาแห่งนี้ นางก็รู้สึกสิ้นหวังไปนานแล้ว และต้องการจบชีวิตอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่พบกับความทรมานและความอัปยศ ทว่าเมื่อได้ยินว่าเฉินซีกำลังมาช่วย นางจะไม่รู้สึกหวั่นไหวได้อย่างไร

“บัดซบ! นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตาย? ไสหัวไป! จงรีบไสหัวไปซะ ข้าไม่ยอมให้เจ้าต้องมาช่วยข้าหรอก ไสหัวไปซะ!!” ซ่งหลินเงยหน้าขึ้นขณะกัดฟันและแผดเสียงร้อง ดวงตาของเขาก็เอ่อล้นด้วยน้ำตาที่รินไหล

ยามที่ถูกคุมขังอยู่ภายในคุก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ แต่พวกเขากลับถูกดูหมิ่นและสาปแช่งจากบรรดาสัตว์อสูร มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดั่งนรกที่ความตายคงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

“ฮ่า ๆๆ! ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้ยินชัด ๆ เฉินซีเกือบจะตายอยู่แล้ว พวกเจ้าจะแผดร้องไปเพื่ออะไร?” ราชาอสรพิษอินทนิลส่งเสียงหัวเราะที่เสียดหู เสียงหัวเราะของมันเผยให้เห็นความมั่นใจและพึงพอใจเป็นอย่างมาก “จงยอมจำนนซะ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคงต้องรอการมาของมันไปตลอดกาล!”

“ช่างน่าเสียดาย ข้าคงทำให้เจ้าต้องผิดหวังแล้ว” ทว่าทันใดนั้น เสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ขณะเดียวกับที่เสียงนี้ปรากฏ ปราณกระบี่เย็นเยียบที่รวดเร็วดุจสายฟ้าก็พุ่งเข้าหาลำคอของราชาอสรพิษอินทนิล!

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ปฏิกิริยาของราชาอสรพิษอินทนิลนั้นรวดเร็วเช่นกัน ทันใดนั้น ค้อนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยแสงสีน้ำเงินก็ปรากฏในมือของมันและทุบลงไปยังปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามา

ค้อนขนาดใหญ่นี้มีนามว่า ‘ค้อนผลึกคราม’ ซึ่งเป็นศัสตราระดับปฐพีขั้นกลางที่สร้างจากโลหะผลึกครามและถูกราชาอสรพิษอินทนิลหล่อเลี้ยงในร่างกายเพื่อบ่มเพาะมันเป็นเวลานับพันปี ทำให้มันมีปราณวิญญาณที่ล้นเหลือ

ยามที่เหวี่ยงค้อนออกไป ทำให้เกิดสายลมสีน้ำเงินระเบิดออกอย่างรุนแรง ลมกระโชกส่งเสียงหวีดหวิวด้วยพลังอันน่าตกตะลึง อย่างไรก็ตาม ปราณกระบี่นั้นราวกับมันมีสติปัญญาจึงสามารถหลบเลี่ยงการปะทะกับค้อนผลึกครามได้ ก่อนที่มันจะวกกลับมาจู่โจมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จนบีบให้ราชาอสรพิษอินทนิลต้องล่าถอยไปอย่างทุลักทุเลและสูญสิ้นความคิดไปชั่วขณะ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ปราณกระบี่อีกสองสามสายปรากฏขึ้น และเข้าผสานกับปราณกระบี่แรกที่ถูกฟันออกไป พวกมันหลอมรวมกันจนอำนาจเพิ่มพูนคล้ายกับพายุกระบี่ที่ส่งเสียงกึกก้อง

ความเร็วของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง ความเกรี้ยวกราดราวกับสายฟ้าของกระบี่ไผ่ทองคำนิล และความเยียบเย็นดั่งน้ำแข็งจากเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์รวมเข้ากับเจตจำนงกระบี่ที่หลั่งไหลออกมา จนก่อให้เกิดภาพอันน่าหวาดหวั่น

คนที่สามารถใช้เคล็ดวิชากระบี่ระดับนี้ได้ย่อมเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อครู่นี้ขณะที่ราชาอสรพิษอินทนิลกำลังเยาะเย้ยต้วนมู่เจ๋อและลวนลามตู้ชิงซี เฉินซีได้ลอบเข้ามาอย่างเงียบ ๆ โดยใช้วิชารัศมีไร้ร่องรอยและซ่อนอยู่บริเวณใกล้เคียง เขาจึงได้ยินทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินซีได้ยินตู้ชิงซีและพวกพ้องแผดร้องอย่างสุดความสามารถเพื่อห้ามไม่ให้เขาเข้ามาช่วยเพราะเป็นกังวล มันทำเขารู้สึกผ่อนคลายราวกับว่าได้ปลดภาระออกจากหัวใจ ดวงจิตแห่งเต๋าของเขากระจ่างชัดและความคิดเปิดกว้าง ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ความตั้งใจที่จะช่วยคนเหล่านี้มีเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากห้องขังเล็กและคับแคบ อาจทำให้ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ได้รับบาดเจ็บหากการต่อสู้ยืดเยื้อ ดังนั้นเฉินซีจึงตัดสินใจใช้กำลังทั้งหมดในการโจมตี เพื่อที่จะสังหารราชาอสรพิษอินทนิลภายในระยะเวลาอันสั้นที่สุด

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ปราณกระบี่เป็นดั่งสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกควบแน่นอยู่ที่ปลายกระบี่ มันบังคับให้ราชาอสรพิษอินทนิลต้องถอยร่นไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความทุลักทุเล

เคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องถูกเฉินซีใช้จนถึงขีดสุด และไม่ทราบว่าเขาใช้ไปแล้วกี่กระบวนท่า การโจมตีด้วยกระบี่ทุกครั้งแฝงไปด้วยเต๋าแห่งสายลม อีกทั้งยังรวดเร็วราวกับสายฟ้า ห้องขังที่เล็กและคับแคบในตอนนี้ มีปราณกระบี่นับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนสายฟ้าและสายลม พลังกระบี่ที่เกรี้ยวกราดและรวดเร็วแทบจะบดขยี้พื้นที่โดยรอบ

“เฉินซี!”

“เขาต่อกรกับมันได้จริง ๆ…”

“เขาแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

ในขณะเดียวกันนี้ผู้คนทั้งแปดที่อยู่ในคุกก็จดจำเฉินซีได้ ท่าทางที่ดูสิ้นหวังและท้อแท้ของพวกเขาก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นความปั่นป่วน อีกทั้งดวงตาของพวกเขาเริ่มมีประกายแห่งความหวังลุกโชนขึ้น

“เต๋ารู้แจ้ง! ปราณแท้ธาตุน้ำแข็ง! การบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล!” เสียงร้องอย่างตกตะลึงใจดังติดต่อกันถึงสามครั้ง หากเฉินซีหันกลับมา เขาย่อมสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อุทานออกมาคือ ฉางปินซึ่งเป็นผู้นำของศิษย์รุ่นเยาว์แห่งตระกูลฉางที่คอยเฝ้าติดตามซูเจียวอยู่เสมอ

หลังจากที่เขาเผลอร้องออกไป ฉางปินดูเหมือนจะตระหนักว่ามันไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงรีบปิดปากสนิท ท่าทางของเขาแปรเปลี่ยนไปมา

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินซีนั้นไม่ดีอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เพราะซูเจียว เขาคงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดคือเฉินซี จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเปรียบเฉินซีเป็นมดที่น่าสมเพช และเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เมื่อราชาอสรพิษอินทนิลกล่าวว่า เฉินซีได้บุกเข้ามายังหุบเขาจันทราโหยหวนและต้องการที่จะช่วยเหลือพวกเขา

ลูกหลานจากตระกูลยากจนที่รู้จักแค่การสร้างยันต์และทำอาหารเพียงเท่านั้น จะสามารถเอาชีวิตรอดจากบรรดาอสูรนับไม่ถ้วนได้อย่างไร? อีกทั้งมันจะต้านทานการโจมตีจากราชาอสูรทั้งสามได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นเฉินซีใช้กระบี่บีบบังคับให้ราชาอสรพิษอินทนิลล่าถอยไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีโอกาสที่จะโต้กลับ ในเวลานี้ ฉางปินก็ตระหนักได้ว่าคนที่เขามักจะดูถูกว่าเป็นมดปลวก ฝีมือกลับรุดหน้าไปไกล จนทิ้งเขาไว้ยังเบื้องหลัง…

ความแตกต่างที่รุนแรงนี้ ทำให้เขาไม่อาจยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และหวังว่าเฉินซีจะล้มตายด้วยน้ำมือของราชาอสรพิษอินทนิลในตอนนี้

นี่คือความคิดของฉางปินที่ไม่อยากเห็นมดที่เคยอ่อนแอกลับกลายเป็นยักษ์ที่ทำให้เขาต้องแหงนมองขึ้นไปเท่านั้น

อิจฉา? ความรู้สึกที่บิดเบี้ยว? การไม่ยินยอม? มันช่างซับซ้อนเกินไป!

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นท่าทีอันผิดปกติของฉางปิน ความสนใจของผู้คนถูกดึงดูดด้วยเสียงร้องตกใจก่อนหน้านี้ เมื่อพวกเขาเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง จึงพบว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีได้เปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ และการบ่มเพาะในเต๋าแห่งการต่อสู้ของชายหนุ่มก็พัฒนาไปถึงขั้นเต๋ารู้แจ้งซึ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นตัวตนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเมืองทะเลสาบมังกร แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่มีการบ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้บรรลุไปถึงขั้นเต๋ารู้แจ้งได้แบบเดียวกับเฉินซี!

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายผู้นี้ได้รับโชคก้อนใหญ่โดยบังเอิญ? มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นคนละคน!” ต้วนมู่เจ๋อบ่นพึมพำ เขาทั้งตกตะลึงและรู้สึกยินดี

“ ตั้งแต่เขาเข้าไปในดินแดนนรกร้างใต้พิภพ เขาอาจจะเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้เสมอ” ซ่งหลินกล่าวราวกับเขาคิดอะไรบางอย่างออก

“ไม่ว่าอะไรก็ตาม การที่เฉินซีเสี่ยงชีวิตมาช่วยเหลือพวกเรา แสดงว่าเขาได้ถือพวกเราเป็นสหายเสมอมา แต่พวกเรากลับ…” หลังจากที่นางกล่าวออกไปไม่นาน สีหน้าของตู้ชิงซีก็มืดมนลง “แต่พวกเราไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเขาเลย ตอนที่พวกเราอยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ไฉ่เล่อเทียนได้ลอบทำร้ายเฉินซีจนตกลงไปในหุบเหวลึก พวกเรากลับลังเลที่จะช่วยเขาเนื่องจากเกรงกลัวภูมิหลังของไฉ่เล่อเทียน จึงทำได้เพียงยืนเฉยและไม่ได้ลงมือใด ๆ ข้าเกรงว่าเราได้หักหลังเขาไปแล้ว” คำกล่าวของตู้ชิงซีทำให้ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ

แคว่ก!

เสียงที่เหมือนผ้าฉีกขาดดังขึ้น รอยแผลยาวและเรียบได้พาดผ่านลงมาจากไหล่ซ้ายของราชาอสรพิษอินทนิล ฉีกเสื้อผ้าและเนื้อหนังของมัน เลือดสีแดงสดหลั่งไหลออกมากมาย

แคร็ก!

เสียงดังสนั่นราวกับบางสิ่งได้พังทลาย และค้อนผลึกครามที่อยู่ในมือของราชาอสรพิษอินทนิลก็แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย กระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน

“ข้า… ข้าบาดเจ็บหรือ?” ร่างของราชาอสรพิษอินทนิลเอนตัวพิงผนังห้องขังด้วยสีหน้าเลื่อนลอย หลังประสบกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

เฉินซีจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดรอดไปได้อย่างไร? กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเขาส่งเสียงหวีดร้อง ขณะที่มันแทงตรงไปที่ลำคอของราชาอสรพิษอินทนิลอย่างรวดเร็ว!

ในเวลานี้เอง กำแพงก็พังทลายลงพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง

ทันใดนั้น ชายชุดดำที่มีรูปร่างผอมบางก็ได้ปรากฏตัวขึ้น และคว้าราชาอสรพิษอินทนิลออกไปได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนที่เขาจะล่าถอยออกไปราวร้อยยี่สิบจั้ง ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเคล็ดวิชากระบี่ของเฉินซี!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท