บทที่ 88 ภูเขากำราบธาตุ
บทที่ 88 ภูเขากำราบธาตุ
พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งเนินเขาเขียวขจี สายน้ำสีฟ้าใสแจ๋ว เมฆหมอกที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ รวมถึงนกนานาชนิด ทว่าใกล้ ๆ กับภูเขาสูงชันดำสนิทมีลมกระโชกแรงพัดกระหน่ำ กรวดทรายปลิวว่อนขึ้นสูงกระจายไปทั่วท้องฟ้า ทั้งยังปรากฏเสียงหอนโหยหวนแว่วมา ราวกับเสียงคร่ำครวญของสัตว์ประหลาดปะปนมากับเสียงสุนัขป่าเห่าหอน
ภาพที่แตกต่างกันสองภาพรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา ทว่าภาพทั้งสองนั้นกลับแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน จนน่าประหลาดใจ!
ครืน!
เรือเหาะสมบัติหยุดนิ่งห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยลี้
“ดูนั่น” ราชาเต่าเฒ่าชี้ไปยังภูเขาดำทมิฬ “ที่นั่นมีชื่อว่าภูเขาธาตุผกผัน ในบริเวณนั้นมวลธาตุต่าง ๆ จะกลับตาลปัตร ทำให้ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูรก็อาศัยอยู่ที่นั่นไม่ได้ แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะพลังอย่างพวกเราก็เช่นกัน หากพลั้งเข้าไปจะมีอาการโลหิตไหลย้อนออกจากหัวใจและปราณแท้ในร่างจะปั่นป่วนยุ่งเหยิง ยิ่งถ้าใครเข้าไปอยู่ในรัศมีของภูเขาธาตุผกผันนานมากเท่าใด ปราณภายในร่างของคนผู้นั้นก็จะยิ่งปั่นป่วนจนอาจระเบิด และตายลงในที่สุด”
ดวงวิญญาณของเฉินซีนั้นมีความแข็งแกร่งยิ่งยวด ทันทีที่ชายหนุ่มขยายญาณจิตเฉียดเข้าใกล้ภูเขาสีดำลูกนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นถึงความแปรปรวนดุจกระแสน้ำได้อย่างเฉียบพลัน มันทั้งมืดมิด ลึกลับ และหนักหน่วง… ประหนึ่งภูเขาลูกนี้ได้บรรจุพลังบางอย่างที่พร้อมจะบดขยี้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเอาไว้ พลันทำให้หัวใจของคนกระตุกแรงขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“น่ากลัวมากจริง ๆ” เฉินซีมองตามแล้วพยักหน้า “ชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากอยู่ใต้ภูเขาลูกนั้นสินะ”
“ถูกต้อง ตามที่บรรพบุรุษของข้าเคยกล่าวไว้ ในอดีต ไม่มีสถานที่ที่ถูกเรียกว่าภูเขาธาตุผกผัน แต่เมื่อล้านปีที่แล้วมันกลับบังเกิดขึ้นพร้อมกับข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลาก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากต้องถูกผนึกอยู่ข้างใต้อย่างแน่นอน” เสียงของราชาเต่าเฒ่าตอบ
“ยิ่งกว่านั้นตามข้อสันนิษฐานของข้า ความผันผวนประหลาดน่าจะมีสาเหตุจากการที่ภูเขาธาตุผกผันพยายามปกปิดอำนาจพลังของแผนภาพวารีหลากเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็คงมีผู้บ่มเพาะที่มีความแข็งแกร่งเหนือจินตนาการเจอมันตั้งนานแล้ว”
“เราควรทำอย่างไรต่อ?” เฉินซีไม่อาจรีรอต่ออีกแม้อึดใจเดียว ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว ตราบใดที่มันคือ ‘แผนภาพวารีหลาก’ ก็จะยังเป็นสิ่งล่อใจมากอยู่วันยังค่ำ
ดังคำกล่าวที่ว่าเงินทองเปลี่ยนใจคนได้ฉันใด สิ่งยั่วยุก็ย่อมเกิดขึ้นได้ฉันนั้น หลักการนี้ยังถูกต้องเสมอ
“ไม่มีทางอื่น พวกเราต้องเดินเข้าไปตรง ๆ เท่านั้น” ราชาเต่าเฒ่าผายมือพลางยกยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อเข้าไปในบริเวณภูเขาธาตุผกผัน สมบัติวิเศษใด ๆ จะไร้อำนาจทันทีเนื่องจากความผกผันของพลังที่อยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่สามารถใช้เรือเหาะสมบัตินี้ได้อีกต่อไป ส่วนตำแหน่งของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากนั้นอยู่ข้างใต้ภูเขาธาตุผกผันลูกนั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของราชาเต่าเฒ่าก็เคร่งเครียดจริงจังขึ้นทันที จากนั้นจึงกล่าวว่า “เมื่อพวกเราเข้าใกล้ภูเขาธาตุผกผัน พลังของข้ากับชิงชิวจะถดถอยลงมาก น้องชายเฉินซี ข้าเกรงว่าถึงตอนนั้นพวกเราจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้…บางทีเจ้าจะต้องอาศัยความสามารถของตัวเองในการเข้าไปนำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากกลับมา”
“ตกลง!” หากอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ! เป็นเรื่องปกติที่การจะนำเอาชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากมาอย่างง่ายดายนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เฉินซีคาดแล้วว่าจะต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้
“ไปกัน!” เฉินซีทะยานลงจากเรือเหาะสมบัติเป็นคนแรก ทันทีที่เท้าเหยียบไปบนที่พื้นดินอันแห้งแล้ง ฉับพลันเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหวและสัมผัสถึงพลังมืด ทั้งลึกลับและหนักหน่วงปะทะเข้าที่ใบหน้าของเขา ปราณแท้ในขั้นตำหนักอินทนิลเองก็ราวกับถูกบางสิ่งกระตุ้นจึงทำให้เริ่มปั่นป่วน แม้แต่โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายก็เหมือนไม่อาจควบคุมได้และกำลังจะไหลย้อนกลับ
ชายหนุ่มจึงโคจรวิชาบ่มเพาะพลังของตนอย่างรีบด่วน จากนั้นจึงสามารถยับยั้งไว้ได้ ยามนี้สีหน้าท่าทางของเขาถมึงทึงน่ากลัวนัก
หวิว~! หวิว~!
กระแสลมกระโชกมาอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาประหนึ่งเสียงของเทพแห่งภูตผีปีศาจกำลังร่ำไห้ ทิ่มแทงเข้าไปในโสตประสาทจนเสียดหู ทว่าสำหรับเฉินซีผู้รู้แจ้งในเต๋าแห่งสายลมแล้ว ตระหนักรู้แก่ใจว่าไม่มีอะไรในกระแสลมนั้น
ทันทีที่กระแสพายุรุนแรงสัมผัสร่างกายของชายหนุ่ม ราวกับว่ามันได้พานพบราชาของพวกมันจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี และไม่กล้าต้านทานอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าพวกมันแต่อย่างใด
จากนั้นเฉินซีก็เคลื่อนออกไปพร้อมกับพลังที่มหาศาลและก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่อยู่ลึกเข้าไป พลังผันผวนที่ผิดปกติของภูเขาธาตุผกผันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มันซัดผ่านร่างของเขาดั่งคลื่นยักษ์ระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับภูตผีที่ต้องการจะจับและดูดดวงวิญญาณ พวกมันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าทำให้โลหิตและปราณแท้ในร่างกายของเฉินซีปะทุระเบิด
ขณะเดียวกัน ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางก็เร่งตามไปติด ๆ เวลานี้พวกเขาไร้ทั้งศัสตราวิเศษหรือสมบัติที่จะใช้ป้องกันตนเอง จะมีก็เพียงความช่วยเหลือจากเฉินซีเท่านั้น ยามนี้กระแสลมหนักหน่วงไม่อาจสัมผัสร่างกายของพวกเขาได้เช่นกัน ทำให้ราชาอสูรนึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่หัวใจไม่รู้จักจบ พลางจับจ้องไปยังแผ่นหลังของเฉินซีด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป เหลือระยะทางอีกราวร้อยจั้งทั้งหมดก็จะไปถึงภูเขาธาตุผกผันแล้ว ทว่าตอนนี้ดูเหมือนราชาอสูรทั้งสองจะก้าวต่อไปไม่ไหว พวกเขาหอบหายใจอย่างหนักหน่วงและถี่เร็ว ยามนี้สีหน้าของแต่ละคนซีดขาวอย่างกับผีดิบ แสดงว่าพลังผกผันที่ไร้รูปลักษณ์และประหลาดล้ำนั่นได้สร้างแรงกดดันต่อพวกเขาอย่างมากมาย
มีเพียงเฉินซีที่ยังนับว่าปกติอยู่เนื่องจากดวงใจเต๋าของเขาแข็งแกร่งดุจภูผาสวรรค์ และดวงวิญญาณของเขาก็ได้บรรลุไปถึงขั้นญาณจิตแล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อให้ความผกผันนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากก็ยังอยู่ในระดับที่เขาสามารถทนได้
“น้องชายเฉินซี ข้ากับชิงชิวคงมาส่งเจ้าได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” ราชาเต่าเฒ่าหยุดพูดพลางสูดหายใจหนัก
“เจ้าต้องทำให้สำเร็จ พวกเราจะรอการกลับมาอย่างมีชัยของเจ้า!” ราชาจิ้งจอกเก้าหางพูดพลางจ้องเข้าไปยังดวงตาของเฉินซี คำพูดนั้นเน้นย้ำช้า ๆ ชัด ๆ ในทุกพยางค์
“ตกลง!” เฉินซีพยักหน้าก่อนจะออกเดินต่อไป
“เขาจะทำสำเร็จหรือไม่” ขณะนั้นราชาจิ้งจอกเก้าหางจับตามองร่างของเฉินซีซึ่งค่อย ๆ หายลับไปในระยะไกล ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตน เสียงพึมพำแผ่วเบาออกมาว่า “ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ข้าคงมีแต่นั่งรอความตายเท่านั้น”
“อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปเลย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขายังมีผู้อาวุโสลึกลับที่น่าเกรงขามคอยช่วยเหลืออยู่?” ราชาเต่าเฒ่ากล่าวเสียงขรึมขึ้น “เขาต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อใดที่เขานำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากออกมาได้ พันธนาการที่ครอบงำเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้อยู่จะถูกทำลาย เจ้ากับข้าจะสามารถบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้ พวกเราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอายุขัยและต้องตายอย่างอนาถด้วย”
…
“บัดซบ! พลังอะไรกันแน่ ประหลาดนัก” ยิ่งเฉินซีเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร กลับยิ่งเหน็ดเหนื่อยขึ้นทุกที เขาต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีควบคุมการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย หากชายหนุ่มผ่อนกำลังลงเพียงเล็กน้อย โลหิตในตัวรวมทั้งปราณแท้จะเกิดการปั่นป่วนและเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ซึ่งผลที่ตามมายากจะจินตนาการทีเดียว
“ถ้าข้าไม่สำเร็จขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดาราแล้วละก็ เห็นทีตอนนี้ข้าคงต้องตายเพราะโลหิตไหลย้อนกลับเป็นแน่ ซ้ำปราณแท้ยังปั่นป่วนไปหมด ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหตุใดภายในรัศมีร้อยลี้ของภูเขาธาตุผกผันจึงไร้ชีวิตชีวาแบบนี้”
ช่วงระยะห่างจากภูเขาธาตุผกผันอีกราวสามสิบจั้งเศษ เฉินซีต้องหยุดพักเล็กน้อยระหว่างทาง เนื่องจากเขาต้องโคจรปราณเพื่อต้านแรงผันผวนมาตลอดทาง จึงทำให้กายและใจของเขาอ่อนแรงอย่างมาก ขณะนั้นสายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งไปที่ภูเขาธาตุผกผันที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ความหวาดกลัวจากการเดินทางที่ผ่านมาพุ่งวาบเข้าจับหัวใจทันที
“พลังในโลกนี้ช่างมหัศจรรย์นัก ธาตุกลับตาลปัตร…ในโลกนี้ยังมีพลังอะไรเช่นนั้น ถ้าข้าใช้พลังชนิดนี้มาผสานเข้ากับสมบัติวิเศษของข้าได้ เดาได้เลยว่ามันจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นกว่าเก่าแน่นอน”
“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว!” ขณะที่เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ความคิด จี้อวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้น เขายืนเอามือไพล่หลังสบาย ๆ อยู่ข้าง ๆ นั่นเอง ในตอนนี้ชายชรากำลังมองไปที่ภูเขาสูงชันน่าอันตรายซึ่งสูงขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ
“ผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่ว่าบนยอดเขาธาตุผกผันมีพลังงานอะไรอยู่กันแน่ และข้าจะนำมาปรับแต่งใส่สมบัติวิเศษได้อย่างไร” เฉินซีถามออกไปด้วยสุ้มเสียงระคนสงสัย
จี้อวี๋ถึงกับชะงัก “ที่นี่คือภูเขากำราบธาตุต่างหาก! ไม่ใช่ภูเขาธาตุผกผันอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจ!”
คราวนี้กลายเป็นเฉินซีที่ตะลึงงัน “ภูเขากำราบธาตุอย่างนั้นหรือ?”
“ที่นี่คือภูเขากำราบธาตุไม่ผิดแน่ เนื่องจากมันมีแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบล้ำลึกปกคลุมอยู่ทั่ว แค่เม็ดกรวดของมันที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวก็มีน้ำหนักไม่น้อยกว่าสามแสนชั่ง อีกทั้งยังสามารถยับยั้งแก่นของธาตุทั้งห้าได้ ในยุคบรรพกาล ภูเขากำราบธาตุเป็นวัตถุล้ำค่าสำหรับใช้สร้างศัสตราที่หายากมาก ส่วนแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบล้ำลึกที่สถิตอยู่ในนั้นสามารถใช้บ่มเพาะทักษะเทพอิทธิฤทธิ์ที่เรียกว่าทักษะปีกกำราบผกผัน อำนาจของทักษะนี้ไม่เพียงสามารถทำให้ผู้ฝึกตนบินทะลวงมิติและเคลื่อนที่ไปในระยะไกลได้ในชั่วพริบตาเท่านั้น แต่ยังสามารถปลดปล่อยรัศมีแสงที่ทำให้สมบัติวิเศษของธาตุทั้งห้าสูญเสียพลังอย่างฉับพลัน!”
“ความแข็งแกร่งของมันหาได้ด้อยกว่าพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ห้ารัศมี ซึ่งอยู่ในอันดับสิบของช่วงกำเนิดโลกยุคแรก”
“ส่วนภูเขาธาตุผกผันก็มีอยู่จริงเช่นกัน ภูเขาธาตุผกผันนั้นลี้ลับอย่างยิ่ง มันสามารถกดอากาศบริสุทธิ์ให้จมลงไป และดันอากาศปนเปื้อนอันตรายให้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สลับเปลี่ยนสวรรค์และโลกมนุษย์ เกิดพลังเวียนย้อนกลับ อย่างไรก็ตามเมื่อหลายล้านปีก่อน มีผู้บ่มเพาะทรงพลังได้ขัดเกลาจนมันกลายเป็นสมบัติวิเศษ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีภูเขาธาตุผกผันปรากฏขึ้นในโลกเป็นแห่งที่สอง” จี้อวี๋เขม้นสายตามองไปยังภูเขากำราบธาตุ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการหวนรำลึกและความทรงจำ
‘ภูเขากำราบธาตุ ภูเขาธาตุผกผัน ปีกกำราบผกผัน แสงศักดิ์สิทธิ์ห้ารัศมี… ในยุคที่สิ่งมีชีวิตบรรพกาลยังท่องโลกอย่างอิสรเสรี ผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่มากมายเท่าใดที่ดูถูกสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก มีสมบัติล้ำค่าน่าประหลาดและปาฏิหาริย์พิสดารพันลึกมากมายเพียงใดเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น’
เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของเฉินซีก็เต้นรัวสลับแผ่วเบาเหมือนกระแสน้ำขึ้นลง ขณะที่ความโหยหาอันไร้ที่สิ้นสุดผุดขึ้นกลางใจ
“เจ้าอยากจะเก็บภูเขากำราบธาตุแห่งนี้ไว้อย่างนั้นหรือ” จี้อวี๋หันมาถามทันควัน
“ใช่ขอรับ!” เฉินซีตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด วัตถุล้ำค่าที่บรรจุแสงศักดิ์สิทธิ์ล้ำลึกไว้ภายใน ทั้งยังสามารถใช้บ่มเพาะปีกกำราบผกผันได้ มีหรือเขาจะปล่อยให้หลุดลอยไป
แน่ล่ะ เฉินซีรู้ดีว่าลำพังอาศัยความแข็งแกร่งของตนในตอนนี้เพียงอย่างเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บครอบครองมันเอาไว้ ที่สุดแล้วนี่คือภูเขาสูงเกือบเก้าพันกว่าจั้ง น้ำหนักของมันจะเท่าไรนะ? แปดพันล้านกว่าชั่งหรืออาจถึงแปดแสนล้านชั่ง มิอาจประเมินได้!
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าจี้อวี๋จะช่วยตนเก็บภูเขากำราบธาตุไว้ให้เฉินซีจึงลิงโลดใจเป็นอย่างมาก
“ข้าทำได้แค่ช่วยลากมันเข้าไปในเคหาบ่มเพาะของนายข้าเท่านั้น อีกอย่าง…” จี้อวี๋มีท่าทีเคร่งขรึมมากขึ้น และหันมาจ้องหน้าเฉินซีก่อนจะกล่าวอย่างช้า ๆ “การเก็บมันไว้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อการนั้น ซึ่งต่อจากนี้จะทำให้ข้าต้องพักฟื้นอยู่แต่ในเคหา และไม่สามารถออกมาช่วยเจ้าได้อีกนาน”
เฉินซีชะงักงันด้วยความตกตะลึง และนิ่งเงียบไปเป็นนานกว่าจะพูดอย่างแน่วแน่ “ถ้าอย่างนั้น ถึงข้าจะไม่มีภูเขากำราบธาตุก็ไม่เป็นไร!”
จี้อวี๋เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นคนจิตใจดีจริง ๆ แต่ต่อให้เจ้าจะเอ่ยว่าไม่ต้องการภูเขากำราบธาตุแล้ว ข้าก็จะยังช่วยเจ้าเก็บมันไว้อยู่ดี!”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“เจ้าต้องรู้ว่าไว้อย่างว่า หลังจากเจ้าผ่านบททดสอบสรวงสวรรค์ระดับหนึ่งแล้ว ข้าจะออกจากเคหามาช่วยเหลือเจ้าไม่ได้อีกต่อไป เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น แทนที่จะรอให้เป็นเช่นนั้น ไยข้าไม่ใช้โอกาสที่มีอยู่ช่วยเจ้าสยบภูเขากำราบธาตุนี้เล่า”
“แต่…” เฉินซีอดหวนนึกถึงอดีตขึ้นมาไม่ได้ เขายังจำคำชี้แนะและสั่งสอนของจี้อวี๋ได้ดี ในใจอัดแน่นไปด้วยความลังเลอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเบื้องลึกในจิตใจของเฉินซีได้ยอมรับจี้อวี๋เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของครอบครัวที่เขารักใคร่นับถือ
“อย่างอแงไปหน่อยเลย เมื่อเจ้ามีพลังมากพอและผ่านบททดสอบสรวงสรรค์ทั้งหมด เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถเข้าสู่เคหาและได้พบข้าทุกวันเหมือนเดิม เห็นไหม ใช่ว่านี่จะเป็นการจากลาสุดท้ายเสียเมื่อไร ตอนนี้จงตั้งใจแน่วแน่เสียอย่าได้มัวลังเลอีกเลย” จี้อวี๋จงใจขมวดคิ้วนิ่วหน้าขณะบ่นพึมพำ
“จริงหรือผู้อาวุโส?” เฉินซีถามด้วยความรู้สึกสบายใจ
ชายชราอดยิ้มไม่ได้ “จริงแท้แน่นอน แค่ข้าไม่อาจออกไปจากเคหาได้เท่านั้น เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงทำตัวเป็นเด็กอย่างนี้”
อย่างไรก็ตาม จี้อวี๋เองก็รู้ว่าเมื่อเฉินซียังเด็ก ตระกูลของเขาถูกทำลายจนพินาศ บิดามารดาหายสาบสูญ ส่วนปู่ที่ใช้ชีวิตอยู่กันก็ต้องมาตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของศัตรู เขาจึงเหลือเพียงน้องชายคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้น้องชายไปฝึกวิชากระบี่อยู่ที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเช่นกัน หากจะเปรียบไปแล้ว เฉินซีรักคนในครอบครัวของเขายิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งมิตรสหายในวันข้างหน้า ทั้งความสัมพันธ์ฉันคนรัก ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์…
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป” เฉินซีตัดสินใจแล้วว่าเขาจะรีบขัดเกลาร่างกายเพื่อให้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลให้ได้โดยเร็วที่สุด วิธีนี้จะทำให้เขามีคุณสมบัติพอที่จะท้าทายบททดสอบสรวงสวรรค์ระดับที่หนึ่งและจะได้พบกับผู้อาวุโสจี้อวี๋ทุกวันอีกก้าวหนึ่ง
“ภูเขากำราบธาตุ…ฮ่า ๆ! เป็นเวลากว่าล้านปีแล้วสินะจนข้าเกือบจะลืมรสชาติของการต่อสู้ไปแล้ว!” ฉับพลันนั้นเองจู่ ๆ ชายชราก็เปล่งเสียงตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงดังก้องดั่งฟ้าลั่น สะท้านสะเทือนไปทั้งสวรรค์และพิภพ ขณะที่ร่างของเขาทะยานไปยังใต้ท้องฟ้า รัศมีแสงหลากสีปกคลุมไปทั่วทั้งร่างก่อนที่รูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ร่างเป็นสิงห์ ศีรษะเป็นมังกร กีบเท้าหนาดั่งเสาหินทั้งสี่เหยียบลงบนก้อนเมฆ ทั้งลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิท ร่างของเขายิ่งใหญ่ราวกับเนินเขาขนาดย่อม ทั่วทั้งร่างแผ่รัศมีเกรียงไกรไร้ขอบเขตยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน ขณะยืนตระหง่านอยู่เหนือเมฆาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ สายตาเพ่งมองลงมายังโลกมนุษย์!
ครืนนนนน!
เสียงดังสะท้านไปทั้งฟ้าดิน พื้นที่โดยรอบในรัศมีพันลี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ครู่หนึ่งพลังจิตวิญญาณก็กราดเกรี้ยวอึกทึกครึกโครมเป็นการใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้าถูกเพลิงเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน ปรากฏร่องแตกบนพื้นดินก่อนจะพังทลายลงไป เกิดเป็นหุบเหวขนาดมหึมาสลับซับซ้อนมากมายหลายแห่ง
โครม! โครม! โครม!
เฉินซีรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกราวกับกำลังถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับลงมาบนร่างของเขา แรงกดดันหนักหนาจนเขาต้องขยับถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า เวลานั้นพลังชีวิตและความดันของกระแสโลหิตที่ไหลเวียนพุ่งขึ้นไปทั่วร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง
“นะ…น่าเกรงขามนัก!” เฉินซีหอบหายใจ ในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังเงาสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่ยืนตระหง่านอยู่ใต้ท้องฟ้าเบื้องหน้า บัดนี้ความรู้สึกของชายหนุ่มราวกับว่าตนเปรียบดั่งมดปลวกที่ถูกบดขยี้สักครั้งเดียวก็คงตายอย่างไม่เหลือซาก และไร้ช่องทางที่จะต่อสู้ได้เลย!
‘พลังบ่มเพาะแบบนี้คืออะไรกันแน่’
‘ขอบเขตจุติอย่างนั้นหรือ’
‘ขอบเขตสถิตกายาอย่างนั้นหรือ’
‘ขอบเขตเซียนปฐพีสินะ’
‘หรือว่าจะเป็น…ขอบเขตเซียนสวรรค์?’
เขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจเป็นอย่างยิ่งคือ จี้อวี๋ในตอนนี้น่าเกรงขามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่อาจเป็นอื่น!
“สวรรค์แลพสุธานำทาง โลกนั้นไซ้พลังงาน อนึ่งดาราทั่วทั้งจักรวาล…” เสียงท่องบทคาถาลี้ลับดังแว่วออกมา ทั้งยิ่งใหญ่และทรงพลัง ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาส่งให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าผ่าสะเทือนทั่วทั้งฟ้าดิน ประหนึ่งจะทำให้ทุกสิ่งยินยอมพร้อมใจหมอบกราบศิโรราบ
พลันกีบเท้าของจี้อวี๋ยกขึ้นและก้าวออกไปที่ท้องฟ้าทันที ขณะที่อ้าปากคำรามด้วยเสียงของมังกร “ผนึก!”
คำสั้น ๆ แต่มีความลึกล้ำถึงมหาเต๋าและความลึกลับแห่งวัฏจักรสวรรค์ เสียงสวดคาถาบูชาเป็นภาษาสันสกฤตโบราณดังราวกับเสียงตะโกนเข้าไปเขย่าจิตวิญญาณมุ่งหมายต่อ ความเป็นและความตาย โลก และฟ้าดิน!
ทั้งร่างกายของเฉินซีสั่นไหวไปหมด จนเกือบต้องทรุดคุกเข่าลงและนอนราบลงกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น ด้วยดวงวิญญาณในตัวกำลังได้รับความทุกข์ทรมานจากพลังแห่งฟ้าดินอันไร้รูปทรงกำลังเต้นเร่าอยู่ข้างใน
ครืนนน!
ฉับพลันต่อมา ภูเขากำราบธาตุสูงตระหง่านกว่าเก้าพันจั้งเริ่มไหวสั่นรุนแรงขึ้น ชั่วขณะหนึ่งมันคล้ายกับกำลังจะถูกถอนรากถอนโคน ทว่าทันใดนั้นมันกลับต่อต้านขัดขืน พลังอันหม่นมัวและลี้ลับพุ่งปะทุออก ก่อนจะม้วนตัวจนเป็นเงาดำที่ทำให้หัวใจผู้คนสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว เงานั้นพุ่งใส่จี้อวี๋ขณะยืนตระหง่านอยู่ใต้นภาทันที
น่าตกใจอย่างยิ่ง ด้วยภูเขากำราบธาตุที่เปล่งประกายรุ่งโรจน์สามารถแผดเผาแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าจนเหลือแต่เถ้าถ่าน!
“ยังกล้าสู้ข้าอย่างนั้นหรือ!” จี้อวี๋ในคราบของสิงห์ศีรษะมังกรเปล่งเสียงคำรามสนั่น เสียงที่ดังปานฟ้าร้องระเบิดออกมาส่งผลให้เงาดำทะมึนของภูเขากำราบธาตุแตกสลายและหายวับไปในพริบตา
“กลืน!” จู่ ๆ กลางนภาก็ปรากฏปากทางยักษ์ซึ่งกินเนื้อที่ราวหกลี้เห็นจะได้ ประหนึ่งตาพายุที่ตั้งหน้าตั้งตากลืนกินภูเขากำราบธาตุทั้งลูกอย่างโหดเหี้ยม
เวลานี้เฉินซีได้ประจักษ์แก่สายตาว่าภูเขากำราบธาตุซึ่งมีความสูงถึงเก้าพันจั้งเศษจู่ ๆ ก็กลายเป็นดั่งเส้นฟางไร้ฐาน รากปลิวลอยขึ้นสู่อากาศก่อนจะหายเข้าไปในปากทางขนาดใหญ่ในชั่วพริบตา
วูบ!
ทันใดนั้นปากทางเข้าประหลาดบนท้องฟ้าก็หายวับไปทันทีเช่นกัน
ฟิ้วววว!
ครู่หนึ่งต่อมาบริเวณพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ซึ่งภูเขากำราบธาตุเพิ่งสลายไปได้ปรากฏสีสันสดใสส่องประกายแพรวพราวพวยพุ่งออกมาทันที ก่อนที่มันจะพุ่งไปทางขอบฟ้าที่อยู่ไกลโพ้นอย่างรวดเร็ว
“จับไว้!” จี้อวี๋ระเบิดเสียงตะโกนอีกครั้ง มันดังราวกับเสียงฟ้าร้อง พร้อมกับปลดปล่อยลำแสงสีทองออกจากดวงตาทั้งสองข้างพุ่งเข้าหาวัตถุลึกลับที่บินหนีไป ต่อมาลำแสงสีทองนั้นก็กลายสภาพเป็นฝ่ามือยักษ์สีทองสองข้างพุ่งเข้าไปและฉวยจับวัตถุลึกลับที่เปล่งแสงสีสันเจิดจ้าและเหวี่ยงกลับมาให้เฉินซีที่ยืนตะลึงอยู่บนพื้นอย่างฉับพลัน
‘ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอย่างนั้นหรือ?’
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ทั่วร่างค่อย ๆ แผ่รัศมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง