บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง

บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง

เปลือกจักจั่นสีคราม!

โสมโลหิตสุริยันเกลียวหยก!

สมุนไพรภัยพิบัติทั้งเจ็ด!

ทุกครั้งที่เล่อฉีระบุชื่อของวัตถุดิบ ในใจของเขาก็รู้สึกตกตะลึง ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของมือดูนุ่มนวลขึ้น มันดูไม่เหมือนกับกำลังประเมินสมบัติ แต่คล้ายกับกำลังลูบใบหน้าของคนรักแทน

ในฐานะผู้ประเมินสูงสุดในหอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองทะเลหมอก ดวงตาของเล่อฉีได้รับการบ่มเพาะให้เฉียบคมเป็นพิเศษมานานแล้ว และวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ผ่านมือของเขาก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพบเห็นวัตถุดิบวิญญาณล้ำค่าเหล่านี้ แต่เมื่อเห็นกองวัตถุดิบวิญญาณที่สูงดั่งเนินเขาเล็ก ๆ ตรงหน้า เขาก็ยังต้องตกตะลึง

ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ!

ตกตะลึงราวกับคลื่นที่ทวีความปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ!

หากกล่าวตามตรง ระดับของวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้สูงนัก และถือได้ว่าเป็นระดับต่ำเท่านั้น แต่พวกมันล้วนหายากยิ่งนัก เกือบทั้งหมดเป็นวัตถุดิบที่ไม่สามารถพบเจอในโลกมานานแล้ว!

ไม่ว่าจะเป็น การกลั่นโอสถ หุ่นเชิด หรือสมบัติวิเศษ ล้วนมีความแตกต่างระหว่างวัตถุดิบหลักและวัตถุดิบเสริม

วัตถุดิบหลักโดยปกติเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะกำหนดระดับและขั้นของสมบัติวิเศษหลังจากที่มันเสร็จสมบูรณ์ แต่วัตถุดิบเสริมก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน แม้ว่าวัตถุดิบหลักจะสมบูรณ์ แต่หากขาดวัตถุดิบเสริมที่จำเป็น จะทำให้สมบัติวิเศษนั้นไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างเต็มที่

ยกตัวอย่างเช่น โอสถที่ได้รับความนิยมอย่างมากในโลกแห่งการบ่มเพาะเมื่อพันปีก่อน นั่นก็คือผงรวมจิตแห่งการบ่มเพาะ หลังจากผู้บ่มเพาะซึมซับมันเข้าไป มันจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลและเสริมสร้างรากฐานเต๋าให้มั่นคงมากขึ้นได้ถึงสองส่วน มันช่างทรงพลังใช่ไหม? แต่น่าเสียดาย เนื่องจากการหมดไปของวัตถุดิบเสริมระดับต่ำที่เรียกว่าเกสรดอกนกเขาวิญญาณ จึงทำให้ผงรวมจิตแห่งการบ่มเพาะหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์แห่งการบ่มเพาะตั้งแต่หลายพันปีก่อน เพราะเหลือเพียงสูตรยาเท่านั้น

มีตัวอย่างอีกมากมายที่เป็นเช่นนี้

สูตรยา วิชาการสร้างศัสตรา และเคล็ดวิชาการฝึกสัตว์อสูรที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณได้ค่อย ๆ หายสาบสูญไปจากโลกแห่งการบ่มเพาะเนื่องจากขาดวัตถุดิบวิญญาณบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้ควบคู่กัน

เล่อฉีตระหนักถึงสิ่งนี้ดี เพราะทราบถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านี้ เมื่อเขาเห็นวัตถุดิบวิญญาณจำนวนมากที่ควรถูกฝังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์กลับมาปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาก็รู้สึกตกตะลึงในทันที!

“ฟู่ว~!”

เล่อฉีถอนหายใจและระงับความตื่นเต้น ในขณะเริ่มจัดระเบียบวัตถุดิบอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ เขาได้แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ เขาวางแผนอย่างรวดเร็วเพื่อทำการเลือก คัดแยก และจัดเรียงวัตถุดิบวิญญาณที่ซ้อนกันเหมือนภูเขาอย่างเป็นระเบียบ การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนและราบรื่น ช่างเป็นที่พอใจแก่ผู้พบเห็น

“วัตถุดิบเหล่านี้มีอะไรพิเศษหรือ? ข้าเพียงคิดว่ามันมีปริมาณที่เยอะเท่านั้น” ต้วนมู่เจ๋ออดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบา เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดผู้ประเมินที่ยอดเยี่ยมอย่างเล่อฉีถึงตื่นเต้นขนาดนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายได้กินยาที่มีฤทธิ์ธาตุหยางรุนแรง*[1]

“ไม่แปลกหรอก” ตู้ชิงซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดพบเจอมานานแล้ว ดังนั้นแม้พวกมันจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ความหายากของมันทำให้มีราคายิ่งนัก”

ต้วนมู่เจ๋อยังคงไม่เข้าใจ วัตถุดิบที่สูญพันธ์ุไปแล้วมันแปลกตรงไหน?

ทว่าเฉินซีกลับเข้าใจในทันที เนื่องจากอำนาจพลังของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากทำให้ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ถูกแยกออกจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานับล้านปี มันเหมือนกับดินแดนนอกโลกที่สมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณยังคงงอกเงยขึ้นมากมาย ควบคู่ไปกับบรรดาสัตว์อสูรที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ ไม่เหมือนกับผู้บ่มเพาะชาวมนุษย์ที่มักยึดครองเพื่อควบคุมทรัพยากรทั้งหมด สมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณที่อยู่ภายในนั้นย่อมสามารถอยู่รอดได้อย่างสมบูรณ์จวบจนถึงตอนนี้

แม้ว่าเฉินซีจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่เขาก็ยืนยันที่จะขายสิ่งเหล่านี้อยู่ดี เขาไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุ ผู้ฝึกสัตว์อสูร หรือช่างสร้างศัสตราวิเศษ… มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บวัตถุดิบเหล่านี้ไว้ แล้วไยจึงไม่ขายพวกมันทิ้งไปเสียล่ะ?

“ทั้งหมดเป็นสมุนไพรวิญญาณ 80,000 ต้น ไม้วิญญาณ 27,032 ท่อน แร่และวัตถุดิบอื่น ๆ อีก 40,099 ชนิด” ในขณะนี้เอง เล่อฉีได้ทำรายการสินค้าของเขาเสร็จสิ้น เมื่อเขายืนขึ้นก็ยังตกอยู่ในภวังค์ เนื่องจากวัตถุดิบแทบทั้งหมดเป็นสิ่งของหายากที่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว เมื่อได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายในระยะเวลาอันสั้น เขาก็รู้สึกราวกับกำลังท่องไปในความฝัน

“เป็นมูลค่าเท่าใด?” เฉินซีเอ่ยถาม

“ท่านอาจารย์เล่อฉี เฉินซีเป็นพี่น้องของข้า หวังว่าจะท่านไม่เอาเปรียบพวกเรามากนัก” ต้วนมู่เจ๋อยิ้มกว้างขณะที่เตือนด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ

เล่อฉีรับรู้ได้ทันใดและกล่าวด้วยความเคารพต่อเฉินซีว่า “หากคำนวณตามหน่วยของวารีวิญญาณแล้ว วัตถุดิบมากกว่าหนึ่งแสนชิ้นควรจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านชั่งของวารีวิญญาณ”

1.25 ล้านชั่ง!

ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง วัตถุดิบวิญญาณระดับต่ำเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นวารีวิญญาณได้ถึง 1.25 ล้านชั่งเลยหรือ?

อย่างที่ทราบกัน ผู้บ่มเพาะที่มีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิลต่างก็บ่มเพาะด้วยศิลาวิญญาณหรือผลึกวิญญาณ หรือไม่ก็ซื้อสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะเท่านั้น ในขณะที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลหรือเหนือกว่านั้นจะใช้วารีวิญญาณแทนเงินตราหรือเพื่อวัดมูลค่าของสมบัติในโลก

วารีวิญญาณ 1.25 ล้านชั่งเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูงสุดหลายร้อยชิ้น หรือสมบัติวิเศษระดับล้ำลึกมากกว่าสิบชิ้น!

ศัสตราสูงสุดที่พวกตู้ชิงซีครอบครองอยู่ในระดับมนุษย์ขั้นสูงเท่านั้น ในเวลานี้ เมื่อได้ยินตัวเลขมหาศาลที่เล่อฉีประกาศออกมา หัวใจของพวกเขาก็สั่นคลอนอย่างรุนแรง

‘1.25 ล้านชั่ง?’ เฉินซีลอบสูดหายใจด้วยความตื่นเต้น แต่เขาไม่ได้แสดงอาการเลยแม้แต่น้อย “ข้าขอเรียนถามท่านอาจารย์เล่อ อย่างน้อย 1.25 ล้านชั่งหมายถึงสิ่งใด? เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้แต่ท่านก็ไม่อาจกำหนดมูลค่าที่แน่นอนได้”

เล่อฉีพยักหน้ารับและกล่าวว่า “มูลค่าของพวกมันสูงเกินไป ข้าจึงไม่กล้าเสนอราคาที่แน่นอนด้วยตัวเอง ดังนั้น ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหารือกับผู้ดูแลท่านอื่นก่อนและจะรีบกลับมาพบพวกท่านทุกคน” ทันทีที่เขากล่าวจบ เล่อฉีก็รีบจากไป

ชั้นบนสุดของหอขุมทรัพย์สวรรค์

หอขุมทรัพย์สวรรค์ เป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมืองทะเลหมอก มันมีความสูงราว ๆ เก้าร้อยจั้ง ประหนึ่งเสาสวรรค์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หากใครขึ้นไปยืนอยู่บนยอดนั้น ดวงดาวสว่างไสวที่มีขนาดเท่ากำปั้นดูเหมือนจะถูกเด็ดลงมาได้อย่างง่ายดาย

ในขณะนี้ เล่อฉียืนอยู่ที่ชั้นบนสุดด้วยท่าทางที่นอบน้อม และบนม้านั่งตรงข้ามเขา มีสตรีที่งดงามอย่างยิ่งกำลังนอนด้วยท่าทางที่สง่างาม

ดวงตาเรียวของนางดุจหยดน้ำ ใบหน้างดงามราวกับหิมะ และผมสีดำขลับของนางก็สยายราวกับก้อนเมฆ นางนอนตะแคงบนม้านั่งนุ่ม ๆ ร่างอันสง่างามของนางได้รับการพรรณนาอย่างหมดจดเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ไร้ขอบเขตของนาง

หากต้วนมู่เจ๋ออยู่ที่นี่ เขาย่อมจำสตรีผู้นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะนางเป็นเจ้าของหอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอกแห่งนี้ ท่านหญิงสุ่ยฮวา!

ผู้คนเล่าลือกันว่า ท่านหญิงสุ่ยฮวาเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ซ่ง นางมีสายเลือดของราชวงศ์และมีสถานะอันสูงส่ง อีกทั้งการบ่มเพาะของนางยังลึกล้ำจนน้อยคนนักจะหยั่งถึง

ภายในเมืองแห่งทะเลหมอก แทบไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นนาง หรือแม้แต่ในดินแดนทางตอนใต้ทั้งหมดสถานะของท่านหญิงสุ่ยฮวานับว่าไม่ธรรมดา

“เกือบทั้งหมดของพวกมันเป็นวัตถุดิบวิญญาณที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเจอตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนหรือ?” คิ้วที่มีเสน่ห์ของท่านหญิงสุ่ยฮวาขมวดเข้าหากัน และนางก็กล่าวต่อว่า “ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าประหลาดใจ เจ้ามาหาข้าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ?” เสียงของนางแหบแห้งแต่แฝงไปด้วยอำนาจดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับถูกอุ้งเท้าแมวข่วนไปที่หัวใจ ทำให้ผู้คนไม่อาจยับยั้งการตื่นเต้นและเพ้อฝันของตนเองได้

อย่างไรก็ตาม หัวใจของเล่อฉีกลับสั่นสะท้าน ดูเหมือนจะเกรงกลัวต่อสตรีผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง เขาจึงรีบกล่าวว่า “ข้ามารายงานให้นายหญิงทราบ มูลค่าของวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้แม้มีมูลค่าสูง แต่ก็ยังถือว่าไม่มาก สิ่งที่ข้าสงสัยคือ ในเมื่อเขาครอบครองวัตถุดิบวิญญาณระดับต่ำที่ไม่มีผู้ใดพบเจอมานานแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะครอบครองวัตถุดิบวิญญาณระดับสูงอันล้ำค่าที่สาบสูญไปจากโลกเช่นกัน?”

“อืม” ดวงตาเรียวของท่านหญิงสุ่ยฮวาเผยให้เห็นร่องรอยของความคิดที่ลึกซึ้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าหาที่มาของเขาได้หรือเปล่า”

“เขามีนามว่าเฉินซี คาดว่าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ส่วนคนอื่น ๆ ข้าน้อยไม่รู้… โอ้ จริงสิ ในครั้งนี้เขามาพร้อมกับนายน้อยจากตระกูลต้วนมู่” เล่อฉีได้ตอบกลับ

“ตระกูลต้วนมู่?” ท่านหญิงสุ่ยฮวาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงสั่ง “มอบวารีวิญญาณให้เขา 1.5 ล้านชั่ง จากนั้นจงมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วงให้แก่เขา และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาอย่างเหมาะสม”

เล่อฉีตกตะลึงจนพูดไม่ออก

หอขุมทรัพย์สวรรค์จะมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ให้กับแขกผู้มีเกียรติเท่านั้น และมันได้ถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับ อันได้แก่ ทองแดง เงิน ทอง ทองคำม่วง และทองเมฆา ด้วยการใช้ตราเหล่านี้ ผู้ที่ครอบครองจะได้รับการดูแลระดับสูงสุดจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ไม่ว่าสาขาแห่งใดก็ตามในอาณาเขตของต้าซ่ง และยังได้รับส่วนลดพิเศษเมื่อเลือกซื้อสมบัติวิเศษอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในการมอบตราเหล่านี้เข้มงวดยิ่งนัก ถ้าหากไม่มีสถานะในระดับหนึ่ง แม้แต่ตราทองแดงก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ

เท่าที่เล่อฉีทราบมา ตราขุมทรัพย์สวรรค์สีทองคำม่วงจะมอบให้แก่เหล่าผู้นำตระกูล ผู้นำนิกาย หรือผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำ ระดับความล้ำค่าของมันเพียงด้อยกว่าตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำเมฆาเท่านั้น!

ภายในต้าซ่งทั้งหมด มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่มีตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำเมฆา สถานะ อัตลักษณ์ และความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนอยู่ในระดับสูงสุดที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ พวกเขาล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ควบคุมขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่

แม้แต่เจ้าเมืองแห่งเมืองทะเลหมอกก็ยังได้รับเพียงตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง

ในเวลานี้ เมื่อเขาได้ยินท่านหญิงสุ่ยฮวาต้องการมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วงให้เป็นของขวัญแก่เฉินซี ความตกตะลึงได้ก่อขึ้นในหัวใจของเล่อฉี จนไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด และตกอยู่ในภวังค์เงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน

“มีอะไรให้ตกใจหรือ?” ท่านหญิงสุ่ยฮวากล่าวอย่างเชื่องช้า “มันเป็นเพียงตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง หากไม่มีผู้ใดใช้มัน มันก็เป็นแค่เศษเหล็กชิ้นหนึ่ง”

เล่อฉีเริ่มกล่าวอย่างลังเล “แต่…”

“เจ้าออกไปได้แล้ว อีกไม่นานข้าจะกลับไปที่นครหลวงธารสายไหม ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะจากไปเจ้าจงรีบไปค้นหาภูมิหลังของเฉินซีให้ชัดเจน แล้วนำมารายงานให้ข้าทราบ” ท่านหญิงสุ่ยฮวาโบกมืออย่างเกียจคร้าน

“บ่าวรับทราบ!” เล่อฉีเต็มไปด้วยความสงสัยขณะหันหลังกลับและจากไป

ไม่นานนักหลังจากที่เล่อฉีจากไป ท่านหญิงสุ่ยฮวาดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดก่อนจะพึมพำกับตนเอง “เฉินซี…เขาควรจะเป็นผู้รอดชีวิตจากตระกูลเฉินที่ถูกคนกลุ่มนั้นกวาดล้าง มารดาของเขาก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา หึ ๆ ช่างน่าสนใจจริง ข้าจะหว่านโชคชะตาร่วมกับเขา และดูว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่…” เสียงของนางแผ่วลงเรื่อย ๆ ราวกับเสียงลมพัดผ่าน

“วารีวิญญาณ 1.5 ล้านชั่ง!”

“ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง!”

กลุ่มของตู้ชิงซีแทบไม่อยากเชื่อสายตาและหูตัวเอง ทั้งหมดต่างจ้องมองไปที่เฉินซีราวกับว่าพวกเขากำลังดูตัวประหลาด

แม้ว่าพวกเขาจะมีตระกูลหนุนหลังอยู่ แต่วารีวิญญาณ 1.5 ล้านชั่ง ก็เป็นจำนวนที่มหาศาลเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกับตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง มันกลับทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุด แม้แต่ในตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ครอบครองตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง!

เมื่อเล่อฉีที่อยู่ใกล้เคียงได้เห็นฉากนี้ เขาก็ถอนหายใจยาวเช่นกัน เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดท่านหญิงสุ่ยฮวาถึงทำเช่นนี้ นางไม่เพียงแต่เพิ่มราคามากกว่าเดิม อีกทั้งนางยังมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วงให้เป็นของขวัญอีกด้วย!

เป็นเพราะวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้หรือ?

มันย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!

เล่อฉีไม่เชื่อว่าท่านหญิงสุ่ยฮวาผู้ฉลาดหลักแหลมจะทำสิ่งนี้โดยไร้เหตุผล ดังนั้นมันย่อมมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน!

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประเมินเฉินซีอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีความลับที่น่าตกตะลึงซุกซ่อนอยู่?

เฉินซีไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก เขามาที่หอขุมทรัพย์สวรรค์เพียงต้องการขายวัตถุดิบวิญญาณที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา และต้องการซื้อเคล็ดวิชาค่ายกลกระบี่กับสมบัติวิเศษบางอย่างเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง

เขาต้องการซื้อเคล็ดวิชาค่ายกลกระบี่เพื่อใช้ร่วมกับกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่ม และต้องการซื้อสมบัติวิเศษเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของเขา ท้ายที่สุด แม้ว่ากระบี่ไผ่ทองคำนิลจะคมกริบ แต่ก็ยังไม่ถือว่ายอดเยี่ยมพอ เนื่องจากมันยังเป็นศัสตราวิเศษที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลา พลังของมันจึงห่างไกลจากการแสดงอานุภาพอันสมบูรณ์

‘ช่างน่าเสียดายที่ข้ามีเวลาไม่มากพอ และต้องรีบออกจากเมืองภายในวันพรุ่งนี้ หากมีโอกาสคงต้องขอให้ผู้ขัดเกลาศัสตราชั้นยอดช่วยขัดเกลากระบี่ไผ่ทองคำนิลให้แก่ข้า ดังนั้นหลังจากนี้ข้าควรใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลเท่าที่จำเป็น หากบังเอิญมีผู้พบเห็นและมีเจตนาร้ายต่อข้า มันย่อมเป็นผลร้ายตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย’

เฉินซีครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกสัตว์อสูรแล้ว ผู้บ่มเพาะมนุษย์นั้นโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่า ดังนั้นเขาจึงควรระมัดระวังการถูกสังหารและถูกแย่งชิงทรัพย์สมบัติไป

ชายหนุ่มไม่อาจทนต่อการถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลก ๆ ของตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ที่มองมายังเขาได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงกล่าวว่า “อาจารย์เล่อ หอขุมทรัพย์สวรรค์มีคัมภีร์ที่เกี่ยวกับค่ายกลกระบี่ขายหรือไม่”

“อ่า” เล่อฉีดูเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน จากนั้นก็พยักหน้ารับและกล่าวว่า “แน่นอน พวกเราย่อมมีอยู่แล้ว!” ขณะที่เขากล่าว เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป แผ่นหยกที่มีหมอกล้อมรอบก็ปรากฏในมือของเฉินซี

“สิ่งนี้คือคัมภีร์ครอบจักรวาลของหอขุมทรัพย์สวรรค์ สมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ขายล้วนมีรายชื่อระบุอยู่ในแผ่นหยกนี้ และมีสมบัติที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลกระบี่อย่างน้อยหนึ่งพันประเภท ยิ่งไปกว่านั้นทุกชิ้นล้วนมีคุณภาพสูงสุด สหายเต๋าลองดูว่ามีสิ่งใดที่ท่านต้องการหรือไม่” เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ตนเองถนัด เล่อฉีก็มีท่าทางที่มีเกียรติและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

คัมภีร์ครอบจักรวาลของหอขุมทรัพย์สวรรค์?

เฉินซีโคจรปราณแท้ลงไปยังแผ่นหยกทันทีจากนั้นฉากที่น่าอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าของเขา!

[1] ยาที่มีฤทธิ์หยางอย่างแรง เป็นการเปรียบเปรยถึงยาปลุกกำหนัด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท