บทที่ 96 ชดใช้ด้วยเลือด ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! (1)
บทที่ 96 ชดใช้ด้วยเลือด ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! (1)
ตระกูลหลี่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหมอกสน และครอบครองพื้นที่กว่าสามร้อยหกสิบลี้ อาคารต่าง ๆ งดงามและโอ่อ่า ภายในจวนมีภูเขาเทียมที่มีธารน้ำไหล ศาลาริมน้ำและทางเดินอันคดเคี้ยวไปมาอย่างมีสัดส่วน ตรงใจกลางยังมีทะเลสาบที่มีพื้นที่กว่าเจ็ดสิบห้าลี้ ทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาด ข้ารับใช้ที่มีอยู่มากมายดั่งมวลเมฆ ทั้งหมดนี้ส่งให้บรรยากาศของตระกูลดูมั่งคั่งและทรงอำนาจ
ภายในห้องโถงใหญ่ในขณะนี้
ผู้ที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ของผู้นำตระกูลไม่ใช่หลี่อี้เจิ้นอีกต่อไป แต่เป็นหลี่หมิงกำลังนั่งอยู่
“เป็นเช่นไรบ้าง? มีข่าวคราวจากตระกูลซูมาบ้างหรือไม่? ซูเจียวไม่ได้กลับไปนานแล้วหรือ? ข้าช่วยนางฆ่าคนไปนับหมื่นคน เป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะไม่ยอมแต่งงานกับข้า” เขากำลังจิบสุราชั้นเลิศในถ้วยของตนเอง แต่สีหน้าของหลี่หมิงมืดมนยิ่งนัก ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายเลือดและความโหดเหี้ยม ซึ่งทำให้ดูดุร้ายยิ่งนัก
ผู้ดูแลอู๋ที่อยู่ใกล้เคียงเหงื่อท่วมหน้าและรีบอธิบาย “ตระกูลซูพอใจกับการกระทำของเรามาก แต่พวกเขาบอกว่านายน้อยจะต้องเข้าสู่สิบอันดับแรกของการประลองมังกรซ่อนในปีหน้าเสียก่อน นายน้อยถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแต่งงานกับคุณหนูซู”
“การจัดอันดับมังกรซ่อน?” หลี่หมิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ภายในเมืองทะเลสาบมังกรนั้นประกอบด้วยแปดนิกายใหญ่ หกตระกูลใหญ่ และสามสำนักใหญ่ พวกเขาจะรวมตัวกันทุก ๆ สิบปีเพื่อจัดการประลอง และใช้สิ่งนี้เพื่อคัดเลือดผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดและสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด
เกณฑ์สำหรับเข้าร่วมการจัดอันดับมังกรซ่อนนั้นสูงมาก ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ต้องบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลก่อนอายุสามสิบปีจึงจะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วม
ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกจะได้รับรางวัลเป็นโอสถและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะมากมาย
ผู้ที่ติดอันดับห้าสิบอันดับแรกจะได้รับสมบัติวิเศษที่ทรงพลังเป็นของรางวัล
ผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกจะถูกชักชวนให้เข้าสู่หนึ่งในแปดนิกาย หกตระกูล หรือสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งเพื่อที่จะกลายเป็นศิษย์สายตรง
ผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรกจะได้เป็นศิษย์สายตรงและถูกสั่งสอนโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ!
ท้ายที่สุด ดินแดนทางตอนใต้ทั้งหมดมีประชากรหลายหมื่นล้านคน และการคัดเลือกผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งร้อยคนจากผู้คนนับหมื่นล้านรายนี้ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะดึงดูดใจใครก็ตาม
มากเสียจน แม้แต่ศิษย์ทั่วไปหรือศิษย์สายตรงบางคนจากแปดนิกายใหญ่ หกตระกูลใหญ่ และสามสำนักใหญ่ก็ยังเข้าร่วมในการจัดอันดับมังกรซ่อน ในแง่หนึ่ง มันคือการสร้างชื่อให้แก่ตัวเอง ในทางกลับกัน เพื่อประโยชน์ในการได้รับทรัพยากรมากขึ้นหรือเสาะหาผู้บ่มเพาะที่น่าเกรงขามเป็นอาจารย์แก่พวกเขา
เช่นเดียวกันกับรางวัลที่น่าดึงดูด การประลองก็รุนแรงและโหดร้ายเช่นกัน
“นายน้อยหลังจากที่ท่านผ่านการฝึกฝนอันขมขื่นตลอดหนึ่งปีและด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของท่าน ข้ามั่นใจว่าในการจัดอันดับมังกรซ่อนครั้งนี้ท่านจะต้องติดสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน” ผู้ดูแลอู๋ยกยอด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ่ม! มีผู้คนหลายหมื่นล้านคนในดินแดนทางตอนใต้ และเหล่าอัจฉริยะที่มีมากมายนับไม่ถ้วนเป็นเหมือนฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ตามสายน้ำ การจัดอันดับมังกรซ่อนนั้นหาได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด” หลี่หมิงตะคอกอย่างเย็นชา “อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตระกูลซูได้ยื่นคำร้องเช่นนี้มา ข้าจึงต้องหมั่นเพียรฝึกฝนและพัฒนาการบ่มเพาะของข้า เพื่อคุณหนูซู ข้าต้องติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของการจัดอันดับมังกรซ่อนให้ได้!!”
“ข้ารับใช้ผู้นี้ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแก่นายน้อยกับการที่จะได้รับชัยชนะในอนาคต โปรดแสดงความสามารถล้ำเลิศในการต่อสู้และทำให้นามของท่านเลื่องลือไปทั่วพิภพ!” ผู้ดูแลอู๋กล่าวคำเยินยอไม่หยุด ทำให้หลี่หมิงเงยหน้าขึ้นและหัวเราะไม่หยุด
“รายงาน! นายน้อย ไอ้เฉินซีได้กลับมาแล้ว! มันกลับมาแล้ว!” ในขณะนี้เอง ผู้คุ้มกันคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่และตะโกนเสียงดัง
เฉินซี!
หลี่หมิงลุกยืนขึ้นพลางแสยะยิ้มบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดัง “หึ ๆๆ ดี! ดีมาก! เจ้าเด็กคนนี้ก็กลับมาในที่สุด การจับกุมมันและส่งไปยังตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกร ย่อมเป็นผลงานใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!”
“เจ้าเฉินซีมันอยู่ที่ใด” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยถาม
“มัน… มันกำลังเข้าใกล้ตระกูลหลี่ของเรา!” ผู้คุ้มกันปาดเหงื่อบนหน้าผากและตอบในขณะที่หอบหายใจ
“มันเสนอตัวมาเอง?” ผู้ดูแลอู๋ตกตะลึง จากนั้นจึงเย้ยหยันเสียงดัง “ฮ่า! มันกำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง! ตอนนี้มันรู้แล้วสินะว่าบ้านของมันได้ถูกทำลายลงและผู้คนใกล้ชิดต่างก็ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงต้องการบุกเข้ามาในตระกูลหลี่ของเราด้วยตัวคนเดียว บางทีมันอาจจะเสียสติไปแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดถึงกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ฮ่า ๆๆ!”
“เจ้าเศษสวะนี่ไม่คู่ควรที่ข้าต้องลงมือด้วยตัวเอง ผู้ดูแลอู๋เจ้าจงนำกลุ่มคนชั้นยอดของตระกูลเราไปและรีบจับกุมมันมา จำไว้ว่าอย่าเพิ่งทำให้มันตาย ฮ่า ๆๆ!” หลี่หมิงโบกมืออย่างเฉยเมย เนื่องจากตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว เขาจึงไม่ให้ความสำคัญกับเฉินซีอีกต่อไป
…
ที่หน้าประตูหลักของตระกูลหลี่
กองกำลังชุดดำทั้งสองกอง มีกำลังพลมากกว่าพันคนยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังสวมเกราะสีขาวและเกราะสีดำตามลำดับ พวกเขาถูกคัดเลือกจากศิษย์ชั้นยอดของตระกูลหลี่ โดยมีการบ่มเพาะในขอบเขตก่อกำเนิดเป็นอย่างน้อย ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีการบ่มเพาะในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ
พวกเขาคือกลุ่มอาชาสวรรค์และผู้คุ้มกันเกราะขาวที่โด่งดังในเมืองหมอกสน พวกเขาคือกองกำลังส่วนตัวของตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองหมอกสน
ในตอนนี้ พวกเขาถือหน้าไม้หนักและมีดาบห้อยอยู่ที่เอว ยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางเคร่งขรึมและน่ายำเกรงราวกับเป็นกองทหารที่เชี่ยวชาญในการรบ จิตสังหารอันเยือกเย็นจากร่างของพวกเขาได้ผสมผสานกัน หากคนทั่วไปมองจากระยะไกล ย่อมทำให้คนผู้นั้นหวาดกลัวจนตัวแข็ง
หน้าไม้หนักในมือของพวกเขาเรียกว่า ‘หน้าไม้หนักวิญญาณเหิน’ ลูกดอกเหล่านี้เป็นเหมือนหอกที่สามารถยิงได้ไกลถึงห้าสิบลี้ เมื่อคนนับพันยิงพร้อมกัน ย่อมทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้!
ดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวมีนามว่า ‘แทงพยัคฆ์’ พวกมันถูกสร้างจากเหล็กกล้าทมิฬ อีกทั้งยังมีความคมและแข็งแกร่ง สามารถเทียบได้กับสมบัติวิเศษขั้นสูง เมื่อผู้คุ้มกันทั้งสองพันคนเหวี่ยงดาบผสานกันจะสามารถสร้างค่ายกลหยินหยางพันดาบได้ในทันที
ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลี่ ค่ายกลนี้ประสบความสำเร็จในการทำลายล้างศัตรูที่บุกรุกมาหลายครั้ง เป็นเพราะมันทรงพลังและมีอานุภาพเป็นอย่างมาก
ผู้ดูแลอู๋ยืนไพล่หลังด้วยความกังวล
ที่ทะเลสาบถ้ำวิญญาณ เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาเคยนำกลุ่มผู้คุ้มกันไปที่นั่น เพื่อถวายเครื่องบรรณาการแก่อสูรแรดอินทนิลสองหัว แต่เขากลับพบกับเฉินซีโดยบังเอิญ สิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อก็คือการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดของชายหนุ่มสามารถฆ่าผู้คุ้มกันมากมายราวกับกวาดใบไม้แห้ง และบีบบังคับเขาให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบหนีไป
ต่อมาเขาได้ยินว่าอสูรแรดอินทนิลสองหัวถูกเฉินซีฆ่า และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เกรงกลัวความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนนี้ได้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว การบ่มเพาะของมันจะก้าวหน้าขึ้นอีกหรือไม่?
ผู้ดูแลอู๋รู้สึกไม่มั่นใจ แต่เมื่อเขาเห็นผู้คุ้มกันทั้งสองกลุ่มที่มีกลิ่นอายอันผ่าเผยพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับสายรุ้ง ความกังวลในใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง
‘กลุ่มอาชาสวรรค์และผู้คุ้มกันเกราะขาว ที่ระดมกำลังทั้งหมดก็เพียงพอที่จะทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไป เจ้าเฉินซีมาที่นี่เพียงคนเดียว ข้ายังต้องกังวลสิ่งใดอีก?’
ตุ้บ! ต้บ! ตุ้บ!
ท่ามกลางบรรยากาศกดดันของการเข่นฆ่า เสียงฝีเท้าดังกึกก้องไปตามถนนที่อ้างว้าง แผ่วเบาราวกับสายลม แต่หนักหน่วงดั่งเสียงรัวกลอง และยังส่งจังหวะประหลาดที่ทำให้หัวใจเต้นระรัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เขามาแล้ว!
ร่างสูงผอมเดินออกมาจากเงามืดของดวงอาทิตย์อัสดงสีเลือด ทอดเงาของเขาให้ยาวออกไป มันให้รู้สึกเยือกเย็นและอ้างว้าง
ท่าทางของเขาเย็นชาเและไม่แยแส ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นเต็มไปด้วยเลือดดูคล้ายกับคบเพลิงที่ลุกโชนอย่างรุนแรง ราวกับต้องการแผดเผา บดขยี้ และกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางอยู่ข้างหน้า
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
อากาศในที่ที่เขาเดินผ่านดูเหมือนไม่อาจทนต่อจิตสังหารรุนแรงจากร่างของเขาได้ มันบดขยี้อากาศอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างของเขาพร่ามัว
จิตสังหารน่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!
รูม่านตาของผู้ดูแลอู๋ตีบลงและอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง ไยจิตสังหารของเจ้าคนนี้จึงเข้มข้นดั่งหินหลอมเหลว? แม้แต่การจ้องมองจากระยะไกลก็ทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หรือว่ามันเพิ่งเดินออกมาจากภูเขาที่เต็มไปด้วยซากศพและกระดูก?
“ดูสิ มันคือเจ้าตัวซวยจริง ๆ ด้วย!”
“ฮ่า ๆ! มันกำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง ข้าเพิ่งนึกได้ว่าคำสั่งที่นายน้อยหลี่หมิงกล่าวโดยไม่ใส่ใจเมื่อไม่กี่เดือนทำให้เลือดของนับหมื่นชีวิตต้องหลั่งไหลลงสู่แม่น้ำ แม้แต่จวนแม่ทัพก็ยังไม่กล้าจะกล่าวอันใด ช่างน่าพอใจจริง ๆ!”
“มันกำลังรนหาที่ตาย คิดหรือว่าจะสามารถบุกรุกเข้ามาในตระกูลหลี่ของพวกข้าเพียงลำพัง? ช่างน่าสมเพชเสียจริง เห็นได้ชัดว่ามันเสียสติจากความโกรธแค้นและกลายเป็นคนโง่ไร้สมอง!”
“โถ ๆ เจ้าตัวซวย อนิจจา มันทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงต้องล้มตาย และตอนนี้กำลังจะฝังชีวิตของมันด้วยตัวเอง เมื่อมันจากไปแล้ว ชีวิตของพวกข้าคงต้องสูญเสียความสุขไปอีกอย่าง”
บนเชิงกำแพงของตระกูลหลี่ มีสมาชิกของตระกูลหลี่ บริวารหญิง และข้ารับใช้จำนวนมากเฝ้าดูอยู่ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะพูดคุยอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นร่างของเฉินซีปรากฏขึ้น
ผู้ดูแลอู๋รวบรวมสติของเขา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย เมื่อนึกถึงการสูญเสียท่าทางที่สงบก่อนหน้านี้ เขาปรับสีหน้าในทันทีและมองไปยังเฉินซีซึ่งอยู่ห่างออกไปร้อยยี่สิบจั้ง ด้วยท่าทางที่ดุร้ายและหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง “เฉินซี เจ้าจะมาแก้แค้นหรือ? เจ้ากำลังเอาชีวิตมาทิ้งมากกว่ากระมัง ฮ่า ๆๆ!”
ตึก! ตึก! ตึก!
เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไร กลับก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังกึกก้อง
“ฮึ่ม! หยุดซะ จงเชื่อฟังและยอมให้ถูกจับกุมแต่โดยดีแล้วเจ้าจะมีชีวิตรอดอยู่อีกชั่วคราว ไม่อย่างนั้นวันนี้ตอนนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน!” ใบหน้าของผู้ดูแลอู๋เปลี่ยนเป็นเย็นชาและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง
เฉินซีก้าวไปข้างหน้าอย่างเฉยเมยและไม่แยแสผู้ดูแลอู๋ ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เงาที่อยู่ข้างหลังเขาทอดยาวขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าปลายสุดของเงาคือขุมนรก ในขณะที่ตัวเขาเป็นเหมือนวิญญาณร้ายที่กำลังคืบคลานออกมาจากนรก มีเพียงจิตสังหารเท่านั้นและไม่จำเป็นจะต้องกล่าวสิ่งใดอีก
“เจ้าช่างรนหาที่ตาย!” เมื่อเห็นว่าเฉินซีอยู่ห่างออกไปเพียงหกสิบจั้ง ผู้ดูแลอู๋จึงโบกมือ และกลุ่มอาชาสวรรค์กว่าหนึ่งร้อยคนก็โจมตีอย่างดุเดือด
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกดอกอันคมกริบกว่าหนึ่งร้อยดอกที่มีขนาดหนาราวกับแขนของเด็ก พุ่งออกมาจากหน้าไม้หนักวิญญาณเหินอย่างรุนแรง และปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและผืนแผ่นดิน ฉีกผ่านท้องฟ้าจนเกิดเสียงดังราวกับภูตผีคร่ำครวญ
เคร้ง!
ทันทีที่หน้าไม้หนักยิงออกไป กลุ่มอาชาสวรรค์อีกหนึ่งร้อยคนก็ชักดาบแทงพยัคฆ์ที่ห้อยไว้ที่เอวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกเขาก็กระโจนขึ้นตามลูกดอกเพื่อพุ่งเข้าใส่เฉินซี
ยิงหน้าไม้ ชักดาบและพุ่งเข้าใส่ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ราบรื่นและเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา แสดงให้เห็นถึงความช่ำชองในการต่อสู้ของกลุ่มอาชาสวรรค์ทั้งหนึ่งร้อยนาย
ลูกดอกเปรียบดั่งฝูงตั๊กแตน กลุ่มอาชาสวรรค์กว่าหนึ่งร้อยคนพุ่งออกมาราวกับเกลียวคลื่น และสกัดกั้นเส้นทางหลบหนีของเฉินซีในทันที
ในสายตาของทุกคน เฉินซีที่กำลังก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวดูเหมือนจะกลัวจนตัวแข็ง แต่จริง ๆ แล้วเขาแทบไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อย!
หรือว่าชายคนนี้มาเพื่อหาที่ตาย?
ในขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของทุกคน เพียงชั่วพริบตาต่อมา ก็รู้สึกถึงประกายแสงวาบต่อหน้าต่อตาพวกเขา และร่างของเฉินซีก็หายลับไปในอากาศอย่างสิ้นเชิง!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกดอกที่ยิงออกมาจากหน้าไม้หนักวิญญาณเหินด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว พุ่งเจาะพื้นส่งผลให้บังเกิดรูนับร้อย เศษหินเศษดินกระจายไปโดยรอบ
ทว่าเขาหายไปไหนแล้ว?
หัวใจของกลุ่มอาชาสวรรค์นับร้อยคนที่พุ่งไปข้างหน้ากระตุกวูบ และพวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึง
ในเวลานี้เองที่ผู้พิทักษ์อาชาสวรรค์นับร้อยคน สังเกตเห็นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวในระยะสายตาของพวกเขา แสงกระบี่ที่ดูเหมือนสายฟ้าแลบ ราวกับพายุที่พัดผ่านใต้ท้องฟ้าอย่างน่าทึ่ง สวยงามและเยือกเย็นพลั่งพรูออกมาในทันทีที่มันปราฏ
ปุ! ปุ! ปุ!
เลือดทะลักราวกับประทัดที่ถูกจุด สาดกระจายไปทั่วและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จนทำให้เกิดฉากนองเลือด
เพียงชั่วพริบตา รูที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิตที่มีขนาดเท่ากับเหรียญทองแดงได้ปรากฏที่คอของกลุ่มอาชาสวรรค์ทั้งสิบสามคน สีหน้าของพวกเขาแข็งค้างและไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจนกระทั่งตายไป
ปุ! ปุ! ปุ!
ร่างของเฉินซีเป็นเหมือนหมอกควัน เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจลำแสงของสายฟ้า และเนื่องจากเขาเร็วเกินไป เขาจึงทิ้งเงาร่างไว้เบื้องหลัง กระบี่ท่องปรภพในมือของเขาเป็นเหมือนลำแสงมรณะที่แม่นยำและโหดร้าย มันคร่าเกี่ยวชีวิตอย่างต่อเนื่อง เปรียบเหมือนชาวนาที่กำจัดวัชพืชในทุ่งนา ตัดวัชพืชเป็นหย่อม ๆ ด้วยการแกว่งเคียวเพียงครั้งเดียว
ในขณะนี้ กลุ่มอาชาสวรรค์ที่พุ่งไปข้างหน้าเป็นเหมือนฝูงแพะที่รอการเชือด และไม่ใช่ว่าพวกเขาด้อยความสามารถ แต่ศัตรูของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป!
การบ่มเพาะของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดารา เต๋าแห่งสายลมขั้นสมบูรณ์ และความแข็งแกร่งที่สามารถรับมือกับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดเหล่านี้จะสามารถต้านทานเฉินซีได้อย่างไร?
กระบี่ท่องปรภพในมือของเฉินซีไม่เคยพลาดเป้า สมกับเป็นพลังของศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ชั้นยอด มันเฉียบคมและเย็นยะเยือก เพียงแค่ปราณกระบี่น้ำแข็งที่ปล่อยออกมา ก็สามารถบดขยี้ดาบแทงพยัคฆ์ที่อยู่ในมือของกลุ่มอาชาสวรรค์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ภายใต้มือของเฉินซี มันแสดงพลังอำนาจทำลายล้างได้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
เลือดสาดกระจายไปในอากาศราวกับน้ำพุที่พวยพุ่งออกมาพร้อมกัน ในชั่วพริบตา กลุ่มอาชาสวรรค์อีกสามสิบคนก็ถูกแทงที่คอและหล่นลงบนพื้นดิน
“ขอบเขตตำหนักอินทนิล! แต่ทักษะการใช้กระบี่ระดับนี้มันเต๋าแห่งการรู้แจ้งชัด ๆ! ผ่านไปเพียงปีเดียว การฝึกฝนของเจ้าเศษสวะนี้กลับบรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ได้อย่างไร?” สีหน้าของผู้ดูแลอู๋ที่อยู่ห่างออกไปซีดเผือดและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ กลุ่มอาชาสวรรค์นับร้อยคนที่อยู่ห่างออกไปกำลังจะถูกสังหารจนหมดสิ้น เขาไม่กล้าลังเลอีกต่อไป รีบยกมือขวาขึ้นในทันทีและตะโกนอย่างสุดกำลัง “ยิงได้!”
กลุ่มอาชาสวรรค์และผู้คุ้มกันเกราะขาวที่อยู่ด้านข้างทั้งหนึ่งพันเก้าร้อยคน ได้เตรียมพร้อมไว้เนิ่นนานแล้ว เมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งนี้ หน้าไม้หนักวิญญาณเหินในมือของพวกเขาก็ยิงออกอย่างพร้อมเพรียง ลูกดอกที่เหมือนพายุฝนอันหนาแน่นก็พุ่งออกไปอย่างน่าสะพรึง!
ในขณะนี้เพื่อที่จะฆ่าเฉินซี ผู้ดูแลอู๋ได้ยอมสละกลุ่มอาชาสวรรค์ที่ส่งไปชุดแรกเรียบร้อย!