บทที่ 100 ชดใช้ด้วยเลือด (จบ)
บทที่ 100 ชดใช้ด้วยเลือด (จบ)
มหาค่ายกลคุ้มสกุล!
เมื่อผู้บ่มเพาะพลังที่กำลังเฝ้าดูอยู่ได้ยินเข้าเช่นนี้ พวกเขาต่างตกใจไปตามกัน
ในโลกแห่งการบ่มเพาะ พวกเขาก็เหมือนกันกับนิกายสำนักอื่นที่มีมหาค่ายกลคุ้มนิกาย กลุ่มที่มีทรัพยากรจำนวนมหาศาลจะมีการวางค่ายกลใหญ่ในอาณาเขตของตนเองทั้งสิ้น และไม่ค่อยได้เปิดใช้งาน เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย!
เวลานี้ตระกูลหลี่ตั้งมหาค่ายกลคุ้มสกุลหวังจะทำลายล้างคนคนเดียวคือเฉินซี สถานการณ์เช่นนี้ในรอบพันปีแทบจะไม่มีให้เห็น และไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลี่มาก่อน
ข้อพิสูจน์ที่ทำให้สถานการณ์แตกต่างออกไปก็คือ ครั้งนี้มีเพียงเฉินซีซึ่งบุกเข้าไปตามลำพัง และคุกคามการดำรงอยู่ของตระกูลหลี่!
ที่แน่ ๆ เพราะพวกเขารับรู้ว่าผู้บ่มเพาะพลังที่แอบดูอยู่ห่าง ๆ ชักจะเกิดความหวาดกลัว จึงเป็นเหตุให้พวกเขาต้องประเมินความแกร่งกล้าของเฉินซีเสียใหม่
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงระเบิดขนาดมหึมาดุจฟ้าร้องดังกึกก้องตามมา บนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลหลี่ซึ่งมีเนื้อที่มากมายพลันปรากฏม่านแสงขนาดใหญ่ ม่านแสงที่ว่าอยู่กึ่งกลางทะเลสาบตรงกลางจวนตระกูลหลี่ มุมทั้งสี่ยืดติดกันเป็นผนังยาวเหมือนเสาม่านแสงที่ตรึงกันไว้ เพื่อคลุมจวนตระกูลหลี่ทั้งหมดไว้ภายใน
แสงสีดำโคจรไปรอบ ๆ และสาดเปลวเพลิงสีเขียวหนาทึบลอยเคว้งอยู่เหนือม่านแสง เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นว่าเวลานี้บริเวณจวนตระกูลหลี่เหมือนหินหลอมละลายใต้ผิวโลก ขณะนั้นเปลวเพลิงสีเขียวค่อย ๆ แผ่รังสีทะมึน ผู้คนที่พบเห็นต้องอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว
“เปลวเพลิงหยกขวางกั้นท้องฟ้าเอาไว้ ค่ายกลเก้ามังกรหยกเปลวอัคคีที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาของดินแดนทางใต้ใช้ฝึกเส้นทางศาสตร์มืดเมื่อสามพันปีก่อน!”
“อ้อ! ข้าจำได้แล้ว ค่ายกลนี้ตั้งขึ้นมาใช้ต้านทานการจู่โจมของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาอย่างเต็มกำลัง และจะมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลเท่านั้นที่สามารถเจาะเข้าไปได้ ยิ่งกว่านั้น ไฟสีหยกที่ไหลเวียนอยู่ที่ส่วนยอดนั้นก็คือเปลวอัคคีหยกอำพัน เปลวไฟชนิดนี้กลั่นเอามาจากคนตายที่มีจิตใจเต็มไปด้วยความแค้น มันจึงโหดเหี้ยมและชั่วร้ายที่สุด ถ้าผู้บ่มเพาะคนใดสัมผัสมันเพียงเล็กน้อยก็จะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ในที่สุดวิญญาณของเขาจะถูกกัดกินจนเสื่อมสลาย!”
“ดูท่าว่าเฉินซีจะถึงคราวเคราะห์เข้าแล้ว ต่อให้เขาสังหารคนตระกูลหลี่จนหมด แต่เกรงว่าคงหลุดออกจากค่ายกลไม่ได้ง่าย ๆ!”
สีหน้าของผู้เฝ้าดูเคร่งเครียดขึ้นทันที ความกังวลของคนเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉินซีแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่พวกเขากังวลก็คือความแข็งแกร่งของตระกูลหลี่ที่ทรงพลังเกินกว่าความคาดหมายของตนเองไปมากต่างหาก
…
“เฉินซี เจ้าหนีไม่รอดแน่ มหาค่ายกลคุ้มสกุลของตระกูลหลี่ แม้แต่คนที่บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายายังหนีรอดได้ยาก ฉะนั้นเจ้ายอมตายเสียเถอะ!” เสียงหลี่เฟิงถูเยาะเย้ยดังมา ขณะที่เดียวกันก็เร่งจู่โจม กระบี่บินทั้งหกเล่มซัดเข้าใส่เฉินซีอย่างหนักหน่วงดั่งพายุโหมกระหน่ำ มันไม่มีทางปล่อยให้เขารอดไปได้!
ร่างของชายหนุ่มพลิ้วไหวดุจหมอกควันและลิ่วลอยดั่งสายลม กระนั้นเขาก็ไม่ได้มัวต่อสู้พัวพันกับหกผู้อาวุโสตระกูลหลี่ที่ตั้งค่ายกลย่อยหกทิศ แต่กลับพุ่งไปยังภูเขาและแม่น้ำจำลองทางเบื้องล่าง ร่างเหินขึ้นไปบนยอดศาลากับอาคารหลายหลังในละแวกใกล้เคียง และทะยานไปรอบ ๆ บริเวณกว่าพันลี้ของตระกูลหลี่ด้วย
หลี่เฟิงถูกับคนอื่นต่างกำลังเย้ยหยันอยู่นั่นเอง แต่เมื่อเห็นว่าเฉินซีเอาแต่หนีกระเจิงไปเหมือนฝูงแมลงแตกฮือ พวกเขาก็ยิ่งเร่งโจมตีชายหนุ่มให้รวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น กระบี่บินทั้งหกระเบิดออกมาดั่งห่าฝนกระบี่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า มันพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งกวาดสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรค ทั้งหอบ่มโอสถของตระกูลหลี่ หอฝึกวิทยายุทธ์ หอขุมทรัพย์ สวนด้านหลัง… ได้กลายเป็นซากปรักหักพัง
“เวร! ไอ้เด็กสารเลวนั่นมันจงใจ มันจะทำให้รากฐานอันแข็งแกร่งของตระกูลเราที่สั่งสมมาต้องพังพินาศด้วยน้ำมือของพวกเราเอง!” หนึ่งในผู้อาวุโสตระหนักถึงความจริงขึ้นมาได้ พลันคำรามออกมาอย่างแค้นเคือง
“ให้ตายสิ! อย่างนั้นพวกเราก็ถูกมันหลอกแล้ว!”
“แต่ว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ เมื่อไรเราจะฆ่าไอ้สารเลวนั่นได้”
ใบหน้าโกรธขึ้งของหลี่เฟิงถูซีดเขียวราวคนตาย หัวใจเจ็บแปลบ ในหอบ่มโอสถเต็มไปด้วยโอสถเม็ดที่เก็บไว้กองเป็นภูเขาเลากา ในหอตำราก็เก็บตำรากับบันทึกโบราณไว้กว่าหมื่นเล่ม หอขุมทรัพย์มีวัตถุวิญญาณที่เก็บสะสมมานานนับพันปี… ล้วนถูกทำลายไม่มีเหลือ!
โครม!
เสียงดังอึกทึกกึกก้องขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอาคารเก่าแก่ที่สร้างด้วยหินสีดำสนิทพังถล่มลงมา
“ศาลาบรรพชน!” หลี่เฟิงถูอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก เขาหอบหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม
ศาลาบรรพชนแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่วันที่ก่อตั้งตระกูลหลี่ บัดนี้มาถูกทำลายด้วยน้ำมือของตนเอง ความรู้สึกในเวลานี้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“ฆ่ามัน! ฆ่าไอ้เด็กสารเลวนั่นเสีย! เอามันมาสับเป็นชิ้น ๆ! เลาะกระดูกออกมาเผาให้กลายเป็นขี้เถ้า! แร่หนังดึงเส้นเอ็นออกมาให้หมด!” หลี่เฟิงถูเค้นเสียงพูดด้วยความโกรธแค้นสุดขีดขณะคำรามอย่างดุเดือด
เฟี้ยว! เฟี้ยว! เฟี้ยว!
กระบี่บินพุ่งออกไปพร้อมกับปราณกระบี่อย่างดุดัน ทั้งสวรรค์และปฐพีเต็มไปด้วยความอำมหิต แสงกระบี่ไหลหลั่งเหมือนดั่งสายธาร ทุกที่ที่ลำแสงเคลื่อนผ่าน มวลพฤกษานานาพรรณแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ภูเขาจำลองแตกหักพังทลาย แม้แต่พื้นดินยังถูกแบ่งแยกจนกลายเป็นหุบเหวลึกขนาดมหึมาน่าสะพรึงกลัว ทำให้ฝุ่นละอองและเศษฝอยฟุ้งกระจายไปในอากาศ
“ฆ่ามัน! ต่อให้มันไวว่อง แต่ลำพังพลังขอบเขตตำหนักอินทนิลของมันไม่มีทางหนีพ้นค่ายกลเก้ามังกรหยกเปลวอัคคีพ้น! ทำให้มันรู้จักคำว่าตายทั้งเป็นเสียบ้าง!” เสียงคำรามของหลี่เฟิงถูดังขึ้นอีกครั้ง
“ฆ่า!”
“ฆ่าไอ้สารเลวเสีย!”
“ข้าอยากจะควักหัวใจแล้วลากไส้ออกมา จากนั้นจะฉีกแขนฉีกขาเอามาสับเป็นชิ้น ๆ!”
เหล่าหกผู้อาวุโสของตระกูลหลี่แค้นเคืองสุดขีด เวลานี้กระบี่บินหกเล่มส่งเสียงคำรามกลางอากาศ ขณะที่ตัวคนทะยานจู่โจมร่างที่กำลังหลีกหลบของเฉินซี พวกเขากระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง
โกรธอย่างนั้นหรือ??
เฉินซีเหลือบตามองฟ้า ขณะนั้นปรากฏแววตาเย็นเยียบสาดประกายเข่นฆ่าวาววับ
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นบนทิวเขา กลุ่มควันสีม่วงม้วนตัวพวยพุ่งออกจากมือของเฉินซี ควันประหลาดโคจรไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันก็ได้คายควันสีม่วงออกมาราวเป็นคลื่นลูกใหญ่ปกคลุมไปทั้งสวรรค์และปฐพี มันกินอาณาเขตราวร้อยจั้งเศษ
มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์เป็นสมบัติวิเศษขั้นกลาง ความมหัศจรรย์ของมันเทียบเท่าสมบัติวิเศษระดับปฐพี!
ลูกคลื่นควันสีม่วงนั้นคือปราณจักรวาลหมอกอินทนิล ซึ่งสามารถทำให้สนามแรงโน้มถ่วงในรัศมีกว่าร้อยจั้งจับตัวกัน ใครก็ตามที่เข้าไปอยู่ในบริเวณที่มีพลังแรงโน้มถ่วง จะรู้สึกราวกับมีภูเขาลูกใหญ่กดทับลงมาบนบ่า และแรงกดทับจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นี่มันอะไร!”
“เวรแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น”
ผู้อาวุโสตระกูลหลี่ทั้งหกรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว คนทั้งหมดถูกพลังปราณจักรวาลหมอกอินทนิลครอบงำไว้จนหมดสิ้น ทำให้ต้องอุทานออกมาอย่างกราดเกรี้ยวก่อนที่ร่างกายจะเฉื่อยช้าและล้มตึงลงไป
เฟี้ยววว! เฟี้ยววว! เฟี้ยวววว!
ในเวลานั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มตวัดโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว กระบี่อันคมกริบประสานกันกับค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสทันที ก่อนจะทะยานเข้าปิดล้อมผู้เฒ่าตระกูลหลี่สามคนไว้ คมกระบี่สลับไขว้ไปมาขณะพุ่งจู่โจมทั้งสาม กระทั่งทั้งหมดกลายเป็นผีหัวขาดอยู่กลางลานกว้าง
“พี่สาม! พี่สี่! พี่หก!” ดวงตาของหลี่เฟิงถูแทบทะลุจากเบ้า ขณะตะโกนออกมาด้วยความโศกเศร้าเป็นที่สุด
มิหนำซ้ำ กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดยังใช้ช่องโหว่จากการต้านทานนี้ ตวัดตัดอีกสองศีรษะทันที ขณะที่มันกำลังจะตรงเข้าจัดการกับหลี่เฟิงถู ทว่าฝ่ายนั้นสังเกตเห็นเข้าเสียก่อน ทำให้หลบเลี่ยงได้อย่างหวุดหวิด
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นนับตั้งแต่ที่เริ่มใช้มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ต่อสู้กับบรรดาผู้อาวุโสตระกูลหลี่ห้าคน บัดนี้เหลือแค่หลี่เฟิงถูคนเดียวที่ยังคงอยู่ในสนามรบ บนพื้นดินใกล้เคียงปรากฏร่างไร้วิญญาณปราศจากศีรษะจำนวนห้าร่างมาแทน
เฉินซีฉวยโอกาสเคลื่อนไหวในยามที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังเดือดดาลสุดขีด จากนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้คนเหล่านั้นด้วยการใช้มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ และใช้กระบี่ท่องปรภพแปดเล่มที่ได้สั่งสมพลังไว้ซัดออกไปเต็มแรง กระบี่ทุกเล่มเคลื่อนไหวประสานในเวลาเดียวกัน มันไร้ความปรานีและแน่วนิ่ง ใครก็ตามที่ได้เห็นจะต้องตกใจกับกลยุทธ์การต่อสู้ที่เฉียบขาดและพิถีพิถันอย่างยิ่งของเฉินซี
“ข้าจะฆ่าเจ้า! จะฆ่าเจ้า!” หลี่เฟิงถูคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง ยามนี้คนผู้นั้นไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่า เมื่อไข่มุกปรากฏขึ้นในมือของเขาอย่างกะทันหัน ไข่มุกลูกนั้นก็ถูกม้วนด้วยลำแสงดำทะมึน อีกทั้งพลังปราณปีศาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ทันทีที่ปรากฏขึ้น ความมืดมิดของการกระหายโลหิตแผ่ปกคลุมไปทั้งสวรรค์และพื้นพิภพทีละชั้น ๆ
“ไข่มุกอสูรโลหิตประกายทมิฬ!” เมื่อเห็นดังนั้น เฉินซีก็หรี่ตาเขม้นมอง ครั้งหนึ่งผู้เป็นปู่เคยเล่าให้ฟังว่าตระกูลหลี่ครอบครองไข่มุกชิ้นหนึ่งที่มีพลังถึงขั้นที่จะสามารถเลือนสวรรค์และล้างโลกาเลยทีเดียว อีกทั้งมันยังได้รับการแปรสภาพมาจากโลหิตชั่วร้ายที่มีพลังหยินรวบรวมเข้าด้วยกันถึงสามสิบหกชนิด ไข่มุกแค่เม็ดเดียวเทียบเท่ากับพลังจู่โจมเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง จึงมีความน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ตาย! เจ้าไม่มีทางหนีออกจากค่ายกลเก้ามังกรหยกเปลวอัคคีไปได้ แค่ไข่มุกอสูรโลหิตประกายทมิฬเม็ดนี้ก็เพียงพอที่จะส่งเจ้าลงนรกได้รับนับร้อยนับพันครั้ง! ตระกูลหลี่ไม่มีเหลือแล้ว ฉะนั้นเจ้าก็ต้องตายตกไปด้วย! ฮ่า ๆๆ!” ยามนี้หลี่เฟิงถูเหมือนคนเสียสติไปแล้ว ดวงตาฉายแวววิกลจริตและดุร้าย ขณะนั้นเองเขาก็ยกมือขึ้นทำท่าจะเหวี่ยงไข่มุกในมือออกไป กระนั้นจู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนจิตใต้สำนึกล่องลอยอย่างไร้การควบคุม ดวงวิญญาณของเจ้าตัวราวกับถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก เขารู้สึกปวดแปลบและมึนงงไปชั่วขณะ
ฟิ้วววว!
แสงกระบี่พุ่งเข้ามาตรง ๆ จากนั้นลำแสงกระบี่ก็ฟาดลงมาเฉือนมือข้างขวาที่กำไข่มุกอสูรโลหิตประกายทมิฬไว้แน่น เฉินซีทะยานวาบเข้าคว้าไว้โดยฉับพลัน
“อ๊าก! อ๊ากกกก!” หลี่เฟิงถูใช้มือกุมที่ลำคอ ดวงตาเบิกโพลงขณะจ้องเขม็งไปที่เฉินซีอย่างแค้นเคือง เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอขาดเป็นห้วง ๆ “จะ… เจ้าหนี… หนีไม่รอดแน่” ทันทีที่สิ้นเสียง ศีรษะของเขาเอียงวูบและร่างร่วงลงมาจากอากาศ ก่อนจะหล่นกระแทกพื้นดิน โลหิตแดงฉานไหลรินออกจากร่างที่ถูกทุบจนแหลกเหลว
ขณะนั้น เฉินซีทะยานลงมายืนบนพื้น สายตาจับจ้องไปยังจวนที่เคยหรูหราสง่างามของตระกูลหลี่ ทว่าบัดนี้มันกลับพินาศสิ้นกลายเป็นซากปรักหักพัง แม้ว่าทั้งจิตใจและร่างกายของชายหนุ่มจะเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเหลือแสนก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณถูกปลดปล่อยออกจากเครื่องพันธนาการอันหนักหน่วงแล้ว
ตุ้บ!
เฉินซีทรุดเข่าลงกับพื้นข้างแอ่งโลหิตของคนตระกูลหลี่ที่ตายอย่างน่าสังเวช เสียงของเขาพึมพำแผ่วเบา “ท่านปู่เห็นหรือไม่ขอรับ คนตระกูลหลี่ตายหมดแล้ว ในที่สุดหลานชายผู้นี้ก็ได้แก้แค้นศัตรูตัวฉกาจ ท่านปู่อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้คนกระทำผิดที่ทำลายล้างตระกูลเฉินลอยนวล และจะใช้เลือดของพวกมันเซ่นแก่ดวงวิญญาณของคนในตระกูลเฉินที่ตายไปแล้วด้วย…”
นานทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะหยัดกายลุกขึ้นยืน เขาหันไปมองม่านแสงที่ปกคลุมท้องฟ้าและครอบงำตนเอง นั่นคือค่ายกลเก้ามังกรหยกเปลวอัคคี ซึ่งเวลานี้มีเปลวเพลิงสีเขียวลามเลียอยู่ไม่ขาด และดึงออกมาจากร่างไร้วิญญาณที่ตายพร้อมกับความพยาบาทมุ่งร้าย จึงมีพลังมากพอที่จะต้านทานการจู่โจมอย่างเต็มรูปแบบของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา
“นี่หรือประสงค์แห่งสวรรค์…” ชายหนุ่มก้มศีรษะลง ในฝ่ามือขวาพลันปรากฏไม้ไผ่สีดำสนิทยาวสักสามฉื่อเห็นจะได้ พลังเย็นเยียบเสียดกระดูกแผ่พลังแห่งการทำลายล้างออกมา สิ่งนี้คือกระบี่ไผ่ทองคำนิล!
ฟิ้วววว!
ฉับพลันนั้นเองร่างของเฉินซีพุ่งวาบหายไปจากที่นั่น ลูกไฟวาววับพร่างพรายปรากฏทั่วผืนฟ้า มันเป็นประกายไฟที่ระเบิดออกจากกระบี่ไผ่ทองคำนิลทั้งสิ้น
ฟู่!
ประกายสายฟ้าแลบพุ่งออกมาพร้อม ๆ กับลำแสงที่หมุนโค้งของกระบี่ที่จ้วงแทงออกไป ม่านแสงเหมือนกับแผ่นกระดาษถูกเจาะรูถูกฉีกขาด ทำให้กระบี่ทะลวงผ่านออกไปอย่างง่ายดาย
บนโลกใบนี้ สายฟ้าเสมือนคุณสมบัติโดยเที่ยงแท้ของพลังหยาง มันชำนาญในการต่อสู้กับสิ่งสกปรกโสโครกต่าง ๆ ค่ายกลเก้ามังกรหยกเปลวอัคคี ที่เกิดจากพลังเปลวอัคคีหยกอำพันอันชั่วร้ายมารวมกัน ดังนั้นเมื่อมาเผชิญหน้ากับคลื่นพลังเย็นเยียบแฝงเจตนาสังหารของสายฟ้าเช่นนี้ จึงไม่แปลกเพราะเท่ากับเป็นการเผชิญหน้ากันของศัตรูทางธรรมชาตินั่นเอง
ค่ายกลยักษ์ที่มีพลังมากพอจะต้านทานการจู่โจมตีเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ได้ถูกเฉินซีทำลายลงด้วยกระบี่เดียวเท่านั้น และชายหนุ่มสามารถหนีออกจากที่คุมขังของตระกูลหลี่ซึ่งเป็นที่ที่สามารถกักขังทุกสิ่งทุกอย่าง หากนี่มิใช่ประสงค์แห่งสวรรค์ …แล้วจะเรียกว่าอะไร
‘เปลวอัคคีหยกอำพันชั่วร้ายเหล่านี้มีคุณสมบัติหยิน สิ่งนี้ถูกขัดเกลาจากเถ้ากระดูกของผู้บริสุทธิ์ที่ตระกูลหลี่เคยสังหารมาทั้งหมด พวกเขาต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนตาย ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่ยอมยกโทษและเคืองแค้นที่ตนต้องมาตาย เป็นเช่นนี้ข้าจะชดเชยความแค้นให้แก่พวกเจ้าตามความปรารถนา ต่อไปข้าจะเผาจวนตระกูลหลี่ให้หมด!’
ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบา จากนั้นก็เหินขึ้นไปเหนือบริเวณม่านแสงทันที พลันสายฟ้าที่พุ่งออกมาจากกระบี่ไผ่ทองคำนิลก็ทำหน้าที่เสมือนใบมีดที่แหลมคมที่สุดในพื้นพิภพ ด้วยในเวลาชั่วไม่กี่อึดใจ เขาได้ฉีกคว้านม่านแสงที่แผ่ปกคลุมตระกูลหลี่จนแตกกระจายกลายเป็นเกล็ดไฟสีเขียว
“ไป!” เฉินซีสะบัดชายแขนเสื้อออกไป พลันประกายไฟสีหยกจำนวนมากมหาศาลก็โปรยปรายลงไปที่จวนตระกูลหลี่ทั่วทุกซอกทุกมุมบนเนื้อที่กว่าพันลี้
เปรี้ยง!
เปลวเพลิงพวยพุ่งสูงสู่ท้องฟ้า เบื้องล่างบริเวณที่เคยเป็นตระกูลหลี่ถูกเผาวอดวาย เปลวเพลิงสีเขียวลุกโชนกลายเป็นกลุ่มควันและไอหมอกลอยขึ้นไปบนอากาศ ราวกับว่ามันกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาชญากรรมที่เคยเกิดขึ้นที่นี่มานับครั้งไม่ถ้วน…