บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 108 ร่มมังกรยักษ์เก้าปรก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 108 ร่มมังกรยักษ์เก้าปรก

บทที่ 108 ร่มมังกรยักษ์เก้าปรก

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

พลังปฐพีที่ห้าที่พลุ่งพล่านได้ขยายและหดตัวอย่างรุนแรง

มันเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่มีดวงดาวรายล้อม ฝ่ามือมหาดาราที่ครอบคลุมพื้นที่ถึงสี่จั้งได้ฟาดอย่างต่อเนื่อง จนเกิดหลุมขนาดมหึมาที่น่าสะพรึงกลัวลงบนพื้นดินกับภูเขานับสิบหลุม

ภูเขาต่างสั่นสะเทือนและแผ่นดินก็แยกออกจากกัน

เฉินซีพลันรู้สึกราวกับว่าได้ครอบครองพลังทำลายล้างที่ไร้ขอบเขต เพียงสัมผัสเบา ๆ ก็บดขยี้ดวงดาว และกีดกันดวงอาทิตย์และจันทราออกจากกันได้

แน่นอนว่านี่เป็นความเข้าใจผิดประเภทหนึ่ง เว้นแต่จะมีใครขึ้นไปถึงจุดสุดยอดของมหาเต๋า และเข้าใจกฎแห่งการกำเนิดสวรรค์และโลกเป็นอย่างอื่น มิฉะนั้นจะไม่มีใครครอบครองพลังวิเศษที่สามารถทำลายดวงดาราและดวงตะวันได้

แต่เฉินซีได้เห็นพลังของฝ่ามือมหาดารา เพียงฟาดฝ่ามือลงไปพื้นดินก็ทรุดตัวลงแล้วแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่ก้อนหินและภูเขาค่อย ๆ พังทลายทีละน้อย ด้วยพลังของมันนั้นแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อมาก

ยิ่งกว่านั้น เขาเพิ่งเริ่มบ่มเพาะทำให้ฝ่ามือมหาดารามีขนาดเพียงสี่จั้งเท่านั้น ด้วยความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ย่อมถือว่ายังไม่บรรลุให้เป็นที่น่าพอใจ

พร้อมกับความก้าวหน้าของการบ่มเพาะของเขา พลังอิทธิฤทธิ์แห่งบรรพกาลที่สืบทอดมาจะน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น!

พลังปฐพีที่ห้าที่นี่มีมากมายอุดมสมบูรณ์ และไม่มีวันหมดสิ้น การบ่มเพาะอยู่ในที่แห่งนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้ศิลาวิญญาณดาราเพื่อบ่มเพาะเลยแม้แต่น้อย ข้าต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดและพัฒนาการบ่มเพาะอย่างเหมาะสม!

ยิ่งกว่านั้นขอบเขตปฐพีที่ห้านี้เป็นระดับที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสวรรค์ ตามที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋เคยกล่าวไว้ การบ่มเพาะอยู่ในที่แห่งนี้สามวันเทียบกับหนึ่งวันในโลกภายนอก เมื่อกาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและยังเกื้อหนุนต่อการบ่มเพาะ ดังนั้นหากจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์ก็คงไม่เกินจริงนัก

นอกจากนี้ ยังมีเวลาอีกครึ่งปี ก่อนการประลองจัดอันดับมังกรซ่อนแห่งเมืองทะเลสาบมังกรในปีหน้า ถ้าบ่มเพาะอยู่ที่นี่ในช่วงครึ่งปี มันก็จะเทียบเท่ากับการบ่มเพาะเป็นเวลาถึงหนึ่งปีครึ่ง ย่อมเพียงพอที่จะพัฒนาการบ่มเพาะของข้าไปสู่อีกขอบเขตหนึ่ง!

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ เมื่อครั้งที่อยู่ขอบเขตก่อกำเนิด หากต้องการบ่มเพาะและเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายเพียงเล็กน้อย เขาไม่ทราบว่าต้องดูดซับพลังดาราจักรไปมากถึงเพียงใด ซึ่งมันยากมาก

ทว่า หากอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล หลังจากควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณและแปรเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณ ความแข็งแกร่งสามารถเพิ่มขึ้นได้โดยไม่มีขีดจำกัด และนี่คือประโยชน์ของขอบเขตตำหนักอินทนิลในการขัดเกลากายา

‘อ้อ มีอีกอย่างที่ข้าลืมไป’ เฉินซีตบหน้าผากในขณะที่คิดอยู่ในใจ จากนั้นร่างของเขาก็หายไปในอากาศ

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋” เฉินซียืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและตะโกนเสียงดัง

วูบ!

ประกายแวววาวพุ่งออกมาจากแม่น้ำ จากนั้นเฉินซีก็ยื่นมือออกไปคว้ามัน สิ่งนั้นคือแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง

“นี่คือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ จงเอาไปบ่มเพาะอย่างถูกวิธี ในตอนนี้ข้ากำลังใช้เคล็ดวิชาเพื่อช่วยให้วิญญาณกระบี่หลอมรวมเข้ากับกระบี่ไผ่ทองคำนิลอยู่ จงอย่ามารบกวนข้า หากไม่มีอะไรสำคัญ”

เคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่เฉินซีได้รับมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่บันทึกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเพื่อก้าวสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ส่วนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งเก้าระดับไม่ได้ถูกบันทึกไว้

เขามาหาจี้อวี๋ด้วยเหตุนี้ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะคาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้เสียก่อน และไม่ต้องรอให้ต้องกล่าวอะไร จี้อวี๋ก็โยนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะมาให้

ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจี้อวี๋จะให้ความสนใจกับการบ่มเพาะของข้าอย่างใกล้ชิด

ยะฮู้!

ในเวลาต่อมา เฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่บ่มเพาะระดับที่หนึ่งของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์อีกครั้ง หลังจากที่เขาผ่านระดับที่หนึ่งของบททดสอบไปแล้ว จากนี้เขาก็สามารถเข้าและออกได้ตามใจต้องการ

เก้าระดับของวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพของขอบเขตตำหนักอินทนิล คือการเปิดจุดชีพจรบนผิวหนัง และควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้า เคล็ดวิชาการบ่มเพาะแบ่งออกเป็นอักขระจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้า อักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สอง อักขระจ้าววิญญาณขั้นทองคำที่เจ็ด อักขระจ้าววิญญาณขั้นอัคคีที่สาม อักขระจ้าววิญญาณขั้นวารีที่สิบ… ทั้งหมดรวมเป็นเก้าบท

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ฝ่ามือมหาดาราและวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซ้ำยังมีเพียงการรวมกันของทั้งสองเท่านั้นถึงจะสร้างพลังอันน่าเกรงขามได้…

เกือบไปแล้ว! หากไม่ได้รับการสืบทอดเคล็ดวิชาฝ่ามือมหาดาราก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องเสียใจเป็นแน่!

ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นและดูเนื้อหาของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ระดับแรกของฝ่ามือมหาดาราคือขอบเขตปฐพีที่ห้าผสานเข้ากับอักขระจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้า และปราณจ้าววิญญาณ ยิ่งพลังปฐพีที่ห้าเข้มข้นมากไปเท่าใด ฝ่ามือมหาดาราก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

ในทำนองเดียวกัน ขอบเขตพฤกษาที่สองผสานเข้ากับอักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สอง และสาม ขอบเขตทองคำที่เจ็ดผสานเข้ากับอักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ด

อาจกล่าวได้ว่าหากเขาต้องการบ่มเพาะฝ่ามือมหาดาราจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ มันก็ไม่สามารถทำได้โดยปราศจากการบ่มเพาะของวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ!

ฟู่วว!

เฉินซีสูดลมหายใจยาว และรู้สึกว่าตัวเขาโชคดีมากที่ได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะร่างกายและเคล็ดวิชาพลังอิทธิฤทธิ์ เขาจะไม่เสียใจที่ต้องขาดหนึ่งในสองสิ่งนี้อีกต่อไป

ในบรรดาธาตุทั้งห้าบนสวรรค์และโลก โลกมีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่จากการปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เติบโตบนนั้น มันรวบรวมแก่นสารของสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลก…

เฉินซีไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป จากนั้นเขาจึงนั่งขัดสมาธิและเริ่มหมุนเวียนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ

ภายในโลกที่เต็มไปด้วยด้วยฝุ่นดิน มีเพียงร่างของเขาที่นั่งสมาธิอยู่เท่านั้น และดูเหมือนจะค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับท้องฟ้า ผืนดิน และภูเขา

พลังปฐพีที่ห้าที่มีอยู่ในโลกต่างพุ่งเข้าหาเขา และหลั่งไหลลงในอักขระจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้าบนแผ่นหลัง ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสปราณจ้าววิญญาณขนาดเล็กระหว่างเลือดเนื้อและผิวหนัง

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบ

ขณะที่เฉินซีกำลังบ่มเพาะอยู่

ที่ชายแดนของห้วงทะเลทรายมรณะซึ่งอยู่ติดกับทุ่งหญ้าพเนจร อารมณ์ของซูติงอี้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของตระกูลซูอีกห้าคนกลับทุกข์ระทมใจยิ่งนัก

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว! หากเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าข้าจะกลายเป็นบ้า!” ชายอ้วนศีรษะล้านที่สวมชุดคลุมสีแดง คำรามด้วยความหดหู่และทำลายบรรยากาศที่น่าเบื่อนี้

“ศิษย์น้องติงเว่ย ด้วยนิสัยของเจ้า เจ้าไม่อาจบ่มเพาะถึงขอบเขตเคหาทองคำขั้นกลางได้ แม้จะผ่านไปอีกสิบปีก็ตาม!” ซูติงอี้ขมวดคิ้วขณะที่เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาและกล่าวตำหนิ

ขอบเขตเคหาทองคำนั้นดูดซับปราณหยินหยางในสวรรค์และโลก เพื่อขัดเกลาปราณแท้ในร่างกายทั้งหมด อีกทั้งยังทำให้หยินหยางผสมผสานเป็นหนึ่งเพื่อส่งเสริมการสร้างจิตวิญญาณและแก่นแท้ มันแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสมบูรณ์แบบ เห็นได้ชัดว่าชายอ้วนศีรษะล้านที่สวมชุดคลุมสีแดงที่เรียกว่าซูติงเว่ยมีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นต้น

ซูติงเว่ยดูเหมือนจะเกรงกลัวพลังและอิทธิพลของซูติงอี้ เขาทำเพียงเม้มปากและไม่กล้าบ่นอีก

ซูติงอี้แลตาลงไปที่หญิงสาวรูปงามและเอ่ยถามว่า “ศิษย์น้องติงโหรว เจ้าส่งตราคำสั่งผ่านไปแล้วหรือยัง? มีข่าวอะไรจากตระกูลบ้างหรือไม่?”

“ข้าส่งมันไปแล้ว ท่านผู้นำตระกูลได้ส่งท่านลุงซูเหลิ่งออกไปและเขากำลังรีบมาที่นี่ ข้าคิดว่าเขาน่าจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน” ซูติงโหรวกล่าวช้า ๆ

ท่านลุงซูเหลิ่ง!

สีหน้าของคนอื่น ๆ ก็แข็งทื่อเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกตระกูลอันยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร ตระกูลซูจึงสามารถต่อกรกับแปดนิกายกับสามสถาบันอันยิ่งใหญ่ได้ ไม่เพียงเพราะมีสมาชิกในตระกูลจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมีผู้อาวุโสที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำมากกว่าสิบคนปกปักษ์รักษาตระกูลซู

และสิ่งนี่คือรากฐานเพื่อความอยู่รอดของตระกูลซู ตราบใดที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลซูก็ไม่มีวันสั่นคลอน!

พวกเขาทุกคนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ เป็นเพียงกองกำลังหลักของตระกูลซูเท่านั้น มีเพียงผู้บ่มเพาะที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำเท่านั้น ที่สามารถกลายเป็นผู้อาวุโสของตระกูลซูซึ่งควบคุมอำนาจและมีสถานะที่สูงส่ง

ในเวลาเดียวกันกับที่ซูเหลิ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำ เขาก็เป็นผู้อาวุโสตระกูลซู ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือจากความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง!

“เหตุใดถึงเป็นเขา…?” เสียงของซูติงเว่ยอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าขุ่นเคืองและเกรงกลัวต่อผู้อาวุโสซูเหลิ่งมาก

“เจ้ากล้าดีอย่างไร!? ทัศนคติของเจ้าที่มีต่อท่านลุงซูเหลิ่งไม่สุภาพอย่างมาก และถ้ากล้ากล่าววาจาไร้สาระอีกครั้ง อย่าได้หาว่าข้าหยาบคาย!” ซูติงอี้ด่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

อันที่จริง ซูติงอี้ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเช่นกัน ซูเหลิ่งมีการบ่มเพาะเช่นเดียวกับพวกเขาที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของรุ่น ‘ติง’ อีกทั้งตัวตนกับสถานะของเขาก็ด้อยกว่าพวกเขาทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เปลี่ยนไปเมื่อครึ่งปีก่อน…

เมื่อครึ่งปีก่อน ซูเหลิ่งได้ออกเดินทางเพื่อฝึกวิชาและหาประสบการณ์ เขาบังเอิญได้เข้าไปในซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง และไม่มีผู้ใดทราบว่าที่แห่งนี้สร้างประโยชน์อันใดแก่เขา แต่เมื่อได้กลับมาที่ตระกูล การบ่มเพาะของเขาได้ก้าวจากขอบเขตเคหาทองคำขั้นต้นไปสู่ขอบเขตแกนทองคำในคราวเดียว

เรื่องนี้ทำให้ทั้งตระกูลตกตะลึงในทันที นับจากนั้นมาก็ได้รับการยกระดับสถานะเป็นผู้อาวุโสประจำตระกูลซู นอกจากนี้ยังเป็นผู้อาวุโสอายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสทั้งมวล เขากลับกลายเป็นตำนานที่เหล่าสมาชิกตระกูลรุ่นหลังล้วนชื่นชมและนับถือ

ซูติงเว่ยไม่อาจสงบคำอีกต่อไป เมื่อถูกตำหนิในครั้งนี้ และใบหน้าที่อ้วนท้วนของเขาเผยความขัดเคือง “การไล่ล่าและสังหารเฉินซีเป็นเรื่องระหว่างเราพี่น้องทั้งหกคน หากทำได้สำเร็จ เราย่อมแบ่งปันสมบัติมหาศาลที่เจ้าเด็กคนนั้นได้รับจากที่พำนักเซียนกระบี่ แต่ตอนนี้ซูเหลิ่งกลับมาแล้ว กระนั้นไม่กลายเป็นว่าสิ่งที่พวกเราลงมือทำไปมันเสียเปล่า แล้วจะไม่ได้อะไรเลยหรือ?”

ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้เคียง ผู้มีคิ้วดั่งคันธนูกล่าวเสียงต่ำ “ท่านลุงซูเหลิ่งคงไม่หุบสมบัติทั้งหมดไว้กับตัวเองใช่ไหม?”

“คงไม่หรอกกระมัง? ซูติงเยวี่ยน อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าเจ้าแอบเอาใจซูเหลิ่งอย่างลับ ๆ!” ซูติงเว่ยมีสีหน้าทะมึนถึงระคนเหยียดยาม

“นั่นมันเรื่องโกหกบ้า ๆ!” ซูติงเยวี่ยนฉุนจัด

“ข้าโกหกหรือ? เจ้าต้องการให้ข้านำหลักฐานมาแสดงให้ดูไหม” ซูติงเว่ยยังคงสงบนิ่งขณะไล่ต้อนซูติงเยวี่ยนเข้ามุม

“เจ้า…” ซูติงเยวี่ยนโกรธจนหอบหายใจแรง และดูเหมือนว่าการแสดงออกของเขาจะอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะคำกล่าวของซูติงเว่ยกระทบเข้ากับจุดอ่อนของเขาเสียเอง

“หุบปาก!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูติงอี้ที่อยู่ใกล้เคียงก็ไม่อาจเมินเฉย และตะคอกอย่างเย็นชาออกมา “พวกเจ้าทั้งสองไม่เคารพข้า ผู้เป็นพี่ใหญ่ของพวกเจ้ารึ? ฮึ่ม! พวกเจ้ารู้เพียงแต่จ้องจะจับผิดกันตลอดทั้งวัน และตระกูลซูก็มีแต่เรื่องไม่ซ้ำวัน มันเป็นเพราะพวกเจ้าทั้งหมด!”

ซูติงเว่ยกับซูติงเยวี่ยนจ้องหน้ากันเขม็ง จากนั้นพวกเขาก็หุบปากลงอย่างไม่พอใจ

“อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่ติงอี้ เราต้องหาทางป้องกันเรื่องนี้ หากท่านลุงซูเหลิ่งมาถึงและต้องการยึดสมบัติทั้งหมดของเจ้าเด็กคนนั้น เราจะไม่ทำทั้งหมดนี้โดยเปล่าประโยชน์หรือ? หากเรื่องนี้แพร่งพรายกลับไปยังตระกูล เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” น้ำเสียงที่กล่าวนั้นแผ่วเบา แต่เจ้าของน้ำเสียงกลับเป็นชายตัวสูงที่หยาบกร้าน กำยำ และดุร้าย

ชายผู้นี้มีลักษณะเหมือนอาลักษณ์ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด ขณะที่เขาพยักหน้าช้า ๆ และกล่าวว่า “ใช่ ศิษย์พี่ติงหลงกล่าวถูกแล้ว ข้าเองก็กังวลถึงเรื่องนี้เช่นกัน”

คนหนึ่งคือซูติงหลง อีกคนคือซูติงคง ในบรรดาทั้งหกคนมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ไม่ค่อยพูดจาและนิ่งเงียบอยู่ตลอด

แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ พวกเขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป

ซูติงอี้ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เมื่อเห็นสองคนนี้ที่มักเก็บงำความคิดกล่าวออกมา

เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นว่า “ข้าก็ปวดหัวเช่นกัน หากเป็นเมื่อก่อนยังพอยับยั้งเขาได้บ้าง แต่ในตอนนี้ซูเหลิ่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลซู อีกทั้งสถานะของข้ากับเขายังคงห่างชั้นกันมาก ถ้าเขาต้องการหุบสมบัติทั้งหมด ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน”

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ข้าซูเหลิ่งจะทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้องรู้สึกปวดหัว ช่างคาดไม่ถึงจริง ๆ!” ในขณะนี้เองมีเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากที่ไกลแสนไกล และมีเงาวาดผ่านมายังเบื้องหน้าพวกเขาทั้งหกในพริบตา

ชายชุดดำผู้มีมุมปากบางราวกับใบมีดและดูเยือกเย็นยิ่งนัก กลิ่นอายที่ส่งออกมาทำให้ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลก ภายในพื้นที่สามลี้ กลับกลายเป็นยุ่งเหยิงและกระจัดกระจายออกไป

“คารวะท่านลุงซูเหลิ่ง!” เมื่อพวกเห็นชายชุดดำ กลุ่มซูติงอี้ทั้งหกคนก็แข็งทื่อ จากนั้นกุรีกุจอรีบลุกขึ้นโค้งคำนับทักทาย

“ฮึ่ม!” ซูเหลิ่งกวาดตามองทั้งหกคน และมองดูซูติงอี้เป็นพิเศษก่อนจะกล่าวช้า ๆ “อย่าได้กังวล ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้เพียงเพื่อช่วยพวกเจ้าจับหัวขโมยตัวน้อยเฉินซี ส่วนสมบัติอะไรก็ตาม ข้าซูเหลิ่งไม่ต้องการมัน!”

กลุ่มซูติงอี้ทั้งหกคนหันขวับมองหน้ากัน แม้ว่าจะรู้สึกว่าคำกล่าวของซูเหลิ่งไม่น่าถืออย่างยิ่ง แต่ก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก …เจ้าไม่ต้องการหุบสมบัติหรือ? ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว!

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหัวขโมยตัวน้อยเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะ เขาช่างกล้าหาญยิ่งนัก แต่ข้าก็เตรียมตัวมานานแล้วเช่นกัน และไม่เกรงกลัวต่อพายุทรายที่โหมกระหน่ำนั่น” ขณะที่กล่าว ซูเหลิ่งก็โยนบางสิ่งออกไป เป็นร่มขนาดใหญ่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะขยายใหญ่ขึ้นจนครอบคลุมพื้นที่กว่าสิบจั้ง

สมบัติวิเศษคล้ายร่มนี้เต็มไปด้วยประกายแสงสีทอง และอักขระนับไม่ถ้วนที่ส่องแสงระยิบระยับถูกวาดลงบนร่ม มังกรยักษ์เก้าปรกที่แหวกว่ายอยู่ภายในร่ม พวกมันต่างปล่อยพลังที่ไร้ขอบเขตออกมา

ร่มมังกรยักษ์เก้าปรก!

กลุ่มซูติงอี้ทั้งหกคนต้องตกตะลึง จากนั้นแววตาก็เผยความปรารถนาแรงกล้า ร่มมังกรยักษ์เก้าปรกนี้เป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นกลาง และได้รับการขัดเกลาด้วยเหล็กดาราพระศุกร์เป็นโครง และมีวิญญาณอสูรมังกรพันปีถูกผนึกอยู่ภายใน มังกรทั้งเก้าถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและมีพลังป้องกันที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

มูลค่าของมันเทียบได้กับวารีวิญญาณมากกว่าสองแสนห้าหมื่นจิน!

“ไปกันเถอะ ข้าตั้งหม้อกลั่นโอสถไว้ และต้องรีบกลับไปหลังจากที่จับเจ้าเด็กคนนี้ได้แล้ว” ซูเหลิ่งสะบัดแขนเสื้อไปด้านหลัง ทำให้มวลเมฆพยุงทุกคน ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาห้วงทะเลทรายมรณะอย่างรวดเร็ว!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท