บทที่ 114 สะเทือนเมืองทะเลสาบมังกร
บทที่ 114 สะเทือนเมืองทะเลสาบมังกร
ดูเหมือนว่าหลิงไป๋จะสัมผัสถึงความหดหู่ในใจของเฉินซีได้ เขาหงายมือจากนั้นไข่มุกก็ปรากฏ มันโปร่งแสงและเป็นประกายระยิบระยับ มีระลอกคลื่นชวนฝันปกคลุมไปทั่วพื้นผิว
“โอ้ ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ได้รับการขัดเกลา โดยรวบรวมผลึกสุญชีพจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาล มันหายากและล้ำค่ามาก อีกทั้งยังสามารถรับรู้และทำลายกำแพงของดินแดนเร้นลับได้ ซูเหลิ่งใช้ของสิ่งนี้เพื่อเข้าสู่สุสานกระบี่แดนนิพพาน” หลิงไป๋ยิ้มขณะอธิบาย ก่อนที่จะโยนให้แก่เฉินซี
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หากสิ่งนี้เป็นอย่างที่หลิงไป๋กล่าวจริง ๆ นับว่ามันเป็นสิ่งของชั้นดีในการเบิกทางสู่โชคชะตาความเป็นเซียน!
สิ่งที่เรียกว่าการเบิกทางสู่โชคชะตาความเป็นเซียนก็คือ ในระหว่างเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ บรรดานิกายจะส่งลูกศิษย์ออกไปหาประสบการณ์และท่องไปทั่วโลก เพื่อค้นหาขุมทรัพย์ในสวรรค์และโลกหรือภายในดินแดนเร้นลับกับที่พำนักโบราณ หากบังเอิญได้รับสมบัติโบราณ โอสถ สมบัติวิเศษ หรือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระหว่างการออกไปหาประสบการณ์ อาจเป็นเพราะพวกเขาโชคดีมากที่ได้พบกับโชคชะตาความเป็นเซียน
นิกายใหญ่ทุกแห่งจะมีวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ในทุก ๆ ปี โดยให้เหล่าศิษย์มุ่งหน้าไปยังดินแดนเร้นลับ เพื่อหาประสบการณ์ผ่านการสำรวจและแสวงหาสมบัติของสวรรค์และโลก
การฝึกฝนเช่นนี้ นอกจากขัดเกลาจิตใจและความแข็งแกร่งของลูกศิษย์แล้ว ยังทำให้มีโอกาสที่จะได้รับสืบทอดสมบัติมาจากดินแดนเร้นลับและที่พำนักสูงขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและยังนำความรุ่งโรจน์มาให้แก่นิกายที่พวกเขาสังกัดอยู่เช่นกัน
ดังนั้นการเบิกทางสู่ความเป็นเซียนจึงเป็นที่นิยมในโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างมาก และไม่มีทีท่าที่ลดความนิยมไปอีกนาน
แน่นอนว่าโชคและอันตรายเป็นดั่งเหรียญสองด้าน ดินแดนเร้นลับและที่พำนักส่วนใหญ่เต็มไปด้วยข้อจำกัด กลไกและกับดักต่าง ๆ ซากปรักหักพังโบราณบางแห่งอาจมีเศษซากของสมบัติอันน่าสะพรึงกลัวหลงเหลืออยู่ และผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่มากพอ ก็อาจจะไม่สามารถจากไปได้ตลอดกาล
ทว่า ไม่ว่าจะอันตรายหรือไม่ มันก็ยังมีผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา เผื่อว่าตนเองจะได้พบกับโชควาสนาโดยบังเอิญ และพบกับเส้นทางสู่ความเป็นเซียนของตนเอง แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ไม่สามารถหาประตูดินแดนเร้นลับและที่พำนักได้ แล้วนับประสาอะไรกับภยันตราย…
ในขณะที่การครอบครองไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารานั้นเทียบเท่ากับการครอบครองกุญแจ ซึ่งเป็นทางลัดที่นำไปสู่ประตูไปสู่ดินแดนเร้นลับและที่พำนักเหล่านั้น เช่นนั้น หากได้ครอบครองสมบัติเช่นนี้จะมีใครใดบ้างที่ไม่รู้สึกยินดี?
เฉินซีวางไข่มุกลงในแหวนมิติอย่างระมัดระวัง ในตอนนี้ ความท้อแท้ในใจได้หายไปหมดสิ้นแล้ว เขาเก็บข้าวของในทันที ก่อนที่จะระบุทิศทางและทะยานออกจากห้วงทะเลทรายมรณะไป
การจัดอันดับมังกรซ่อนของเมืองทะเลสาบมังกรกำลังจะเริ่มขึ้น หากเขาไม่รีบออกเดินทางอาจจะสายเกินไป
ฟิ้ว!
ภายในสายลมกระโชกและพายุทราย ร่างหนึ่งพุ่งทะยานไกลออกไปราวกับลม และเพียงชั่วพริบตาก็หายวับไปในขอบฟ้า
…
ตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกรเป็นหนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมือง จวนตระกูลครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลที่ห้อมล้อมด้วยอุทยานนับไม่ถ้วน ศาลาอันงดงามต่างเรียงรายกันเป็นแถว และสนามหญ้าที่มีจำนวนมาก ทุกมุมของจวนกลิ่นอายอันหรูหราและยิ่งใหญ่
โถงชุมนุมหลักของตระกูลซูเป็นห้องโถงกว้างที่ปูด้วยหินสีไพลิน และมีกระถางธูปรูปสัตว์มงคลที่เต็มไปด้วยหมอกควันกำจาย เสาหยกสี่เสามีขนาดใหญ่จนต้องใช้คนสองสามคนถึงจะโอบรอบเสาได้ มันตั้งตระหง่านอยู่ภายในห้องโถงที่สูงถึงร้อยจั้ง พวกมันแข็งแกร่งและมั่นคง อีกทั้งบนพื้นผิวยังจารึกลวดลายต่าง ๆ เช่น มังกร วิหคเพลิง เต่าศักดิ์สิทธิ์ นกกระเรียนวิญญาณ ต้นสนเขียว น้ำตก และแผนภาพมงคลอื่น ๆ หมอกและควันถูกพัดพาล้อมรอบแผนภาพเหล่านี้ ทำให้มันดูเสมือนจริง
ด้านหลังบัลลังก์หยกที่ตั้งอยู่กลางห้อง เป็นฉากกั้นที่ประดับไปด้วยอัญมณีและโลหะล้ำค่า ภูเขาแม่น้ำที่เป็นคลื่นสูงต่ำไล่เรียงกันไป ดวงอาทิตย์กับจันทราส่องแสงหากัน มันกว้างใหญ่และงดงาม เผยให้เห็นกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่
ในขณะนี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดดำและมงกุฎนั่งอยู่บนบัลลังก์หยก เขามีตาโตและคิ้วดก โหนกแก้มกว้าง และดวงตาคู่หนึ่งที่เจิดจรัสน่าดึงดูดใจ ซึ่งส่งให้เขาดูมีภูมิฐานและสง่างามยิ่ง
เก้าอี้หยกสิบสองตัววางเรียงกันตลอดสองข้างทางเดิน ในขณะนี้ นอกจากเก้าอี้ตัวสุดท้ายทางซ้ายที่ว่างเปล่า เก้าอี้อีกสิบเอ็ดตัวต่างมีคนนั่งอยู่แล้ว
มีทั้งชายและหญิง คนหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่ หรือแม้แต่เด็กชายในชุดแดงที่ดูอ่อนเยาว์กว่าคนเหล่านี้ แม้ว่ารูปลักษณ์และเสื้อผ้าจะแตกต่างกัน แต่กลิ่นอายกลับน่าสะพรึงกลัวไม่ต่างกัน กระแสหยินหยางหลั่งไหลออกมาช้า ๆ ในขณะที่ดวงวิญญาณกับปราณแท้ถูกสร้างขึ้น และปรากฏการณ์ประหลาดมากมายเกิดขึ้นเหนือศีรษะพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าระดับการบ่มเพาะที่ต่ำที่สุดในหมู่พวกเขาอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!
ห่างออกไปทางด้านหลัง มีชายหญิงที่สวมชุดสีเหลืองเก้าคนยืนอยู่ พวกเขามีลมปราณและกิริยาท่าทางที่มั่นคง การบ่มเพาะอยู่ราว ๆ ขอบเขตเคหาทองคำ และเป็นกองกำลังหลักแห่งตระกูลซู
ที่ด้านหลังมีสมาชิกชุดสีม่วงจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคน แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ส่องประกายหมุนวนอยู่ภายใน ท่าทางของพวกเขากล้าหาญและไม่ธรรมดา
ในหมู่พวกเขามีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นคือเด็กสาวในชุดสีดำ นางมีคิ้วสีดำโก่งโค้ง ความงามที่ราวกับภาพวาด นางมีนิสัยที่อดกลั้นซึ่งเผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งที่ไม่อาจปกปิดได้ และนางก็คือซูเจียว บุตรสาวของผู้นำตระกูลซู ซึ่งก็คือซูเจิ่นเทียน ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในดวงอาทิตย์คู่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร!
“วันนี้ข้าเรียกทุกคนมารวมกัน เพราะมีเรื่องจะพูดคุยอยู่สองเรื่อง” ซูเจิ่นเทียนเคาะที่วางแขนบนบัลลังก์เบา ๆ ขณะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา และทันทีที่กล่าวก็เกิดแรงกดดันที่เหมือนกับภูเขาปกคลุมไปทั่วห้องโถง
“ประการแรก ตระกูลหลี่ของเมืองหมอกสนถูกทำลายล้างเมื่อไม่กี่วันก่อน ตระกูลหลี่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลซูของเรา และเป็นแขนขาที่มีประสิทธิภาพของตระกูลซูมาโดยตลอด ตอนนี้พวกเขาได้ถูกกำจัดไปแล้ว ตระกูลซูควรจะเป็นผู้นำและจับคนร้ายเพื่อล้างแค้นให้กับตระกูลหลี่ ข้าได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้มาว่า …ผู้ที่ลงมือล้างบางตระกูลหลี่ คือเศษสวะจากตระกูลเฉิน มันเป็นหลานคนโตของสุนัขเฒ่าเฉินเทียนลี่ เจ้าเฉินซี!”
เมื่อเอ่ยคำว่า ‘เฉินซี’ ซูเจิ่นเทียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม และดูเหมือนเขาจะเกลียดชังคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ
“ผู้ใดคือเฉินซี?”
“ใช่ คนผู้นี้ช่างสามหาวเสียนี่กระไร!? ทำลายล้างทั้งตระกูล เขาโอหังเกินไปแล้ว!”
“หืม? ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อเขามาจากที่ไหนสักแห่ง?”
เหล่าสมาชิกตระกูลในชุดสีม่วงพูดคุยกันอย่างออกรส แต่ผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดคน ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งเก้าคน และซูเจียวกลับเงียบสนิท เห็นได้ชัดว่าทราบเหตุการณ์ที่เกิดในเมืองหมอกสนมาสักพักแล้ว
“เงียบซะ!” คนที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งแรกทางด้านขวาของห้องโถง เป็นเด็กชายชุดแดงที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มหันกลับมาขวับพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นขณะที่ตะโกนลั่น ทำให้เหล่าสมาชิกชุดสีม่วงต่างตกใจจนร่างสั่นสะท้าน ไม่นานพวกเขาก็ปิดปากเงียบสนิทราวกับจักจั่นที่จำศีลในฤดูหนาว
เด็กคนนั้นมีนามว่า ‘ซูหลิงเฟิง’ และเป็นผู้อาวุโสของตระกูลซู รูปลักษณ์ภายนอกของเขายังคงอ่อนเยาว์ เนื่องจากการบ่มเพาะเคล็ดวิชาประหลาด แต่อายุที่แท้จริงนั้นมากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว!
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเคยได้ยินนามของเขาหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ เฉินซีได้แย่งชิงสมบัติวิเศษภายในที่พำนักของเซียนกระบี่แห่งดินแดนนรกร้างใต้พิภพที่ควรเป็นของตระกูลซูไป ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงทำลายล้างตระกูลหลี่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวโดยอาศัยประโยชน์จากสมบัติวิเศษเหล่านั้นต่างหาก” ซูเจิ่นเทียนกล่าวช้า ๆ
“อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้เป็นเพียงมดปลวกที่มีการบ่มเพาะแค่ขอบเขตก่อกำเนิดเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ในตอนนี้กลับสังหารผู้อาวุโสขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหกคนของตระกูลหลี่ พวกเจ้าลองคิดดูสิว่าผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากที่พำนักของเซียนกระบี่นั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด ทั้งที่ผลประโยชน์เหล่านี้เดิมทีควรจะเป็นของตระกูลซู!”
โว้ว!
ลูกตาของสมาชิกตระกูลในชุดสีม่วงเบิกโพลงด้วยไม่อยากเชื่อหู หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเกรงกลัวต่อพลังยับยั้งของผู้อาวุโสใหญ่ซูหลิงเฟิง พวกเขาคงอุทานด้วยความตกใจไปนานแล้ว
ชายที่มีการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดเมื่อหนึ่งปีก่อน หนึ่งปีต่อมากลับทำลายล้างทั้งตระกูลด้วยตัวคนเดียว? เคล็ดวิชาการบ่มเพาะและสมบัติวิเศษแบบไหนที่เขาได้รับมาจากที่พำนักของเซียนกระบี่!?
ในขณะที่สมบัติเหล่านี้เดิมทีควรจะเป็นของตระกูลซู!
เมื่อพวกเขาคิดถึงจุดนี้ สายตาของคนเหล่านั้นก็แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวออกมา และไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าลากไอ้สารเลวที่มีนามว่าเฉินซีออกมา ทำให้มันคายทุกสิ่งที่ขโมยทั้งหมดมา!
“ตอนนี้ ปรมาจารย์ขอบเขตเคหาทองคำแห่งตระกูลซูในรุ่น ‘ติง’ ได้มุ่งหน้าไปจับกุมเฉินซีแล้ว นอกจากนี้ผู้อาวุโสซูเหลิ่งยังตามไปสมทบด้วย ข้าคิดว่าอีกไม่นานคงจะจับกุมเจ้าวายร้ายเฉินซีมาได้ จากนั้นก็ให้มันคายสมบัติที่ขโมยไปออกมา” เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของซูเจิ่นเทียน
“ด้วยวิธีนี้ ตระกูลซูจะช่วยล้างแค้นให้แก่ตระกูลหลี่แล้วยึดสมบัติที่เป็นของเราแต่เดิมคืนมา …และถือได้ว่าเป็นการยิงนกสองตัวด้วยปืนนัดเดียว ข้ากับเหล่าผู้อาวุโสตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะมอบให้สมบัติเหล่านี้แก่สมาชิกที่มีขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหมด และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ข้าได้เรียกรวมพวกเจ้าทั้งหมดมาในวันนี้”
“แบ่งปันสมบัติให้กับพวกเรา?”
“นี่ไม่จริงใช่ไหม”
“พระเจ้า! สิ่งนั้นคือสมบัติจากที่พำนักเซียนกระบี่!”
สมาชิกชุดม่วงจำนวนนับร้อยคนไม่อาจยับยั้งความประหลาดใจได้อีกต่อไป และพวกเขาทั้งหมดก็โห่ร้องราวกับกำลังยินดีเสียเต็มประดา ช่างน่าอัศจรรย์! นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง!
ในเวลานี้ แม้แต่สมาชิกที่อยู่ในขอบเขตเคหาทองคำทั้งเก้าคนที่อยู่ใกล้เคียง ก็แสดงออกถึงความอิจฉาริษยา และต่างรู้สึกว่าช่างน่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งใดสำหรับพวกเขาบ้าง
“เงียบซะ!” ผู้อาวุโสใหญ่ซูหลิงเฟิงตะโกนออกมาอีกครั้ง และยับยั้งสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้ไว้
“แน่นอน มันย่อมมีเงื่อนไขในการได้รับสมบัติ” ซูเจิ่นเทียนกล่าวหลังจากที่ห้องโถงกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
“การประลองจัดอันดับมังกรซ่อนจะจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ในเวลานั้นเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของแปดนิกายใหญ่ สามสำนักใหญ่ และหกตระกูลใหญ่ รวมทั้งตระกูลซูของเราจะเข้าร่วมด้วย ตราบใดที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกได้ คนผู้นั้นจะได้รับรางวัลเป็นสมบัติหนึ่งชิ้น หากเข้าสู่ห้าสิบอันดับแรกจะได้รับรางวัลเป็นสมบัติสองชิ้น การเข้าสู่สิบอันดับแรกไม่เพียงจะได้รับรางวัลเป็นสมบัติสามชิ้นเท่านั้น แต่ยังจะได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นสมาชิกสายหลักของตระกูลซู และเพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติเยี่ยงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ!”
การประลองจัดอันดับมังกรซ่อน?
เป็นเช่นนั้นเอง!
แววตาของเหล่าสมาชิกตระกูลหนึ่งร้อยคนส่งประกายเร่าร้อน เดิมทีพวกเขาจะเข้าร่วมการประลองจัดอันดับมังกรซ่อน และประลองกับผู้คนที่โดดเด่นทั้งหมดในดินแดนทางตอนใต้อยู่แล้ว แต่รางวัลมากมายที่ท่านผู้นำตระกูลซูเจิ่นเทียนได้ให้คำสัญญาไว้ ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมการประลองยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“หากใครสามารถยึดสามอันดับแรกได้…” สายตาของซูเจิ้นเทียนกวาดไปโดยรอบ ก่อนที่จะกล่าวทีละคำ “ข้าจะขอให้ท่านบรรพชนละเว้นกฎและรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรง!”
ได้เป็นศิษย์สายตรงของท่านบรรพชน?
ลมหายใจของทุกคนรวมถึงผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดคนหยุดลงในทันที ใบหน้าเปล่งความปรารถนาอันแรงกล้า บรรพชนคือตัวตนที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในตระกูลซู!
ในเวลานี้เองที่เสียงอันแหบแห้งดังออกมาจากนอกห้องโถง “ท่านผู้นำตระกูล มีบางอย่างผิดปกติ! ตะเกียงวิญญาณชีวิตของผู้เฒ่าซูเหลิ่ง ซูติงอี้ ซูติงเยวี่ยน ซูติงหลง ซูติงคง ซูติงเว่ย และติงโหรว ทั้งหมดถูกดับพร้อมกัน!”
ปัง!
ถ้วยชากระแทกพื้นห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน
…
ในวันนี้ ข่าวการตายของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนของตระกูลซู ได้แพร่กระจายไปถึงหูของกองกำลังทั้งหมดภายในเมืองทะเลสาบมังกร
ทันใดนั้น ทั่วทั้งเมืองก็สั่นสะเทือน!
ตระกูลซูมีผู้อาวุโสขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอยู่สิบสองคน และผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสิบห้าคน ในบรรดาหกตระกูลใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร ตัวตนของคนเหล่านี้นับว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ แต่ตอนนี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนได้เสียชีวิตลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ล้มตายไปด้วย มันทำให้ความแข็งแกร่งของตระกูลซูลดลงไปอย่างมหาศาล
ความสูญเสียของตระกูลซูทำให้กองกำลังทั้งหมดที่ได้ยินข่าวนี้ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผู้ใดกันที่กล้าลงมืออย่างไร้ความปรานีเยี่ยงนี้?
หน่วยสอดแนมจำนวนมากถูกส่งออกไป ไม่นานนัก กองกำลังทั้งหมดในเมืองทะเลสาบมังกรก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน นั่นก็คือเฉินซี!
สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองทะเลสาบมังกร เฉินซีเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยนัก อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้ขัดขวางกองกำลังต่าง ๆ ที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขา
ไม่นานนัก ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ ‘เฉินซี’ ก็ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะของเหล่ากองกำลังเหล่านั้น
เฉินซี เด็กกำพร้า ตัวอัปมงคล นักสร้างยันต์อักขระฝึกหัด ดินแดนนรกร้างใต้พิภพ ที่พำนักเซียนกระบี่ ทำลายล้างตระกูลหลี่ด้วยตัวคนเดียว …ข้อมูลทุกชิ้นมีรายละเอียดยิบย่อย มันขุดทุกอย่างที่เกี่ยวกับเฉินซีและเปิดเผยอย่างหมดจด
สิ่งที่กองกำลังเหล่านี้สนใจมากที่สุดก็คือ เหตุใดการบ่มเพาะของเจ้าหนุ่มนี่ถึงแข็งแกร่งเพียงนี้ในหนึ่งปี? คำตอบก็ชัดเจนในตัวเอง เป็นเพราะที่พำนักเซียนกระบี่ในดินแดนนรกร้างใต้พิภพ!
เหตุผลแท้จริงที่ตระกูลซูเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ ก็ปรากฏพร้อมกับสิ่งนี้เช่นกัน นั่นก็คือสมบัติวิเศษแห่งที่พำนักเซียนกระบี่ที่อยู่ในครอบครองของเด็กคนนี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นามของเฉินซีเป็นที่รู้จักของผู้คนและกองกำลังในเมืองทะเลสาบมังกรในชั่วข้ามคืน