บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 115 การต่อสู้ท่ามกลางป่าลึก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 115 การต่อสู้ท่ามกลางป่าลึก

บทที่ 115 การต่อสู้ท่ามกลางป่าลึก

เรือเหาะสมบัติได้บดขยี้มวลเมฆบนท้องฟ้าขณะที่บินไปทางเหนือด้วยความเร็วสูง

เฉินซียืนอยู่ที่หัวเรือ ในมือถือน้ำเต้าสุราและยกขึ้นจิบอยู่เป็นระยะ ๆ เรือนผมยาวปลิวไสวตามสายลม ดูเหมือนเป็นอิสระและปราศจากการผูกมัด เขาไม่ใช่ชายหนุ่มอ่อนแอที่สงบเสงี่ยมอีกต่อไป

‘ท่านปู่ได้รับการแก้แค้นแล้ว เป้าหมายต่อไปคือตระกูลซู…’ หัวใจของเฉินซีเต้นเป็นจังหวะขณะที่นึกไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว การทำลายล้างตระกูลหลี่ไม่ได้ทำให้เขาคลายความระมัดระวัง เนื่องจากตระกูลหลี่เป็นเพียงลูกกระจ๊อกที่มีตระกูลซูคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง!

เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดตระกูลซูถึงส่งผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำมาเพื่อฉีกสัญญาการแต่งงานของเขาเมื่อตอนที่อายุสี่ขวบ

…และยังไม่เข้าใจว่าไยตระกูลซูถึงสั่งให้ตระกูลหลี่ดูหมิ่นเขา อีกทั้งยังมาคอยสร้างความยากลำบากให้ตลอด มิหนำซ้ำยังฆ่าปู่ของเขาและทำให้มือขวาของเฉินฮ่าวต้องพิการ

‘ความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนี้คืออะไร? มันเกี่ยวข้องกับการทำลายล้างตระกูลเฉินของข้าหรือไม่?’

เฉินซียังคงจำสิ่งที่ผู้เป็นมารดาจั่วชิวเสวี่ยเคยบอกไว้ได้อย่างชัดเจน นางถูกลุงของเขาพาตัวไป เนื่องจากตระกูลจั่วชิวไม่เห็นด้วยกับการที่นางจะแต่งงานกับพ่อของเขา เพื่อประโยชน์ในการลบล้างความอัปยศและเพื่อให้ได้เคหาที่อยู่ในจี้หยกที่มารดาเหลือทิ้งไว้ ตระกูลเฉินจึงได้กลายเป็นเครื่องสังเวยรายสุดท้าย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตระกูลจั่วชิวที่มารดาจากมาเป็นหนึ่งในฆาตกรทำลายล้างตระกูลเฉินทั้งหมด!

เหตุนี้จึงเป็นความบาดหมางที่ไม่อาจแก้ไข!

โชคดีที่จั่วชิวเสวี่ยได้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับตระกูลจั่วชิว และชดใช้ด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสม แต่ตระกูลจั่วชิวก็ไม่มีวันปล่อยนางไป…

เป็นเพราะเหตุนี้เอง เฉินซีจึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อหาทางแก้แค้นตระกูลจั่วชิว แต่ประเด็นสำคัญคือแม่ของเขาถูกพรากไป!

ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ นางจะทอดทิ้งเขาที่ยังเด็กกับน้องชายที่ยังเป็นทารกอยู่หรือ?

นางจะไม่ทำเด็ดขาด!

เซียนสวรรค์… เหตุใดข้าต้องกลายเป็นเซียนสวรรค์ก่อนถึงจะมีโอกาสได้พบมารดาอีกครั้ง? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพลังของตระกูลจั่วชิวนั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าเซียนสวรรค์?

เฉินซีครุ่นคิดถึงคำถามนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ แม้จะผ่านไปเนิ่นนาน บางทีคำถามทั้งหมดนี้จะกระจ่างได้ก็ต่อเมื่อบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้น

“เฮ้ เฉินซี เจ้าอยากเข้าร่วมการประลองจัดอันดับมังกรซ่อนจริง ๆ หรือ?” ห่างออกไป หลิงไป๋น้อยผู้มีความสูงสี่ชุ่นกำลังขี่ไป๋คุยที่มีขนาดเท่ากำปั้นบินไปมา

เจ้าตัวเล็กทั้งสองมีนิสัยชอบกินสมบัติวิเศษและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสหายเก่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ก็สนิทสนมกลมเกลียว และนี่คือมิตรภาพระหว่างคนตะกละ

“ใช่ ข้าต้องการเข้าร่วมอย่างแน่นอน” เฉินซีพยักหน้า การท่องไปรอบ ๆ โลกแห่งการฝึกฝนเพียงอย่างเดียวเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง หากสามารถเข้าร่วมนิกายได้แล้วละก็ มันย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

การบ่มเพาะไม่สามารถหลีกหนีจากหลักคำสี่คำนั้นคือ ความมั่งคั่ง มิตรสหาย เคล็ดวิชา และสถานที่บ่มเพาะได้

ความมั่งคั่งย่อมหมายถึง โอสถ วารีวิญญาณ วัตถุวิญญาณ สมบัติวิเศษ และสิ่งอื่น ๆ เช่นเงินทองในโลกมนุษย์ หากไม่มีพวกมันก็คงทำอะไรได้ยาก

มิตรสหายนั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงคู่บำเพ็ญเพียร แต่ยังเป็นศิษย์พี่หรืออาจารย์ ยังรวมถึงผู้ที่คอยชี้นำเส้นทางที่ถูกต้อง หรืออาจจะเป็นศิษย์พี่ชายหรือศิษย์น้องหญิงที่คอยช่วยแก้ปัญหา ที่ทำให้สับสนในระหว่างการบ่มเพาะ ดังคำกล่าวที่ว่า …การบ่มเพาะอย่างขมขื่นเป็นเวลาสิบปีนั้นด้อยกว่าคำแนะนำคำเดียวของอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเมื่อคนทั้งสามเดินไปในเส้นทางเดียวกัน หนึ่งในสามคนนั้นย่อมเป็นครูของอีกคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน

เคล็ดวิชาหมายถึง เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ เคล็ดวิชาการต่อสู้ พลังอิทธิฤทธิ์ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องมี

สถานที่บ่มเพาะหมายถึง ภูเขาเซียน เส้นชีพจรวิญญาณ และแดนเซียนศักดิ์สิทธิ์ การบ่มเพาะในสถานที่ที่มีปราณวิญญาณมากมายนั้นย่อมดีกว่าการบ่มเพาะในพื้นที่ทั่วไปนับร้อยนับพันเท่า

หากสามารถเข้าร่วมกับนิกายได้ มันจะเทียบเท่ากับการครอบครองความมั่งคั่ง มิตรสหาย เคล็ดวิชา และสถานที่ได้ในเวลาเดียวกัน และนี่คือประโยชน์ของการเข้าร่วมนิกาย

ผู้บ่มเพาะคนใดในโลกจะไม่ต้องการหลุดพ้นจากการเป็นผู้บ่มเพาะไร้สังกัด และคว้าเอาโอกาสเพื่อเป็นศิษย์ของนิกายกัน?

“โอ้ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หลังจากที่เข้าร่วมกับนิกายแล้ว หากมีผู้ใดสร้างปัญหาให้แก่เจ้า ผู้อาวุโสในนิกายย่อมเป็นคนแรกที่ไม่ยินยอม” หลิงไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากที่เข้าร่วมนิกายแล้ว ข้าสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาต่าง ๆ ได้มากมาย และเป็นไปได้ที่จะได้รับพลังอิทธิฤทธิ์บางอย่างมา ยิ่งไปกว่านั้นวิสัยทัศน์ยังกว้างไกลมากกว่าแต่ก่อน”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เฉินซีก็หัวเราะเยาะเย้ยตนเอง “ในอดีต ข้ารู้สึกว่าเมืองหมอกสนช่างยิ่งใหญ่ และผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นช่างน่าอัศจรรย์ แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นกลับดูธรรมดา หากข้าอยากจะพัฒนาความแข็งแกร่ง ข้าควรออกไปท่องโลกที่กว้างใหญ่ให้มากขึ้น”

“กล่าวได้ดี!” หลิงไป๋ปรบมือกล่าวชมเชย “เมื่อหลายปีก่อน อาจารย์ของข้าก็เป็นเช่นนี้ หยิ่งทะนง แข็งกร้าว ไม่พอใจกับสภาวะของตน และเพื่อเต๋าแห่งกระบี่ ยังมีสถานที่อันตรายใดบ้างที่เขาไม่ได้ไป?”

เฉินซียิ้มเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยยกประสบการณ์ขึ้นมาเพื่อชื่นชม และเขาก็ยื่นมือออกไปลูบหัวเล็ก ๆ ของหลิงไป๋ จากนั้นกล่าวว่า “เห็นว่ากล่าวถึงอาจารย์ของเจ้าตลอดเวลา เขาเป็นใครกันแน่?”

หลิงไป๋ส่ายศีรษะ “ข้าไม่อาจบอกได้ เพราะถ้าเจ้ารู้ หายนะครั้งใหญ่จะอยู่ไม่ไกลตัวเจ้า”

เฉินซีไม่ได้บังคับหลิงไป๋อีกต่อไป เนื่องจากตอนนี้เจ้าตัวเล็กได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากับเขา

หลิงไป๋ทำสิ่งนี้เพื่อปกป้องเขาอย่างแน่นอน และเขาสามารถเข้าใจมันได้

ฟิ้ว!

เรือเหาะสมบัติแล่นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และเจ็ดวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ยิ่งอยู่ใกล้เมืองทะเลสาบมังกรมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งเห็นผู้บ่มเพาะมากขึ้นเท่านั้น มีทั้งผู้ที่ขี่ม้าหรือนกกระเรียนศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ยืนอยู่บนกระบี่บิน และบางคนนั่งอยู่บนเรือเหาะสมบัติเช่นเดียวกับเฉินซี

และยังเห็นผู้บ่มเพาะที่เหยียบกงล้อเพลิง อีกทั้งความเร็วของมันก็รวดเร็วยิ่งนัก จนทำให้ผู้พบเห็นต่างทอดถอนใจไม่รู้ตัว

บนโลกใบนี้ช่างมีผู้คนแปลกประหลาด และยังมีสมบัติวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนอยู่เสมอ

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เรือเหาะสมบัติของเฉินซีดูจืดลงไปถนัดตา

“เอ๊ะ ตรงนั้นมีป่าด้วย ลงไปจับสัตว์อสูรแล้วเอาเนื้อมาย่างกินดีกว่า” หลิงไป๋ชี้ไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป ขณะที่เขากล่าวน้ำลายก็ไหลย้อยตรงมุมปาก

เมื่อกล่าวถึงเนื้อย่าง แม้แต่ไป๋คุยยังไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป ร่างเล็ก ๆ ที่มีขนราวกับก้อนหิมะถูไถเข้าที่คอของเฉินซี เพื่อประจบสอพลอเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เมื่อเฉินซีมีเวลาว่าง เขาจะปรุงอาหารที่มีรสชาติอันโอชะและเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้ตัวตะกละทั้งสองอย่างหลิงไป๋กับไป๋คุยต่างดีใจลิงโลด ทุกครั้งที่พวกเขากินก็มักจะเลียจานจนสะอาดหมดจด

“เอาล่ะ พวกเราจะพักอยู่ที่นี่สักพัก แล้วจะเดินทางต่อไปยาว ๆ จนกว่าจะถึงเมืองทะเลสาบมังกร” ในขณะที่กล่าว เฉินซีก็เก็บเรือเหาะสมบัติลงไป จากนั้นก็พุ่งทะยานไปยังป่าที่อยู่ด้านล่าง

ป่านี้เขียวชอุ่มและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านเทียมฟ้า และมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายนานาชนิดดังแว่วเป็นครั้งคราว แม้กระทั่งนกยักษ์ที่มีขนเงางามกระพือปีกบินอยู่เป็นฝูง เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่สัตว์ร้ายสัญจรไปมาอย่างอิสระ

แต่สำหรับเฉินซีที่เคยท่องไปในเทือกเขาดินแดนรกร้างใต้พิภพและเข่นฆ่าราชาอสูรไปมากมาย สถานที่เช่นนี้ไม่นับว่าอันตรายเลยแม้แต่น้อย

ในเวลาไม่นาน เขาก็จับวัวเหล็กกีบทมิฬที่เพิ่งบรรลุระดับสัตว์อสูร จากนั้นก็ได้ชำแหละและเตรียมการปรุงเป็นอาหาร

ฮึก! ฮึก!

ไม่นานนัก กลิ่นหอมเย้ายวนของเนื้อก็อบอวลไปทั่ว ขณะที่น้ำมันหยดลงในกองไฟก็ส่งเสียงดังฟู่ ๆ และชั้นสีเหลืองทองที่น่าเย้ายวนชวนเรียกน้ำย่อยก็เผยออกมา

หลิงไป๋กับไป๋คุยนั่งมองตาไม่กะพริบอย่างเชื่อฟัง ขณะที่กลืนน้ำลายอย่างหมดท่า ท่าทางของพวกเขาราวกับเป็นผีหิวโหยกลับชาติมาเกิด

“อืม?” เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป

“มีอะไรผิดปกติหรือ? พวกเรากินได้หรือยัง?” หลิงไป๋ถามอย่างร้อนรน

“มีการเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่น”

ญาณจิตในปัจจุบันของเฉินซีทรงพลังและแข็งแกร่งมากกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ เขาสัมผัสได้ในทันทีว่ามีคนกำลังต่อสู้อยู่ในพื้นที่ลึกเข้าไปในป่าทางตะวันตกเฉียงใต้!

“พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใด!” ลึกเข้าไปในป่า หญิงสาวอายุราวสิบหกปีกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว และมีชายที่ดูอ่อนแออายุราวสิบสามปียืนอยู่ข้างนาง ทั้งสองคนสวมชุดเรียบ ๆ ที่อาจเรียกได้ว่าซอมซ่อ

ในขณะนี้ทั้งสองคนกำลังถูกชายร่างกำยำโจมตี และสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เนื่องจากมีเพียงหญิงสาวที่ถือกระบี่ขึ้นป้องกันเท่านั้น

ด้านข้างของสนามรบมีชายหนุ่มสวมชุดขาวสองคนยืนกอดอกอยู่ พวกมันแสยะยิ้มขณะที่ดูการต่อสู้ แววตาหยาบโลนกวาดไปทั่วเรือนร่างและใบหน้าที่สง่างามของหญิงสาว

“น่ารังเกียจ! ข้าไม่เคยนึกเลยว่าศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราจะน่ารังเกียจขยะแขยงเพียงนี้!” นางกรีดร้องด้วยความโกรธและดวงหน้างามเผยความวิตกกังวลไม่มิด

“ท่านพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้า รีบหนีไปเร็ว!” ผู้เยาว์ที่อยู่เคียงข้างหญิงสาวนั้นอ่อนแอยิ่งนัก ดูจากภายนอกแล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่กลับมีท่าทางอาจหาญ อีกทั้งเขายังไม่รู้ศิลปะการต่อสู้จึงทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ข้างหลังหญิงสาว และได้แต่กังวลที่ตนไม่อาจทำอะไรได้

เห็นได้ชัดว่าพี่น้องคู่นี้เกิดมายากจนข้นแค้น ไม่ต้องกล่าวถึงอาภรณ์ซอมซ่อที่สวมใส่อยู่ หากกระบี่ที่เป็นศัสตราป้องกันตัวเพียงหนึ่ง กลับมีรอยร้าวมากมายจนแทบจะแตกหัก ยิ่งกว่านั้นวิชากระบี่ของนางยังหยาบกระด้างและเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แสดงว่านางไม่ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์และเรียนรู้เคล็ดวิชากระบี่จากการลองผิดลองถูกล้วน ๆ

“แม่นางน้อย หยุดดิ้นรนด้วยวิชากระบี่ที่อ่อนหัดนั่นเสียที ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเสียดายรูปลักษณ์ที่งดงามนี้ ข้าคงฆ่าเจ้าไปพันครั้งแล้ว ยอมจำนนอย่างเชื่อฟัง และปล่อยให้พวกเราสามคนพี่น้องได้เล่นสนุกกัน เสร็จเรื่องราวเมื่อไรพวกเราจะปล่อยให้เจ้ากับน้องชายกลับไป ว่าอย่างไรล่ะ?” ชายร่างกำยำหัวเราะเยาะเย้ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยตัณหา

“ถุย! ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแปดนิกายอันยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร พระราชวังข่ายดารากลับมีศิษย์ที่แย่ยิ่งกว่าหมูหมาเช่นเจ้า ช่างน่ารังเกียจ!” หญิงสาวกัดฟันขณะที่ก่นด่าสาปแช่ง

“ฮึ่ม! เจ้ากล้าด่าเราว่าแย่ยิ่งกว่าหมูหมาหรือ? เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง! ศิษย์น้อง เจ้าฆ่าน้องชายแม่นางนั่นก่อน แล้วค่อยให้นางรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเรา!”

“ใช่ ต้องฆ่าเจ้าเด็กนั่นก่อน แล้วค่อยเล่นสนุกกับร่างกายของนางทีหลังก็ยังไม่สาย เบื่อคราใดก็จุดไฟเผาศพนางและลบล้างร่องรอยทั้งหมด และในโลกนี้ก็จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกเราแล้ว”

ชายหนุ่มสองคนที่ยืนกอดอกมองจากด้านข้างกล่าวเย้ยหยัน

“ตกลง! ข้าจะทำตามที่พี่ใหญ่กล่าว!” ชายร่างกำยำยิ้มอย่างดุร้าย จากนั้นก็ทะยานไปด้านหน้าหมายจะสังหารเด็กผู้ชายคนนั้น

“เจ้ากล้าดีอย่างไร!?” หญิงสาวโกรธถึงขีดสุด นางเหวี่ยงกระบี่ขณะที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง โดยไม่สนชีวิตของตัวเองเพื่อต้องการช่วยน้องชายตัวน้อยของนาง!

เคร้ง!

แม้ว่าหญิงสาวจะสกัดการโจมตีของชายร่างกำยำได้ แต่กระบี่ในมือกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ และกระเด็นไปข้างหลังไกลกว่าสิบจั้ง ก่อนที่นางจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

“ท่านพี่!” เด็กหนุ่มตะโกนด้วยความตกใจ แล้วหันหลังวิ่งไปหาหญิงสาว เขาลืมไปเสียสนิทว่ายังมีศัตรูยืนอยู่ข้างหลัง!

“เหวินเฟย! ระวังข้างหลัง!” เมื่อเห็นเช่นนี้ หญิงสาวก็หวาดกลัวจนใบหน้างดงามซีดเซียว หวาดกลัวจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง และกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“มันสายไปแล้ว! ฮ่า ๆๆๆ! ตายซะ!” ชายร่างกำยำวาดฟันกระบี่เล่มโตลงไปอย่างดุเดือด

เมื่อเห็นว่าน้องชายจะถูกผ่าเป็นสองซีก หญิงสาวก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางหลับตาลงน้ำตาก็ไหลรินอาบสองแก้ม

ฟึบ!

ในเวลานี้เองที่แสงระยิบระยับปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วราวกับสายฟ้าและพุ่งตรงไปยังคอของชายร่างกำยำจนเลือดสีแดงไหลโชก จากนั้นร่างสูงร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาราวกับภูตผี!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท