บทที่ 116 นอกเมืองทะเลสาบมังกร
บทที่ 116 นอกเมืองทะเลสาบมังกร
ฟู่!
โลหิตพวยพุ่งไปทั่วท้องฟ้า ดวงตาของชายผู้นั้นเบิกโพลงด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะจดจ้องไปยังชายหนุ่มที่จู่ ๆ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เขาไม่อยากเชื่อและไม่ยินยอม… แต่ในท้ายที่สุดก็ล้มลงกับพื้นและขาดใจตาย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป มันแทบจะในพริบตา เมื่อชายร่างกำยำล้มลงไปกับพื้น ชายชุดขาวสองคนจึงได้สติจากอาการตกตะลึง
“เร็วมาก!”
“เป็นไปได้อย่างไร”
ขณะที่จ้องมองไปที่ร่างสูงที่ดูไม่ธรรมดาคนนี้ ใบหน้าของชายสองคนในชุดขาวก็ดำคล้ำ และสายตาฉายแววสับสน พวกเขาไม่อาจคาดเดาความแข็งแกร่งของเฉินซีได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ
ด้านข้างศิษย์พี่หญิงเริ่มรู้สึกตัวเมื่อเห็นน้องชายคนเล็กวิ่งมาที่เบื้องหน้า นางก็รีบโผเข้ากอดเขาก่อนจะร้องไห้ออกมา
นางกลัวจริง ๆ นางไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรหากต้องสูญเสียน้องชาย และตอนนี้เมื่อเห็นเขาไม่เป็นอันตรายใด ความเดือดดาล ความคับข้อง และความเจ็บปวดในหัวใจก็พรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลริน
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านอย่าร้องไห้เลย” เด็กชายปลอบโยน
“อืม” หญิงสาวปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวก ๆ แล้วหันไปมองที่เกิดเหตุ
นางเห็นผู้ช่วยชีวิตตัวเองกับน้องชายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ตรงเท้าของเขามีศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ และโลหิตยังคงหลั่งไหลออกมาจากคอไม่ขาดสาย
“ไอ้หนู บอกนามของเจ้ามา! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าฆ่าน้องชายข้า รู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นศิษย์พระราชวังข่ายดารา?” ชายที่มีตาเรียวรีกล่าวอย่างเดือดดาล
“ถูกต้อง บอกนามของเจ้ามาซะ!” สหายของเขาตะโกนออกมาด้วยโทสะ
แม้ว่าท่าทางของทั้งสองจะมืดมนและดุร้าย น้ำเสียงดูแข็งกระด้าง แต่ภายในกลับอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของเฉินซีสร้างความกดดันต่อพวกเขามาก
“ผู้อาวุโส รีบหนีไปซะ พวกเขาเป็นศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราจริง ๆ ท่านสังหารสหายของพวกเขา พระราชวังข่ายดาราย่อมไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่นอน” หญิงสาวร้องอย่างกระวนกระวายมาแต่ไกล
“อ๋อ พระราชวังข่ายดารา?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจและจมอยู่ในความคิด เขาจำได้ว่าไฉ่เล่อเทียนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขาอย่างน่าอนาถก็เป็นศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราเช่นกัน!
เมื่อเห็นเฉินซีตระหนกตกใจ ชายที่มีตาเรียวรีก็รู้สึกยินดีและยืดอกกล่าวอย่างถือดี “ฮึ่ม! กลัวแล้วหรืออย่างไร? จงคุกเข่าลงก้มหัวขอโทษโดยเร็ว และมอบสมบัติบางอย่างเพื่อแสดงความเคารพต่อพวกเราพี่น้อง แล้วเราจะปล่อยเจ้าไปในครั้งนี้ มิฉะนั้น…”
“อย่างอื่นล่ะ?” เฉินซียกยิ้มเจ้าเล่ห์
“มิฉะนั้น…” ชายที่มีตาเรียวรีตะลึงงัน เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงตะคอกกลับ “อะไรนะ? เจ้ากล้าขัดขืนหรือ? เจ้าควรรู้ว่าพวกข้าเป็นศิษย์ของพระราชวังข่ายดารา ที่เป็นหนึ่งในแปดนิกายอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร คนที่ไร้การหนุนหลังเยี่ยงเจ้ากล้าที่จะต่อต้านพวกข้าอย่างนั้นหรือ?”
จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกเบื่อหน่าย คนเหล่านี้แขวนคำว่า ‘พระราชวังข่ายดารา’ ไว้ข้างปากไม่ว่าจะกล่าวอะไร อย่างมากพวกมันก็เป็นเพียงเบี้ยที่อาศัยร่มเงาของนิกายรังแกผู้อื่น สุนัขที่หวังพึ่งพาการหนุนหลังจากนิกาย และพวกมันก็เป็นคนเช่นเดียวกับไฉ่เล่อเทียน ที่มักอ้างนามของบรรพชนเพื่อข่มเหงคนอื่นเสมอ
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือในฐานะศิษย์ของพระราชวังข่ายดารา คนสามคนนี้กลับกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นการข่มขืน ถ้าเขาไม่รีบมา พี่น้องคู่นี้จะไม่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันหรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉินซีก็ไม่มีอะไรจะกล่าว และด้วยการเอ่ยคำสั่งในใจ กระบี่ท่องปรภพก็พุ่งออกไปอย่างรุนแรงราวกับสายฟ้า
ฟึบ! ฟึบ!
ชายชุดขาวสองคนนี้มีเพียงการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิด ดังนั้นจะเป็นคู่มือของเฉินซีได้อย่างไร? พวกมันถูกฆ่าด้วยกระบี่ท่องปรภพก่อนที่จะทันได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ จนกระทั่งตายไปก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินซีถึงลงมือ
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่รู้ว่าพวกมันเป็นศิษย์พระราชวังข่ายดารา และการที่ลงมือฆ่าพวกมันจะทำให้พระราชวังข่ายดาราเป็นศัตรูกับตนเอง?
หากคนพวกนี้รู้ว่าเฉินซีฆ่านายน้อยไฉ่เล่อเทียนที่เฝ้าเคารพบูชานักหนา พวกมันจะตายตาหลับหรือไม่?
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตพวกเรา” หญิงสาวจับมือน้องชายคนเล็กและกำลังจะคุกเข่าเพื่อกราบไหว้ แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยพลังไร้ลักษณ์
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี เจ้าสามคนนี้น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย และกระทำผิดศีลธรรม พวกมันได้สิ่งที่สมควรได้รับแล้ว” เฉินซียิ้มและโบกมืออย่างสบาย ๆ
ปัง!
เปลวไฟปรากฏขึ้นจากอากาศในบริเวณโดยรอบ ศพทั้งสามบนพื้นดินถูกเผาจนไม่เหลือซากในทันที
พี่น้องคู่นี้ตกตะลึงอยู่ในใจ เมื่อเห็นเฉินซีมีท่าทางเฉยเมยและเผาศพอย่างใจเย็นเพื่อทำลายหลักฐานต่อหน้า แววตาสองคู่นี้ก็แฝงไปด้วยความเคารพ
“ข้าน้อยคือมู่เหยา ส่วนคนที่อยู่ข้าง ๆ คือมู่เหวินเฟยน้องชายคนเล็ก ข้าขอทราบนามของผู้อาวุโสได้หรือไม่” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เสียงของนางกระจ่างและไพเราะช่างรื่นหูน่าฟังยิ่งนัก
เฉินซีตกตะลึงมาก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวที่ผอมเพรียวจะมีน้ำเสียงที่ไพเราะและน่าดึงดูดเช่นนี้ ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าถึงแม้เสื้อผ้าของมู่เหยาจะดูซอมซ่อ แต่รูปร่างหน้าตาช่างสวนทาง มันทั้งสง่าและงดงามราวกับดอกยี่หุบที่ยังเยาว์วัย และให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ผุดผ่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่สว่างไสวราวกับดวงดารายามราตรีและมีเสน่ห์สุดจะพรรณนา เพียงได้ชำเลืองมองก็ต้องจมดิ่งลงไปในมนต์เสน่ห์
ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์ทั้งสามจากพระราชวังข่ายดาราจะปรารถนาในตัวนาง แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะมีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี แต่รูปร่างหน้าตาดั่งสวรรค์สร้าง เฉินซีรู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย เขากล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสหรอก อายุของข้าก็ไม่ได้มากไปกว่าเจ้าทั้งคู่ ข้าชื่อเฉินซีและกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองทะเลสาบมังกร”
“พี่ใหญ่เฉินซีกำลังจะไปที่เมืองทะเลสาบมังกรด้วยหรือ?” มู่เหวินเฟยกล่าวอย่างมีความสุข “พี่สาวกับข้าก็อยากไปเมืองทะเลสาบมังกรเหมือนกัน”
“อย่างนั้นหรือ” เฉินซีพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าทั้งคู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“พี่สาวกับข้าเดินเท้าออกจากเมืองทะเลสาบหิมะโปรยอยู่ครึ่งปีเต็ม เมื่อใกล้จะถึงจุดหมายกลับถูกเจ้าพวกระยำสามคนนั่นหยุดไว้เสียก่อน และพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบหนีเข้าไปในป่าแห่งนี้” มู่เหวินเฟยคิ้วขมวดกล่าวอย่างโกรธเคือง
“พวกเจ้าทั้งคู่ออกเดินทางด้วยการเดินเท้าหรือ”
“ใช่แล้ว” มู่เหยาพยักหน้าและก้มศีรษะลงด้วยความอับอาย “การบ่มเพาะของข้าและน้องชายนั้นตื้นเขิน ดังนั้นจึงทำได้เพียงแต่เดินเท้าเท่านั้น”
เฉินซีอ้าปากค้าง…
เท่าที่ทราบมา เมืองทะเลสาบหิมะโปรยอยู่ห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันลี้ มีเมืองเจ็ดหรือแปดเมืองและมีทิวเขาทอดยาวระหว่างเมืองทั้งสองมากมาย ภายในเทือกเขาเหล่านั้นมีสัตว์อสูรนานาชนิด เรียกได้ว่าอันตรายถึงขีดสุด
ในบรรดาพี่น้องคู่นี้ พี่สาวมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตก่อกำเนิดและน้องชายยังคงติดอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐาน หากต้องเผชิญกับการจู่โจมจากสัตว์อสูรก็เพียงพอที่จะฉีกทั้งสองเป็นชิ้น ๆ ในทันที
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซีสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขาซอมซ่อและเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกหลานจากตระกูลที่ยากไร้ ไม่มีเงินทองพอจะนั่งรถม้า จึงทำได้เพียงแต่ก้าวเดิน และยังเป็นหนทางเดียวที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองทะเลสาบมังกร
“พี่ใหญ่เฉินซี เราขอตามท่านไปได้หรือไม่” มู่เหวินเฟยมองอย่างกระตือรือร้นขณะกล่าว
มู่เหยาที่อยู่ใกล้เคียงก็แสดงออกถึงความคาดหวังเช่นกัน
“ได้สิ!” เฉินซีพยักหน้าเบา ๆ
…
“ว้าว! พี่ใหญ่เฉินซี เรือเหาะลำนี้ช่างน่าเกรงขาม! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าบินไปบนท้องฟ้า เฮ้อ~ อิ่มเอมใจจริง ๆ…” เรือเหาะสมบัติกำลังลอยล่องอยู่เหนือเมฆ และมู่เหวินเฟยที่มีอายุราวสิบสามปีก็วิ่งไปทั่วเรือและมองตรงนี้จับตรงนู้นบ้าง เขารู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าเล็ก ๆ ขึ้นสีแดงก่ำ
มู่เหยานั่งข้าง ๆ รู้สึกเกร็งเล็กน้อยและไม่ค่อยสบายใจ เนื่องจากนี้เป็นครั้งแรกที่นั่งบนเรือเหาะ มีผลไม้สดแปลกประหลาดและหายากวางอยู่บนโต๊ะ อักขระหนาทึบที่หมุนไปมาราวกับหมอกอยู่บนเรือ และความเร็วนี้เทียบเท่าสายลม… ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้นางตกใจอย่างมาก
ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ว่าพี่ใหญ่เฉินซีที่อยู่ข้างหน้าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถบินไปบนท้องฟ้าได้!
“กินข้าวกันเถอะ” เฉินซีทำอาหารหลายจานแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าหญิงสาว จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “การเดินทางสู่เมืองทะเลสาบมังกรยังเหลืออีกวัน มาเติมท้องให้เต็มกันก่อนเถอะ”
กลิ่นหอมจากอาหารที่อยู่บนโต๊ะโชยมาแตะจมูกและอบอวลไปด้วยปราณวิญญาณ เมื่อมู่เหยาสูดดมกลิ่นเข้าไป ท้องของนางก็ร้องโครกครากด้วยความหิว และฉับพลันใบหน้าของนางก็แดงก่ำ
เฉินซีแย้มยิ้มขณะเรียกมู่เหวินเฟยไปกินข้าวกับพี่สาว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่หัวเรือแทน
น้องชายและพี่สาวคู่นี้ทำให้เขานึกถึงชีวิตที่ยากไร้ของตัวเองกับเฉินฮ่าวตอนอยู่ในเมืองหมอกสน ชายหนุ่มหนุ่มทอดถอนถอนอย่างเหนื่ออ่อน
หนึ่งวันต่อมา…
“พี่ใหญ่เฉินซี ดูนั้นสิ ตรงนั้นใช่เมืองทะเลสาบมังกรหรือไม่ขอรับ?” มู่เหวินเฟยนอนอยู่ที่หัวเรือขณะที่ตะโกนเสียงดัง
“เมืองทะเลสาบมังกร?” เฉินซีมองไปและเห็นว่าบนแผ่นดินกว้างใหญ่มีเมืองมหึมาที่งดงามสูงตระหง่านตั้งอยู่ เฉพาะกำแพงเมืองขาวบริสุทธิ์ก็มีความสูงถึงหลายร้อยคนต่อกัน และทอดยาวต่อไปอีกสองหมื่นห้าพันลี้
ภายในกำแพงเมืองมีอาคารสูงจำนวนมากตั้งอยู่ เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับมังกรโบราณขดตัวอยู่และมีทีท่าทางที่ดูแคลนโลกใบนี้
บนท้องฟ้ามีแสงหลากสีสันส่องประกาย แต่เมื่ออยู่ห่างจากเมืองสูงตระหง่านราวห้าร้อยจั้ง ทุกคนก็ลงไปที่พื้นอย่างเชื่อฟังและเดินเรียงแถวตรงไปยังประตูเมือง
เฉินซีร่างสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยพบเมืองที่สง่างามและทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาเช่นนี้มาก่อน
เมืองทะเลหมอกมีขนาดใหญ่พอ ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการค้าของดินแดนทางใต้จึงเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง มีรถม้าสัญจรควักไขว่ แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ที่ทอดยาวอย่างไม่สิ้นสุดก็ยังถือมันว่าด้อยกว่ามาก
แต่หากเทียบเมืองหมอกสนที่เฉินซีอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กกับเมืองนี้นั้นแย่ยิ่งกว่า
นี่คือเมืองทะเลสาบมังกรที่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่ง และเป็นศูนย์กลางการค้าของดินแดนทางตอนใต้ที่กินพื้นที่หลายสิบล้านจั้ง
แปดนิกาย สามสำนัก และหกตระกูลใหญ่ที่มีทรัพยากรกับมรดกที่เก่าแก่และยาวนานอยู่ที่นี่ และนิกายเหล่านี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่งแห่งการบ่มเพาะที่อยู่ในหัวใจผู้คนในดินแดนทางตอนใต้
“ข้าเคยได้ยินมาว่าห้ามบินบนท้องฟ้าเหนือเมืองทะเลสาบมังกร และตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ผิด” เฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติลงไป ก่อนจะนำมู่เหยากับมูเหวินเฟยลงมา จากนั้นก็เดินไปที่ประตูเมือง
ยิ่งเข้าใกล้เมืองใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกถึงความงดงาม ความยิ่งใหญ่ และความสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวพวกเขาค่อย ๆ เล็กจ้อย
“น้องมู่เหยา!” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
มู่เหยากับมู่เหวินเฟยเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน และพวกเขากล่าวด้วยความประหลาดใจทันทีว่า “ท่านพี่เหยียนชิงหนี่!”
ในระยะไกลปรากฏชายหนุ่มและหญิงสาวยืนอยู่ บุรุษมีใบหน้าหล่อเหลารูปร่างสูงโปร่งดูสง่างาม ส่วนสตรีสวมชุดที่ดูเหมือนหยกสีน้ำเงิน ผมยาวสีน้ำหมึกคลอเคลียไหล่ ผิวพรรณนวลกระจ่างราวไข่มุก ไหนจะคิ้วดั่งใบหลิวและดวงตากระจ่างใส ส่งให้นางงดงามและเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองยืนอยู่นอกประตูเมืองคล้ายกับเป็นคู่ที่สวรรค์สร้าง และเป็นทิวทัศน์งดงามที่ดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ หญิงสาวในชุดหยกกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางคือพี่ใหญ่เหยียนชิงหนี่ที่มู่เหยากับมู่เหวินเฟยกล่าวถึง
“ในที่สุดพวกเจ้าพี่น้องก็มาถึงแล้ว” เหยียนชิงหนี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เหยียนชิงหนี่ คนผู้นี้คือแม่นางมู่เหยากับน้องชายที่เจ้าเคยกล่าวถึงอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มรูปงามยกยิ้มบาง และเมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์ของมู่เหยา แสงสว่างก็วาบผ่านดวงตาทันที
“ใช่แล้ว” เหยียนชิงหนี่พยักหน้ารับ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม นางหันไปพูดกับมู่เหยาและมู่เหวินเฟยว่า “เจ้าสองคนมาที่เมืองทะเลสาบมังกรเป็นครั้งแรก และหลังจากที่เข้าร่วมกับนิกายแล้ว ข้าเกรงว่าคงจะไม่มีเวลาได้เที่ยวชมอีกต่อไป ดังนั้นไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าทั้งสองคนไปล้างเนื้อล้างตัวเสียก่อน แล้วค่อยไปหาเรื่องสนุกทำกัน”
มู่หยากับน้องชายยินดีเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพี่สาวเหยียนชิงหนี่คนนี้ทำให้พวกเขามีความสุข
“คนนี้ใครหรือ?” ในตอนนี้เหยียนชิงหนี่สังเกตเห็นเฉินซีที่อยู่ใกล้เคียง
“คนผู้นี้คือผู้ช่วยชีวิตเรา เขาให้เราเรียกว่าเฉินซี” มู่เหยากล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน
“โอ้?” เหยียนชิงหนี่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสหายเต๋าที่ให้ความช่วยเหลือ” แม้ว่านางจะกล่าวเช่นนี้ แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉย
เฉินซียิ้มรับและไม่สนใจต่อ
“ไปเถอะ เราค่อยคุยกันหลังจากเข้าไปในเมืองแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว จากนั้นเหลือบมองเฉินซีอย่างไม่สบอารมณ์แล้วถามว่า “สหายเต๋าเจ้าอยากไปกับพวกเราหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น” เฉินซีส่ายศีรษะ
มู่เหยากับมู่เหวินเฟยมองไปที่เฉินซีและพยายามเกลี้ยกล่อม
“รับวารีวิญญาณยี่สิบห้าจินนี้ไปถือการตอบแทนบุญคุณที่สหายเต๋าได้ช่วยชีวิตพวกเขา”
เหยียนชิงหนี่โยนขวดหยกให้เฉินซีอย่างไม่ตั้งใจและไม่ได้เหลือบมอง ก่อนจะดึงมู่เหยากับมู่เหวินเฟยเดินไปทางประตูเมือง ขณะเดินไปก็พลางกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าทั้งคู่ออกจากบ้าน เจ้าต้องคอยระมัดระวังตัว และอย่าได้หลงเชื่อคนที่อาจมีเจตนาซ่อนเร้น”
“สหายเต๋า พวกเราขอตัวก่อน” ชายหนุ่มรูปงามหัวเราะเยาะเย้ยก่อนจะไล่ตามเหยียนชิงหนี่ไป และเสียงของเขายังคงได้ยินจากระยะไกล “แม่นางเหยียนชิงหนี่กล่าวถูกแล้ว เขาช่วยชีวิตเจ้าทั้งคู่โดยไม่มีเหตุผล ใครจะรู้ว่ามีสิ่งใดแอบแฝง? บางทีอาจจะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสองคนสร้างความสัมพันธ์กับเหยียนชิงหนี่ เพื่อประโยชน์ ผู้คนต่างก็ใช้ทุกวิธีทางเท่าที่จะคิดได้…”
“ไฉนข้ากลายเป็นคนร้ายที่ดูน่ารังเกียจซะแล้วล่ะ…” เฉินซีรู้สึกตกตะลึง จากนั้นลองชั่งน้ำหนักขวดหยกในมือก่อนจะหัวเราะกับตัวเอง