บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 118 ศาลาชุมนุมเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 118 ศาลาชุมนุมเซียน

บทที่ 118 ศาลาชุมนุมเซียน

ขนาดของเมืองทะเลสาบมังกรนั้นกว้างใหญ่เพียงใด

มาถึงวันแรกก็ได้พบกับพวกตู้ชิงซีทั้งสาม มันค่อนข้างจะบังเอิญเกินไปกระมัง

หลังจากนิ่งงันด้วยตกตะลึง เฉินซีก็ได้สติและเอ่ยถามขึ้น “แสดงว่าพวกเจ้าทุกคนรู้มาก่อนแล้วสิว่าข้าจะมาที่นี่”

ต้วนมู่เจ๋อเดินเข้ามาหาทั้งรอยยิ้ม “พวกเราก็เพิ่งเจอกันนี่แหละ ไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” คนพูดดึงแขนเฉินซีเข้าไปยังข้างทาง

เบื้องหน้ามีรถลากโดยหกกิเลนเกล็ดฟ้าที่มีลักษณะเหมือนป้อมปราการเคลื่อนที่ มันถูกประดับประดาด้วยไข่มุกเรียงรายสวยงาม รถลากนี้มีรูปสลักยันต์อักขระหนาทึบและมีแสงสว่างเปล่งประกาย

รถลากมีความยาวกว่าหกจั้ง ผนังทั้งสี่ด้านแขวนฉากบังตาที่ปักลวดลายทองคำและหยก มันประทับด้วยปราณวิญญาณที่สามารถกำจัดพวกที่ลักลอบเข้ามาได้ เบาะรองนั่งหุ้มด้วยขนเพียงพอนสีม่วงจึงมีความหนานุ่มเป็นพิเศษ พื้นที่ตรงกลางวางโต๊ะที่ทำจากหยกขาวผสมไม้เนื้อทอง บนนั้นมีถาดวางอยู่ราวสิบถาดซึ่งมีทั้งขนมหวาน ผลไม้วิเศษ อาหารชั้นเลิศและสุรารสเยี่ยม ล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งนั้น

หลังจากนั้นเฉินซีก็ถูกต้วนมู่เจ๋อลากตัวเข้าไปในรถลาก ตู้ชิงซีกับซ่งหลินก็เดินตามมา

“ปราณวิญญาณหนาแน่นอะไรเช่นนี้” ทันทีที่หย่อนตัวลงบนม้านั่งนุ่ม ๆ เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจที่ในรถลากมีการตั้งค่ายกลวิถีวิญญาณ อีกทั้งยังอุดมด้วยปราณวิญญาณมหาศาล

“เฮ้ ในรถลากเทพหกกิเลนไม่ได้มีเรื่องที่น่าพิศวงแค่อย่างเดียวเท่านั้นหรอกนะ” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวพลางยกยิ้มที่มุมปาก จากนั้นหันไปออกคำสั่งกับคนด้านนอก “ไปศาลาชุมนุมเซียน”

“ขอรับ!” เสียงชายชราที่เป็นสารถีขานตอบ จากนั้นรถลากเทพหกกิเลนก็พุ่งออกไปอย่างเร่งด่วน หากคนบนรถลากไม่ได้ระวังตัวขณะโดยสารอยู่แล้ว คนคนนั้นจะไม่รู้สึกเลยว่ารถลากกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อออกจากโถงใหญ่ของกองเทพองครักษ์ต้าซ่งไปเพียงไม่นาน ต้วนมู่เจ๋อก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งก่อนจะหันไปทำหน้าถมึงทึงใส่อีกฝ่าย “เจ้ากล้ามากนะ วิ่งไปหากองเทพองครักษ์ต้าซ่งเองถึงที่ ไม่กลัวหรือว่าพวกตระกูลซูจะมาจับตัวน่ะ”

เฉินซีสังเกตว่าทั้งตู้ชิงซี ซ่งหลินและต้วนมู่เจ๋อมีสีหน้าผ่อนคลายลง ทำให้เขาอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “มันเป็นอย่างไรหรือ ข้าก็แค่ไปลงชื่อเข้าร่วมการเทียบอันดับมังกรซ่อนเท่านั้น ตระกูลซูจะมาหาเรื่องข้าทำไม”

“เอ๋” ต้วนมู่เจ๋อถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะถามกลับด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ กองกำลังมหาอำนาจทั้งหมดในเมืองทะเลสาบมังกรต่างรู้จักนามเฉินซี ชื่อเสียงของเจ้าตอนนี้แสบสันยิ่งกว่าพระอาทิตย์เที่ยงวันเสียอีก!”

แต่คนฟังยังคงทำหน้าฉงน

“เจ้าฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำตั้งหกคน และยังฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตระกูลซูอีกคนจริง ๆ หรือ” ตู้ชิงซีถาม ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเฉินซีอย่างคาดคั้น

ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะไม่ยอมรับง่าย ๆ แต่เมื่อเป็นสามคนนี้ เขากลับไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด แน่นอนว่าพอพูดถึงเรื่องที่เขากังวล จึงไม่สมควรที่จะปิดบังอีกต่อไป ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับ

“โอ๊ะ! ตายโหง! เป็นฝีมือเจ้าจริงหรือนี่” ต้วนมู่เจ๋อสะดุ้งโหยงพลันตัวแข็งอ้าปากค้าง เขามองเฉินซีอย่างไม่เชื่อสายตา

แม้จะได้ยินมานานแล้วว่าเฉินซีเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่พอมาได้ยินอีกฝ่ายยอมรับกับหูตัวเอง ต้วนมู่เจ๋อก็ยังคงตกใจแทบสิ้นสติ

ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคน ไหนจะผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกคน! ในเมืองทะเลสาบมังกรจะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนใดที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อีก

ท่าทางของตู้ชิงซีกับซ่งหลินแสดงออกให้เห็นว่าตกใจไม่น้อยเช่นกัน ทุกคนมองเฉินซีราวกับเห็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น

“อันที่จริง ข้าโชคดีต่างหาก เพราะถ้าสู้กันตัวต่อตัวคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูเหลิ่งเช่นกัน” คนพูดขมวดคิ้วพลางหยุดคิด “ถ้าเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว อย่างมากที่สุดข้าจะสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ”

“เจ้าบ้า!” ต้วนมู่เจ๋อสบถเสียงดังลั่นอย่างเหลืออด

เมื่อตู้ชิงซีกับซ่งหลินได้ยินดังนั้น ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างหนักแน่น สำหรับพวกเขา ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล การจะเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำยังนับว่าเกินกว่าจะกล้าจินตนาการเสียด้วยซ้ำ

“เออจริงสิ พวกเจ้าทุกคนหาข้าเจอได้อย่างไร” เฉินซีชักไหวตัวขึ้นมา เขาไม่นึกมาก่อนว่าเรื่องที่ตนสังหารซูเหลิ่งและพวกจะถูกกล่าวขานไปทั่วเมืองทะเลสาบมังกรอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลเสียต่อสถานะในปัจจุบันก็ได้ ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรซึ่งเท่ากับเคลื่อนเข้ามาใกล้ฐานที่มั่นของตระกูลซู หากประมาทเพียงนิดเดียวอาจหมายถึงชีวิตของตัวเอง!

“ตอนนั้นพวกเราอยู่ในโถงใหญ่ของกองเทพองครักษ์ต้าซ่ง แต่อยู่ในห้องลับ เจ้าจึงมองไม่เห็นพวกเรา” คนตอบเป็นต้วนมู่เจ๋อ

เมื่อเห็นสีหน้าฉงนไม่หายของเฉินซี เขาจึงพูดอีกว่า “ไม่ใช่แค่พวกเรา พวกศิษย์ของกองกำลังใหญ่แปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลล้วนอยู่ที่นั่นด้วย เพราะทุกครั้งที่มีการเทียบอันดับมังกรซ่อน บรรดาคนหนุ่มสาวที่มีแววจะเป็นที่หมายตาของกองกำลังใหญ่ ผู้บ่มเพาะจากต่างเมืองที่มาลงชื่อที่กองเทพองครักษ์ต้าซ่ง ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มีอายุไม่เกินสามสิบปีทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีทั้งพรสวรรค์ที่ติดตัวและพรแสวงจากการฝึกบ่มเพาะอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นพวกนี้จึงตกเป็นเป้าความสนใจของกองกำลังมหาอำนาจทั้งหลายอย่างไรล่ะ”

“นี่กำลังจะบอกว่า พวกเจ้าทุกคนก็เห็นข้าตั้งแต่ที่เพิ่งเข้าไปในโถงใหญ่ของกองเทพองครักษ์ต้าซ่งอย่างนั้นหรือ” เฉินซีโพลงถามด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าที่นั่นจะมีกองกำลังใหญ่อยู่ด้วย

“แน่นอน” ตู้ชิงซีพยักหน้าก่อนกล่าวต่อ “เจ้าควรจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ เจ้าสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตระกูลซูไปคนหนึ่ง และผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำถึงหกคนในคราวเดียว ซึ่งส่งผลให้ตระกูลซูประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการกำจัดเจ้าให้ได้”

“แต่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก” ต้วนมู่เจ๋อพูดออกมาพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจขณะกล่าวว่า “ตอนนี้ตระกูลซูอ่อนแอลงเป็นอันมาก ตอนนี้เทียบกับกองกำลังของพวกเราไม่ได้ด้วยซ้ำ ดูสิว่าใครหน้าไหนจะอาจหาญมารังแกเจ้า!”

“ใช่ ถูกต้อง” ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถลากซ่งหลินที่กินไม่หยุด ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอู้อี้สนับสนุนแข็งขัน ราวกับว่าทุกคนกำลังเผชิญกับอันตรายอยู่เบื้องหน้า

เฉินซีพยักหน้ารับและรู้สึกตื้นตันในใจ

“นายน้อยขอรับ ถึงศาลาชุมนุมเซียนแล้ว” เสียงชายชราสารถีดังมาจากด้านนอก

“ลงไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสถานเริงรมย์ยอดนิยมแห่งเมืองทะเลสาบมังกร พวกเจ้าจะได้สนุกสนานเพลิดเพลิน ข้าจะเลี้ยงมื้อค่ำเป็นการต้อนรับอย่างไรล่ะ” ต้วนมู่เจ๋อพูดอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็คว้าแขนเฉินซีพาออกไป

ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถลาก สายตาก็ปะทะเข้ากับอาคารหลังใหญ่

ศาลาแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวถนนที่ทอดยาวไปสิบลี้ ตัวอาคารสูงถึงสิบชั้น ความสูงชันพุ่งตรงเสียดฟ้า มีตัวกิเลนแกะสลักยืนขนาบประตู และมีคนต้อนรับเป็นสตรีหน้าตาน่ารักแต่งกายเย้ายวน หญิงสาวอมยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากและแผ่กลิ่นอายเข้มข้น

ไม่คาดฝันว่า สาวต้อนรับเหล่านี้จะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ และอีกไม่กี่ก้าวก็จะเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือแสงสว่างเจิดจ้าบนเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางเป็นสมบัติระดับมนุษย์ขั้นต่ำ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหนือศาลามีแผ่นป้ายมหึมาแขวนอยู่ ‘ศาลาชุมนุมเซียน’

ประโยคนี้เขียนด้วยลายมือวิจิตรบรรจง ทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม มีบรรยากาศแห่งความภาคภูมิใจแผ่ออกมาปกคลุมฟ้าดิน อาศัยแค่คำนั้นก็ทำให้เฉินซีประทับใจ และรู้แน่ว่าคนที่เขียนแผ่นป้ายนี้เป็นผู้บ่มเพาะที่ดูแคลนโลกมนุษย์เบื้องล่างเยี่ยงมดปลวก

“เมืองทะเลสาบมังกรเป็นเมืองหลวงของดินแดนทางใต้ ส่วนศาลาชุมนุมเซียนเป็นสถานเริงรมย์อันดับหนึ่งของเมืองทะเลสาบมังกร ที่นี่มีทั้งสุราชั้นเลิศ อาหารรสเยี่ยม ดนตรีไพเราะ การประมูลของล้ำค่าหายาก การประลองกับสัตว์อสูร… พูดง่าย ๆ ก็คือ สิ่งมัวเมาทั้งหลายทั้งมวลในโลกมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว” ต้วนมู่เจ๋อพูดขณะพาเฉินซีเดินเข้าไปข้างใน โดยมีตู้ชิงซีกับซ่งหลินตามหลังมา

“อุ๊ยตาย คุณชายต้วนมู่ คุณชายซ่ง คุณหนูตู้กับคุณชายอีกท่าน เชิญเข้ามาก่อนเจ้าค่ะ!” สาวต้อนรับหน้าตาสะสวย ผู้มีดวงตาเป็นประกายพราวแพรวเป็นคนพูด จากนั้นรีบนำพาคนทั้งสี่เข้าไป ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเฉินซีเป็นใคร แต่การที่มาด้วยกันกับอัจฉริยะทั้งสามคนได้ เช่นนี้จะไม่ใช่คนสำคัญได้อย่างไร

การเข้าไปในศาลาชุมนุมเซียนให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง ดินแดนสำหรับเซียน!

ที่แห่งนี้ปลูกต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย บางต้นเก่าแก่สูงเสียดฟ้า พื้นดินเขียวขจีด้วยความอุดมสมบูรณ์ ทั่วบริเวณมีไอหมอกลอยฟุ้ง เมื่อมองไปจะเห็นน้ำพุและน้ำตก นกกระเรียนมงกุฎแดงบินว่อนในอากาศ กวางสีขาวกัดกินเห็ดรา ภาพบรรยากาศเงียบสงบและสวยงามช่างตัดขาดจากโลกภายนอก

ทางเดินปกคลุมไปด้วยศิลาพยับเมฆาอันโด่งดังที่พันม้วนไปทุกทิศทาง ทั้งของล้ำค่าหายากที่มีลักษณะเหมือนคันฉ่องราบเรียบและโปร่งแสง ขณะที่เดินไปก็เหมือนกำลังอยู่บนก้อนเมฆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองดูการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง

ขณะนั้นบนยอดตึกมีผู้บ่มเพาะทะยานขึ้น ๆ ลง ๆ ผ่านไปมามากมาย บ้างพักผ่อนอยู่ที่ใต้ต้นสนเขียวขจีบริเวณริมหน้าผา บ้างนั่งฟังเพลงอยู่บนหมู่เมฆ บ้างถือจอกสุราอยู่ที่ริมแม่น้ำ ชื่นชมดอกไห่ถังและสมุนไพร… ทุกที่จะมีสาวต้อนรับคอยให้บริการด้วยท่วงท่าสบาย

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เฉินซีก็ไม่รู้สึกพิศวงหรือประหลาดใจอีกต่อไป ตอนที่ยังอยู่บนเทือกเขาวงจันทรา เขาเห็นแต่เมฆหมอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และมักฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ใต้ต้นสนเขียวขจีหรือที่น้ำตก ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้ซาบซึ้งสักเท่าใดนัก

“คุณชายต้วนมู่!”

“คุณชายน้อยซ่ง!”

“คุณหนูตู้!”

ตลอดทางที่เดินผ่าน มีผู้บ่มเพาะบางคนที่กำลังดื่มสุราและหาความบันเทิงอยู่ในศาลาชุมนุมเซียน พวกเขาต่างผุดลุกขึ้นพร้อมกล่าวทักทายด้วยความกระตือรือร้น ชั่วขณะหนึ่งเฉินซีมีความรู้สึกเหมือนเป็นดวงเดือนเจิดจรัสที่ถูกเหล่าดวงดาราห้อมล้อมมากมาย

ในที่สุดสิ่งต่าง ๆ รอบกายของเฉินซีก็สงบลง ภายหลังจากที่คนทั้งกลุ่มเข้าไปนั่งในศาลาไม้ไผ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เมื่อได้เห็นสีหน้าของต้วนมู่เจ๋อกับคนอื่น ในใจก็คิดว่าศิษย์ผู้มาจากกองกำลังใหญ่พวกนี้อาจเคยชินกับผู้คนพลุกพล่าน และะเข้าสังคมพบปะผู้คนจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

“เจ้าไปสั่งให้หัวหน้าเยว่ทำอาหารฉลองเก้ามหาสมบัติมาได้แล้ว” ต้วนมู่เจ๋อเอ่ยสั่ง

“เจ้าค่ะคุณชาย กรุณารอสักครู่” สาวต้อนรับค้อมศีรษะคำนับก่อนจะหันหลังกลับออกไป

บัดนี้ภายในศาลาไม้ไผ่มีเพียงเฉินซี ต้วนมู่เจ๋อ ตู้ชิงซีและซ่งหลินนั่งอยู่ตามลำพัง

“หัวหน้าเยว่เป็นพ่อครัววิญญาณระดับห้าใบไม้แห่งศาลาชุมนุมเซียน และยังปรุงอาหารให้แก่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง หากได้ทานแล้วเกิดความอบอุ่นแผ่ซ่าน อีกหน่อยเจ้าควรได้ลิ้มรสบ้าง” คนพูดยิ้มไปพลางขณะที่พูด

พ่อครัววิญญาณระดับห้าใบไม้อย่างนั้นหรือ… ทันทีที่ได้ฟังเฉินซีก็หวนนึกถึงผู้เฒ่าหม่า เพ่ยเพ่ยและเฉียวหนาน นึกถึงวันที่ฝึกศิลปะการปรุงอาหารอยู่ที่ร้านอาหารนทีกระจ่าง จนกระทั่งความหมองเศร้าวูบขึ้นมาในใจ

‘สงสัยนักว่าการจัดอันดับพ่อครัววิญญาณจะมีขึ้นเมื่อใด ข้าเคยให้สัญญากับผู้อาวุโสหม่าไว้ว่าสักวันหนึ่งจะเข้าร่วม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาหวังไว้ซึ่งข้าจะต้องทำเพื่อเขาสักครั้ง!’

“เป็นอะไรไป” ตู้ชิงซีสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเฉินซี นางจึงถามด้วยเสียงแผ่วเบา

ชายหนุ่มสั่นศีรษะและขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งเคยฝึกพ่อครัววิญญาณ แต่เพิ่งถึงระดับสองใบไม้เท่านั้น”

ตู้ชิงซีชะงักงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะออกมา นางจดจำครั้งแรกที่พบกับเฉินซีได้อย่างชัดเจน

“สารเลว! นังคนชั่ว กล้าตบหน้าข้าอย่างนั้นรึ คุกเข่าลงและขอขมาข้าเดี๋ยวนี้!” ตอนนั้นเองที่เสียงห้าวเอ็ดตะโรอย่างหยาบคายดังขึ้นมา จนคนที่อยู่ในศาลาชุมนุมเซียนยังได้ยินทั่วกัน

“เจ้าหน้าด้าน! เจ้าทำให้พี่ใหญ่ของข้าต้องขายหน้าก่อน! ถ้าจะมีคนที่ต้องขอขมาก็ควรเป็นเจ้า!” เสียงตอบโต้อย่างดุเดือดของเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ดังขึ้นทันที

แม้แต่เฉินซีเองก็ยังอดตกใจเสียงนั้นไม่ได้ ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งและเดินไปที่หน้าต่าง เป็นอย่างที่คิด เขาเห็นมู่เหยากับมู่เหวินเฟยยืนอยู่บนสนามหญ้าห่างไปราว ๆ ร้อยจั้ง เวลานั้นคนทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าร่างสูงผู้หนึ่ง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท