บทที่ 123 ข่าวร้าย
บทที่ 123 ข่าวร้าย
คำถามนั้นทำให้เซี่ยเหมิงถึงกับตกตะลึง และถามตัวเองว่าถ้าเขาเป็นเฉินซีและตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ …เขาคงไม่ให้อภัยกับสิ่งที่เซี่ยจ้านทำลงไป
แต่เขายอมไม่ได้!
เขาเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเซี่ยที่เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร เหตุใดถึงเทียบตัวเองกับเฉินซี และยังต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราเช่นนี้
น่าขันสิ้นดี!
ใครเคยเห็นศิษย์ของกองกำลังมหาอำนาจมาผูกมิตรกับขอทานข้างถนนบ้างเล่า
ใครเคยเห็นพญาอินทรีที่ผงาดบนท้องฟ้ากังวลว่ามดน้อยจะรู้สึกอย่างไร
ด้วยสถานะของเขา ตัวตน และเกียรติยศของตระกูลจะไม่ยินยอมให้เซี่ยจ้านทำเช่นนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิด จึงเอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าต้องการอะไร”
“คุกเข่าลงและโขกศีรษะ ทำอย่างที่รับปากไว้” เฉินซีเน้นคำพูดทีละคำ
เซี่ยเหมิงหัวเราะเย้ยหยัน จนแผลเป็นรอยตะขาบบนใบหน้าซีกซ้ายบิดเบี้ยว “แน่ใจแล้วหรือว่าจะทำอย่างนี้”
“เฉินซี! ช่างมันเถอะ เจ้าก็ชนะแล้ว… ขืนเอาเรื่องต่อไปจะไม่เกิดผลดีแก่ตัวเจ้าเอง แต่หากยังยืนยันที่จะเอาเรื่อง พวกเราพร้อมที่จะสนับสนุนเจ้าเต็มที่” ตู้ชิงซีและอีกสองคนพลันก้าวขึ้นไปบนลานประลองทันที
การปรากฏตัวของคนทั้งสามทำให้ผู้บ่มเพาะที่มาสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณนั้นต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีก็มีความสัมพันธ์กับสามคนนี้!
“ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน ฐานะทางสังคมของทั้งสามคนไม่ได้ด้อยไปกว่าเซี่ยเหมิงเลยแม้แต่น้อย!”
“น่าสนใจจริง ๆ! วันนี้มีแต่เรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นทั้งนั้น! แค่ช่วงประเดี๋ยวเดียวสี่คนจากหกตระกูลใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้การประลองครั้งนี้กลายเป็นเรื่องยากในรอบพันปีทีเดียว”
“ไม่แปลกใจเลยที่เด็กนั่นจะกล้าพูดกับเซี่ยเหมิงเช่นนั้น เขาก็มีคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยเช่นกันนี่เอง!”
ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ทุกคนตะลึงงันมากกว่าที่เห็น เหยียนชิงหนี่แห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นผู้แรกที่ออกมาไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยเหลือน้องชายกับพี่สาวที่ไม่มีคนหนุนหลังคู่หนึ่ง จากนั้นเฉินซีก็เข้ามาพัวพัน หลังจากที่ได้รับชมการปะทะคารมระหว่างทั้งสองฝ่าย ทุกคนต่างก็คิดเหมือนกันว่านี่น่าจะเป็นจุดสำคัญของเหตุการณ์ในครั้งนี้
ทว่าเซี่ยเหมิงผู้ไม่เคยเปิดเผยตัวนานนับสิบปีก็โผล่ออกมาโดยไม่มีใครคาดคิด ตามด้วยอัจฉริยะสามคนจากสามตระกูลใหญ่ที่ออกมาแสดงท่าทีหลังจากนั้นไม่นาน…
ทุกฉากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลั่งไหลเข้าสู่ความคิดของคนในที่นั้นอย่างหนักหน่วง เหมือนกระแสน้ำที่ซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเหตุให้พวกเขาถึงกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนแทบเสียสติเลยก็ว่าได้
“จริงด้วย… พี่ใหญ่เฉินซี ข้ากับน้องไม่ถือโกรธคนพวกนั้นแล้ว อย่าให้ท่านต้องมาลำบากเพราะพวกเราเลย” มู่เหยาจับมือน้องชายและพากันก้าวขึ้นไปบนลานประลอง ยามนี้สีหน้าของนางบ่งชัดว่ารู้สำนึกในบุญคุณเจือความวิตกกังวล
ในใจของเฉินซีรู้สึกโล่งอก แต่ภายนอกที่เห็นเขายังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเคย
เขารู้อยู่แล้วล่ะ… ไม่ว่าจะเป็นพวกตู้ชิงซีหรือมู่เหยาและมู่เหวินเฟย ทุกคนต่างทำไปเพราะเห็นแก่เขาอย่างจริงใจทั้งสิ้น แต่เป็นตนเองต่างหากที่ทำใจยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้!
ทำไมเมื่ออีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้แล้ว ข้าต้องยอมรับอย่างนั้นหรือ?
เหตุใดเวลาที่มู่เหยากับมู่เหวินเฟยต้องการขอโทษ แต่กลับได้รับการปฏิเสธจากทุกคน
ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงความแตกต่างทางสถานภาพ ตัวตนและความแข็งแกร่งของพลัง ระหว่างมดตัวน้อยกับยักษ์ แต่กระนั้นเขายังรังเกียจกติกาบ้าบอที่ทำให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้
เป็นเพราะมีกฎกติกาเหล่านี้ คนชั่วช้าเลวทรามถึงยังมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนับร้อยปี แต่คนที่ตั้งใจทำดีเพื่อผู้อื่นกลับต้องมาตายอย่างน่าอนาถกลางถนน ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีความดีและความชั่ว ทุกอย่างตัดสินได้ด้วยความแข็งแกร่ง!
ชีวิตหนึ่งทำเพื่ออีกชีวิตหนึ่งและชดใช้หนี้ชีวิตด้วยอย่างนั้นหรือ ผลกรรมกับการจองเวร เวียนว่ายตายเกิดอย่างนั้นหรือ ตราบใดที่คนคนหนึ่งแข็งแกร่งอย่างแท้จริง คนคนนั้นจะมัวเมาไปกับการเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด! ใครจะนึกยำเกรงและคอยห่วงใย
เดือดดาลหรือไม่ เฉินซีคงต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เหตุการณ์เช่นนี้มีให้เห็นทั่วไปทั้งในสวรรค์และโลกมนุษย์ ซึ่งรังแต่จะขยายออกไปตลอดเวลา และเขาไม่สามารถแก้ไขความเป็นไปของกฎกติกาที่ดำเนินมาหลายปีดีดักได้ด้วยตัวเอง
กระนั้นเขาก็ไม่ปรารถนาจะปล่อยเซี่ยจ้านไปเฉย ๆ เขาไม่ใช่วีรบุรุษผู้กล้าที่เอ่ยอ้างอำนาจสวรรค์มาตัดสินด้วยความยุติธรรม แต่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนข้างตัวของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุที่เกิดขึ้นส่งผลให้แผนการของเฉินซีไม่เป็นผลอย่างสิ้นเชิง
“เฉินซีอย่างนั้นหรือ… เฉินซีไหน” ดูเหมือนเซี่ยเหมิงจะฉุกคิดขึ้นได้ ดวงตาหรี่ลงขณะถามออกไปด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
ผู้ชมต่างให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหลังจากได้ยินคำกล่าว บางคนที่มีหัวคิดฉับไวได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันที่แล้ว …และทำให้ตื่นตะลึงไปทั้งเมืองทะเลสาบมังกร
“เฉินซี! เขานั่นแหละเฉินซี!”
“เขาคือชายที่ฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคน และคนขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคนของตระกูลซู!”
“ไม่น่าแปลกใจ… ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเอาชนะในการประลองยกที่สองได้ ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง!”
…
ตอนนี้ทุกคนพลันตกอยู่ในความโกลาหล!
ทุกสายตาจ้องมองไปที่เฉินซีเป็นตาเดียว แน่ชัดว่าพวกเขาอยากจะเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้แกร่งกล้าน่ากลัวเพียงใด
“ที่แท้พี่ใหญ่เฉินซีก็เป็นคนที่น่าเกรงขาม!” มู่เหยากับมู่เหวินเฟยได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังอื้ออึงรอบตัวแล้ว สายตาชื่นชมของทั้งสองก็มองไปยังเฉินซี
“เป็นเจ้านี่เอง” เซี่ยเหมิงเขม้นมองเฉินซีอย่างเคร่งขรึม เมื่อคนยิ่งมีชื่อเสียงมาก เขาย่อมแผ่อำนาจบารมีเหนือผู้อื่น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมั่นใจในพลังแข็งแกร่งของตัวเองสักเพียงใด การเผชิญหน้ากับตัวตนที่สามารถฆ่าคนขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงหากจะต้องต่อสู้กับชายหนุ่ม
“อะไรกัน ข้าเมื่อก่อนกับตอนนี้มีอะไรที่แตกต่างไปอย่างนั้นหรือ” ขณะที่ชายหนุ่มมองเซี่ยเหมิงที่เปลี่ยนความคิดไปอย่างกะทันหัน เฉินซีก็เอ่ยเยาะเย้ยอย่างไม่ปกปิด
“เจ้าทำให้คนตระกูลซูทั้งตระกูลขุ่นเคืองและยังต้องการคุกคามตระกูลเซี่ยของข้าหรือ” เซี่ยเหมิงใบหน้าหมองคล้ำขณะย้อนถามอย่างเย็นชา
“ในเมื่อข้ากล้าฆ่าซูเหลิ่ง ข้าก็กล้าฆ่าเจ้าได้เหมือนกัน อยากลองดูหรือไม่” เฉินซีโต้กลับอย่างใจเย็น
ใบหน้าของเซี่ยเหมิงไหววูบแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขาไม่ต้องการหลงกลคนวิกลจริต ยังไม่นับว่าเจ้าคนวิกลจริตนั่นกำลังถูกตระกูลซูตอบโต้อย่างบ้าระห่ำ คงไม่คุ้มกันถ้าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
อีกทั้งพวกตู้ชิงซีที่อยู่เคียงข้างเฉินซี ทำให้เขารู้สึกกลัวเอาเรื่องเหมือนกัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการเผชิญหน้ากับเฉินซีคงไม่เป็นผลดีแน่
“สหายน้อย ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้พวกเจ้ายอมเห็นแก่หน้าตาของข้าและลบล้างเรื่องราวนี้เสีย” ขณะนั้นมีเสียงโอบอ้อมอารีของคนชราดังขึ้น สุ้มเสียงที่ให้ความรู้สึกคล้ายว่ากำลังถูกสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน และไม่อาจกระตุ้นความคิดที่จะต้านทานให้เกิดขึ้นได้แม้แต่น้อย
“คารวะผู้อาวุโสเนตรลิขิต!” เวลานี้แม้จะไม่เห็นเจ้าของเสียงทันที แต่ผู้บ่มเพาะทุกคนต่างรีบผุดลุกขึ้นยืนทำความเคารพ โดยประสานกำปั้นพร้อมกับค้อมกายคำนับไปยังท้องฟ้าไกลลิบ สถานที่แห่งนั้นจึงปรากฏเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโสเนตรลิขิต เป็นนักพรตที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังศาลาชุมนุมเซียน เขามีพลังบ่มเพาะที่ยากจะหยั่งถึง กระทั่งบรรดาผู้นำกองกำลังมหาอำนาจทั้งหลาย เมื่อพบปะกับเขายังต้องสุภาพนอบน้อม” น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งสายธารของตู้ชิงซีดังเข้ามาในโสตประสาทของเฉินซี แวบแรกที่ได้ยินเขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็เข้าใจทันที ‘นักพรตเนตรลิขิตคนนี้ดูท่าว่าจะเป็นบุคคลที่น่ายำเกรงแห่งเมืองทะเลสาบมังกรเช่นกันสินะ’
“คุณชายเฉินซี ทางศาลาชุมนุมเซียนขอชดเชยให้ท่านด้วยตราสัญลักษณ์แทนคำขอโทษ ผู้ดูแลศาลาชุมนุมเซียนแจ้งว่ายินดีต้อนรับ หากท่านให้เกียรติมาเป็นแขกของภัตตาคารชุมนุมเซียน ของเราเจ้าค่ะ” สาวต้อนรับหน้าตาสะสวยและท่าทีสุภาพเรียบร้อยก้าวขึ้นมาบนลานประลองอีกครั้ง พร้อมกับถือหีบหยกไว้ในมือบอบบาง
“ข้าไม่ได้ทำอะไรและไม่สมควรได้รับสิ่งนี้ กรุณานำกลับไปเสีย” เฉินซีส่ายหน้าปฏิเสธ “เรื่องที่เกิดขึ้นจะจบที่นี่ ข้าไม่คิดใส่ใจกับเรื่องขี้ปะติ๋วพวกนี้ และหวังว่าคุณชายเซี่ยเหมิงจะทำตามคำพูดของตัวเอง” แม้แต่เจ้าของสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานเริงรมย์อันดับหนึ่งแห่งเมืองทะเลสาบมังกรยังออกหน้าเพียงนี้ เฉินซีจะทำอะไรได้นอกจากหยุดและยอมอ่อนข้อ
“ฮึ! คำพูดของข้า… เซี่ยเหมิงเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างนั้นหรือ” เซี่ยเหมิงคำรามลั่นก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและกลับออกไป
“คุณชายเฉินซี ถ้าไม่ยอมรับของกำนัลนี้ไว้ ผู้ดูแลศาลาชุมนุมเซียนคงต้องไล่ข้าออกแน่เจ้าค่ะ” หญิงต้อนรับหน้าสวยทำหน้าน่าสงสาร ขณะมองเฉินซีด้วยสายตาเว้าวอน
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้คิ้วเข้มของตู้ชิงซีขมวดเข้าหากันทันที ก่อนที่นางจะยื่นมือออกไปรับกล่องหยกมาถือไว้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะช่วยเจ้าให้รับเอาไว้ก็แล้วกัน”
สาวต้อนรับเบิกตามองอย่างตกตะลึง พลันเหลือบมองไปทางตู้ชิงซีและเบนสายตามองไปยังเฉินซี ก่อนจะเม้มปากกลั้นยิ้ม จากนั้นนางจึงตัดสินใจว่าจะไม่รบกวนพวกเฉินซีอีกต่อจึงถอยกลับไป
สายตาของสาวต้อนรับก่อนจะออกไปนั้น ทำให้ตู้ชิงซีรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ กระทั่งเกิดความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าร้อนผ่าวที่ใบหน้า
“รีบไปกันเถอะ เวลาตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมายเช่นนี้น่าอึดอัดจะตาย” ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเดินลงจากลานประลอง พลันหันไปเรียกมู่เหยากับมู่เหวินเฟยขณะที่จะเดินออกจากศาลาชุมนุมเซียน
“นี่ เจ้าจะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือว่าในหีบหยกมีของล้ำค่าอะไร” ตู้ชิงซีที่เดินตามมาทันเฉินซีทักขึ้น
“ไม่เป็นไร เจ้าจะเอาไปเปิดดูก็ได้” เสียงของชายหนุ่มตอบเรื่อย ๆ
“ข้าหรือ… ตกลง” หญิงสาวชะงักนิดหนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก ดูเหมือนคำพูดของเฉินซีจะทำให้นางมีความสุขอย่างมาก กระนั้นตู้ชิงซีก็ไม่ได้เปิดหีบหยกแต่กลับสอดเอาไว้ในเสื้อแทน จากนั้นแววตากระจ่างใสเสมองไปไกลคล้ายว่านึกถึงอะไรบางอย่าง
“ต้วนมู่ ข้าว่าเจ้าถอนตัวเสียเถอะ จะได้ไม่กระทบกับความเป็นพี่เป็นน้องของพวกเรา”
“ไอ้บ้า! ข้าบอกที่ไหนว่าจะตีกับเฉินซีเรื่องผู้หญิง ให้ตายสิ ข้าแค่… จะแวะร่ำสุราสักหน่อย”
“ก็ได้… ข้าไปเป็นเพื่อน”
“พี่น้องที่แสนดี!”
“พี่น้องตลอดกาล!”
ซ่งหลินกับต้วนมู่เจ๋อต่างโอบบ่าของกันและกัน ขณะใช้วิธีสื่อสารกันผ่านกระแสปราณ ตลอดทางผ่านจึงดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายที่แสดงความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ
…
ชายหนุ่มเพิ่งจะเดินออกมาจากศาลาชุมนุมเซียนไม่นาน ขณะนั้นเองเฉินซีก็เห็นเซี่ยเหมิงกำลังยืนเอ้ออระเหยมาแต่ไกล พลันหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน หรือว่าคนผู้นั้นไม่ยอมถอนตัว
“อย่างห่วงเลย ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ” อีกฝ่ายทำท่าว่านึกขึ้นได้ สีหน้ายิ้มน้อย ๆ ของเซี่ยเหมิงจึงดูกระหยิ่มปริ่มเปรมขณะพูดว่า “ข้ารอให้พวกเจ้ากลับออกมาเพราะเผอิญว่านึกขึ้นได้กะทันหัน จึงจำเป็นต้องรีบมาบอกให้รู้”
“ว่ามา”
“ตอนนี้น้องชายของเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรใช่หรือไม่” เซี่ยเหมิงถามไปทันที
ใบหน้าของเฉินซีซีดเผือดและสามารถเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรได้ทันที ตอนที่อยู่ที่พำนักของเซียนกระบี่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ครั้งหนึ่งเขาเคยเหนือกว่าและเอาชนะซูเฉินพี่ชายของซูเจียว ซึ่งเป็นศิษย์สายในของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่ยิ่งใหญ่แห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้
เวลานี้เขาทำให้ตระกูลซูขุ่นเคืองใจ หากตระกูลซูจะตอบโต้อย่างสาสม แน่ชัดล่ะว่าจะต้องโยงไปถึงน้องชายของเขา!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ …สีหน้าของเฉินซียิ่งหมองคล้ำมากขึ้น
“ดูเหมือนเจ้าจะคิดได้แล้วสินะ” เซี่ยเหมิงยกยิ้มหยันขณะกล่าวต่อมา “แต่มีข่าวร้ายบางเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้ น้องชายของเจ้าเป็นอัจฉริยะเหนือชั้นในเต๋าแห่งกระบี่แห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หลังจากที่เข้าร่วมในการเทียบอันดับมังกรซ่อนปีนี้แล้ว ฉะนั้นเมื่อเขาประสบความสำเร็จ เขาจึงจะมีโอกาสที่จะได้เป็นหนึ่งในศิษย์ชั้นนำของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกลางคันคงพลาดโอกาสซึ่งน่าเสียดายเป็นอันมาก”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของเซี่ยเหมิงสั่นไหวไปมาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเงาดำและค่อยเลือนหายไปอย่างเชื่องช้า
“อย่าวิตกไปเลย ไม่ว่าตระกูลซูจะมีสถานะสูงส่งเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแน่” เสียงกล่าวทำนองปลอบใจของตู้ชิงซีดังขึ้นข้างตัว
“แต่ถึงอย่างไรจะต้องเกิดปัญหาไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง “ฟังจากที่เซี่ยเหมิงพูดเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าตระกูลซูกำลังจะใช้กลอุบายต่ำช้าที่จะจัดการกับน้องชายของข้าในการเทียบอันดับมังกรซ่อนเป็นแน่ เห็นทีข้าจะต้องรีบบอกน้องข้าให้รู้ตัวก่อน”
หญิงสาวพยักหน้าตอบ “อืม เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ถ้ามีปัญหาหนักใจให้รีบบอกมาอย่าได้ลังเล”
“ไม่น่าจะมีปัญหา สุดท้ายแล้วข้าจะเข้าร่วมการเทียบอันดับมังกรซ่อนด้วย และเมื่อถึงตอนนั้นก็น่าจะช่วยน้องชายได้” เฉินซียิ้มน้อย ๆ พยายามทำสีหน้าให้ดูผ่อนคลายที่สุด
“สหาย… ไม่ว่าเจ้าจะพบกับความยากลำบากสักแค่ไหน พวกเราพร้อมที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้า อีกอย่างเจ้าไม่ต้องคิดมาก” ต้วนมู่เจ๋อขยับเข้ามาใกล้พลางเอ่ยว่า “เดิมทีวันนี้ข้าตั้งใจไว้ว่าจะเลี้ยงมื้อค่ำเพื่อต้อนรับเจ้า แต่ในที่สุดพวกเราก็อดลิ้มรสฉลองเก้ามหาสมบัติของหัวหน้าเยว่จนได้ และกลายเป็นว่าต้องมาเจอกับเรื่องน่าทุเรศพวกนี้ ไป… ไป! ไปหาสุราดื่มกันดีกว่า” ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับ ในใจรู้สึกขึ้นมาราง ๆ ว่าการมาปรากฏตัวที่ศาลาชุมนุมเซียนของตนในวันนี้ ไม่ได้ห่างไกลจากล้างแค้นของตระกูลซูสักเท่าใดเลย
“สหายเต๋าเฉินซี ข้ามาขอบใจที่เจ้าให้ความช่วยเหลือมู่เหยาและน้องชายของนาง” ขณะที่เฉินซีและคนอื่นกำลังโดยสารรถลากเทพหกกิเลนเพื่อกลับออกไปนั้นเอง เหยียนชิงหนี่ในเครื่องแต่งกายสีเขียวหยกเดินมาแต่ไกล