บทที่ 125 สำรวจค่ายกล
บทที่ 125 สำรวจค่ายกล
พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ มรดกกับทรัพยากรมหาศาลที่ถูกซ่อนเร้นไว้ในเมืองทะเลสาบมังกร ย่อมเป็นของแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ ในบรรดากองกำลังอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ หากมีใครพูดถึงกองกำลังที่ทรงอำนาจที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
ผู้ฝึกฝนกระบี่เชี่ยวชาญการต่อสู้ฆ่าฟันมาก และในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ว่ากันว่ามีเซียนกระบี่ที่สามารถสยบเซียนปฐพีทั้งหลายให้อยู่ใต้อาณัติได้ พวกเขาเป็นเหมือนร่างจำแลงของพระเจ้าที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ และได้อุทิศตนเพื่อบ่มเพาะวิชากระบี่ ทั้งปรารถนาจะเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ จากนั้นก็กลายเป็นเซียนสวรรค์และมีชีวิตเช่นเดียวกับสวรรค์และโลก
อย่างไรก็ตาม ตำนานก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นเซียนกระบี่เหล่านี้ด้วยตาตัวเองเลย ข่าวลือนี้ได้พิสูจน์ว่านิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นทรงพลังเพียงใด
บนเส้นทางภูเขาที่สูงชันและขรุขระ หลิงไป๋ตัวน้อยที่ยืนอยู่บนไหล่ของเฉินซี บ่นพึมพำแผ่วเบาอยู่ที่ข้างหูของชายหนุ่ม “นิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง มันก่อตัวขึ้นจากภูเขาทั้ง 72 ลูก และภูเขาทุกลูกต่างได้รับการคุ้มครองจากมหาค่ายกลกระบี่ พวกมันทั้งหมดต่างก็ผสานเข้าด้วยกัน และสืบทอดพลังเพื่อให้กำเนิดกลุ่มมหาค่ายกลกระบี่คุ้มนิกายที่มีข้อจำกัดนับหมื่น และพวกมันก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง”
หลังจากที่เขาทราบว่าหลิงไป๋สามารถหลีกเลี่ยงค่ายกลกระบี่คุ้มนิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ เฉินซีก็ไม่ลังเลที่จะออกจากเชิงเขาในทันที จากนั้นลอยขึ้นและทะยานมุ่งไปสู่ยอดเขา
“หยุดก่อน!” หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลิงไป๋ก็ชี้ไปที่หน้าผาที่อยู่เบื้องหน้าในทันที “ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีเส้นทางให้หยั่งเท้า แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นค่ายกลกระบี่หยินหยางสะบั้นดวงประทีปที่ใช้ลวงตาผู้คน ค่ายกลนี้ถูกสร้างจากกระบี่บิน 108 เล่มและไข่มุกกลืนวิญญาณ ภายในค่ายกลมีขอบเขตภาพลวงตาและพงไพรแห่งกระบี่มายมายถูกกักเก็บอยู่ภายใน และความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ใครสักคนต้องตกอยู่ในฝันร้าย ที่ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าไร้การปกป้อง มันช่างทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินซีแหงนหน้ามองหน้าผาที่อยู่เบื้องหน้าราวกับมันถูกเชื่อมต่อกับสวรรค์ มันราบเรียบเหมือนคันฉ่องที่ถูกฟันจนขาดสะบั้นด้วยกระบี่เดียว พื้นผิวของหน้าผาถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและเถาวัลย์เลื้อย ซึ่งดูไม่มีอะไรผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบด้วยญาณจิต เขาก็สัมผัสได้ถึงปราณกระบี่จู่โจมเข้าที่ใบหน้า และปราณของมันก็เหมือนกับสัตว์ร้ายที่เฝ้าเก็บสะสมพลังเพื่อรอซุ่มโจมตีอยู่ภายในหน้าผา อีกทั้งก็เป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ย่างกรายเข้ามา มิฉะนั้น โลหิตจะต้องสาดกระเซ็นจนต้องจบชีวิต!
“จงฟังคำแนะนำของข้าและก้าวเดินทีละก้าว จงอย่าได้เหาะเหินเพราะมันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาของข้อจำกัด และในเวลานั้น ค่ายกลกระบี่พิทักษ์นิกายทั้งหมดจะเปิดใช้งานพร้อมกัน เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่เซียนก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”
“ตกลง ข้าจะฟังเจ้า” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และสงบจิตใจให้มั่นคงก่อนที่จะก้าวเดินไปที่หน้าผา
ฟิ้ว!
หน้าผาที่ดูเหมือนแข็งและหนา กลับเป็นเหมือนชั้นอากาศที่ม้วนตัว เฉินซีก้าวเข้าไปพร้อมกับยกเท้าขึ้น ทันทีที่ก้าวเข้าไปราวกับว่าเข้าสู่โลกที่งดงามราวกับภาพวาดที่มีท้องฟ้าสีฟ้าใสพร้อมเมฆสีขาวนวล ต้นไม้เขียวชอุ่มและแม่น้ำที่ไหลเอื่อย
ในแม่น้ำที่ใสสะอาดและคดเคี้ยวมีสะพานโค้งหินปูนตั้งอยู่ บนสะพานก็มีเด็กหนุ่มขี่ควายกำลังเป่าขลุ่ยเป็นจังหวะเบา ๆ อย่างร่าเริง
ใต้สะพานโค้งมีชายชราสวมชุดคลุมฟางและหมวกไผ่กำลังพายเรือและจับปลาอยู่
ในขณะที่อีกฝั่งของแม่น้ำ กลับเป็นสรวงสวรรค์ที่มีป่าไผ่กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม มีประตูหินที่แลดูธรรมดาถูกซ่อนอยู่บนกำแพงหินที่สลักคำว่า ‘เคหาเซียนไร้พันธะ’
บนพื้นหญ้าที่ด้านหน้าประตูมีเหล่าสัตว์นานาชนิด เช่น เสือขาวกำลังตะปบผีเสื้อ ลิงวิญญาณที่ถือลูกท้อ กวางคาบเห็ดหลินจืออยู่ในปาก และนกกระเรียนมงกุฎแดงกำลังกระพือปีกส่งเสียงร้อง ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ราวกับเป็นสถานที่ที่เซียนอาศัยอยู่
“สหายเต๋า โปรดข้ามสะพานเถิด สะพานนี้จะนำไปสู่เคหาเซียนซึ่งเป็นสถานที่แห่งการเผชิญหน้ากับโชคชะตา” เด็กบนหลังควายกล่าวเสียงใส
“สหายเต๋า โปรดขึ้นเรือ เรือจะข้ามแม่น้ำไปสู่เคหาเซียนซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง” ชายชราในแม่น้ำหัวเราะเสียงดังขณะที่กล่าวเชื้อเชิญ
ภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ ดูเหมือนกับดินแดนของเซียนที่อยู่ในภาพวาด ที่มีเด็กน้อยขี่ควายและชายชราสวมชุดฟาง
ดินแดนแห่งพรที่ผู้เป็นเซียนอาศัยอยู่นั้นอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ และสามารถมองเห็นได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
เมื่อได้ยินคำเชิญจากทั้งสองคนในขณะนี้ ดูเหมือนว่าการเผชิญกับโอกาสกับโชคของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม หากเป็นคนธรรมดา จิตใจของคนผู้นั้นคงสั่นไหวไปนานแล้ว และวิญญาณของคนผู้นั้นคงจะลุ่มหลงก่อนที่จะค่อย ๆ เคลื่อนไปยังเทวสถานที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ
แต่เฉินซีได้รับการเตือนจากหลิงไป๋มาก่อน ดังนั้นจึงไม่หลงกลอุบายใด เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“ชายชราคนนั้นคือหยิน ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้คือหยาง กระแสน้ำในลำธารคือค่ายกลกระบี่หยิน หินปูนบนสะพานคือค่ายกลกระบี่หยาง ในขณะที่เคหาเซียนที่ไม่ธรรมดาซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ และฉากที่งดงามรอบด้านคือภาพลวงตาจากไข่มุกกลืนวิญญาณ”
เสี่ยวไป๋กอดอกและกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “เดิมทีข้าคิดว่ามันจะคล้ายกับค่ายกลกระบี่หยินหยางสะบั้นดวงประทีปของนิกายกระบี่ร้อยบุปผาเมื่อหมื่นปีที่แล้ว และสามารถเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาได้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามันเป็นเพียงค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ ชายชรากับเด็กหนุ่มคนนั้นคือแก่นของค่ายกล และด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายค่ายกลนี้ด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว แต่ด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดข้อจำกัดในค่ายกล และเจ้าจะถูกพบเห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นต้องเดินลุยข้ามแม่น้ำและผ่านสะพานหินถึงจะออกจากค่ายกลนี้ได้”
โดยไม่ลังเล เฉินซีก้าวเข้าไปในแม่น้ำทันที จากนั้นก้าวทีละก้าวผ่านใต้สะพานและมุ่งไปข้างหน้า แม่น้ำที่เบื้องหน้านี้ดูเหมือนจะไร้ก้นบึ้ง แต่แท้จริงแล้วมันก่อตัวขึ้นจากดินแดนมายาเท่านั้น เมื่อเหยียบย่างเข้าไปมันจึงเหมือนกับเดินบนพื้นราบ
“สหายเต๋า เคหาที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำมีเคล็ดวิชาล้ำลึกและสมบัติล้ำค่าถูกรวบรวมโดยเหล่าเซียน จะไม่น่าเสียดายเกินไปหรือหากจะปล่อยโอกาาสเช่นนี้หลุดมือไป?”
“สหายเต๋า เคหานี้ได้เก็บเคล็ดวิชาชั้นยอดของโลกและเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณเซียน การอยู่ภายในนั้นจะทำให้เจ้ากลายเป็นเซียนได้ภายในหนึ่งร้อยปี!”
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีกำลังเดินลุยผ่านแม่น้ำและสะพานหิน เด็กหนุ่มกับชายชรามีก็มีท่าทางเศร้าโศก น้ำเสียงของพวกเขาก็เผยให้เห็นมนต์เสน่ห์อันไร้ขอบเขต หากจิตใจของคนผู้นั้นไม่มั่นคงมากพอคงจะถูกล่อลวง
แต่เฉินซีกลับแสร้งเป็นหูหนวก ทันทีที่ผ่านสะพานหินไป ทิวทัศน์ทั้งหมดก็เหมือนฟองสบู่ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบสนอง สุสานที่กว้างขวางและรกร้างก็สะท้อนอยู่ในดวงตา
สถานที่นี้คล้ายกับสนามรบโบราณที่มีชั้นหมอกควันสีเทาลอยอยู่ในอากาศ สายลมพัดโหยหวน พื้นดินเต็มไปด้วยคราบเลือด และมีกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปักลงบนพื้น เมื่อมองเพียงแวบเดียว กระบี่มีความหนาแน่นราวกับวัชพืช และมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน
วู้วววว~!
คลื่นเสียงคร่ำครวญราวกับภูตผีและเสียงหอนราวกับหมาป่าลอยอยู่ในอากาศ ราวกับต้องการสื่อถึงความรู้สึกที่ไม่พอใจ ไม่ยินยอม ไม่เต็มใจ น่าเวทนา และเคียดแค้น… มันเหมือนกับวิญญาณพยาบาทที่กำลังร่ำไห้และทำให้วิญญาณของผู้คนต้องสั่นคลอน
“อย่าขยับ ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลกระบี่ผนึกโลหิตพิฆาตมาร และเป็นค่ายกลสังหารขนาดใหญ่ที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง หากก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว กระบี่นับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้นจะกลายเป็นอสูรกระหายเลือดกลืนกินเจ้า”
หลิงไป๋ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่คือค่ายกลกระบี่ที่สร้างขึ้นโดยนิกายอสูร รากฐานของมันถูกประกอบขึ้นด้วยกระบี่แห่งความชั่วร้ายสามพันหกร้อยเล่มที่ได้สังเวยวิญญาณพยาบาท และสายลมแห่งความว่างเปล่าอันชั่วร้ายที่อยู่ใจกลางโลก ยามที่เปิดใช้งานค่ายกลอย่างเต็มกำลัง ก็เพียงพอแล้วที่จะกำจัดผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี”
“แต่เมื่อพิจารณาจากกลิ่นอายของมัน ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และดูเหมือนมันว่าจะถูกสับเปลี่ยนแผนภาพค่ายกลกระบี่จึงทำให้มันพลังของมันอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เพียงพอที่จะกำจัดผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง”
“มันทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ?” ท่าทางของเฉินซีพลันตึงเครียดขึ้น ตราบใดที่จิตใจมั่นคง ค่ายกลภาพลวงตานั้นก็ไม่ได้น่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป อย่างมากก็แค่ถูกกักขังอยู่ภายใน แต่ค่ายกลสังหารนั้นมีจิตสังหารในทุกฝีก้าว และการก้าวผิดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้โลหิตต้องสาดกระเซ็น
“การที่จะออกจากค่ายกลนี้โดยไม่กระตุ้นข้อจำกัดนับเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นจงทำตามข้าซะ” ในตอนนี้หลิงไป๋ได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินไปข้าง ๆ ของเฉินซี จากนั้นด้วยการโบกแขนเบา ๆ ปราณกระบี่ก็แทงทะลุออกมา
ท่ามกลางกระบี่ที่อัดแน่นอยู่บนพื้นดิน มีกระบี่เล่มหนึ่งที่ดูเหมือนต้องการจะพุ่งออกไป แต่กลับถูกปราณกระบี่ของหลิงไป๋สะกดไว้
“เร็วเข้า เราต้องรีบออกจากค่ายกลในชั่วอึดใจ มิฉะนั้น แม้แต่ข้าก็ไม่อาจออกไปเช่นกัน” ขณะที่หลิงไป๋กล่าวก็ดีดนิ้วออกไปอย่างต่อเนื่อง และปราณกระบี่ทะยานออกไปทีละนิดอย่างรุนแรง ถึงแม้วิถีที่เคลื่อนไปจะดูยุ่งเหยิงแต่กลับเฉียบแหลม และสามารถสะกดกระบี่จำนวนมากที่ต้องการจะพุ่งออกไปได้อย่างแม่นยำ
ชิ้ง! ชิ้ง!
ปราณกระบี่ที่เหมือนกระแสน้ำพุ่งทะลุท้องฟ้าราวกับฝูงผึ้งนับพันที่กระพือปีกและส่งเสียงดังหึ่ง ๆ เฉินซีติดตามหลิงไป๋อย่างใกล้ชิด และพวกเขาก็ทะยายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลกระบี่กรงจักรปฐพี!
ค่ายกลกระบี่เพลิงธุลี!
ค่ายกลกระบี่จตุมังกรเหมันต์!
ค่ายกลกระบี่แสงไร้ลักษณ์!
…
ภายใต้คำแนะนำของหลิงไป๋ ชายหนุ่มสามารถหลบเลี่ยงค่ายกลกระบี่ที่แฝงด้วยจิตสังหารไปได้อย่างปลอดภัย และในระหว่างนี้ ความรู้ของเขาเกี่ยวกับค่ายกลก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แม้ว่าไป๋หลิงจะไม่เคยทบทวนความรู้ใด ๆ เกี่ยวข้องกับเต๋าแห่งยันต์ เพราะเขามีชีวิตอยู่มาแล้วนับหมื่นปี จึงทำให้มีประสบการณ์มากมาย มหาค่ายกลคุ้มนิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็ถูกเขามองออกด้วยการมองเพียงแวบเดียว แก่นแท้ที่เขากล่าวถึงนั้น ต่างก็ชี้ไปที่จุดอ่อนของค่ายกล และด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เฉินซีเข้าใจแก่นแท้ของค่ายกลกระบี่ทุกอัน
เดิมทีชายหนุ่มมีพรสวรรค์ในเต๋าแห่งยันต์อักขระที่น่าอัศจรรย์ หลังจากที่หลิงไป๋ให้คำแนะนำเพียงเล็กน้อยและประกอบกับความเข้าใจที่มีต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระ ขณะที่เผชิญกับค่ายกลกระบี่ที่แตกต่างกันมากมาย และได้สังเกต ทำความเข้าใจ ไตร่ตรอง และคาดการณ์… ถึงแม้จะเป็นการสังเกตเพียงแวบเดียว แต่เขาสามารถรู้แจ้งและตระหนักได้ในทันที สิ่งนี้ทำให้การบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระได้รุดหน้าไปพร้อมกับความเข้าใจที่เพิ่มพูนขึ้น
เช่นเดียวกับเรื่องนี้ คนหนึ่งกล่าวด้วยความเร่าร้อนและมั่นใจ ในขณะที่อีกคนทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ไปตลอดทาง พวกเขาเป็นเหมือนอาจารย์ศิษย์คู่หนึ่ง ที่มอบบทเรียนและคอยไขข้อสงสัย โดยใช้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นห้องเรียน ถ้ามีคนจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาพบเห็นฉากนี้เข้า พวกเขาคงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
…
ยอดเขาทะยานนภาเป็นหนึ่งในภูเขาทั้ง 72 ลูกที่อยู่บนแนวเทือกเขาเมฆาพเนจร มันสูงชันและตรงตระหง่านดั่งกระบี่ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ลำแสงที่งดงามจากภูเขาก็ยังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและสว่างไสวราวกับยามรุ่งสาง
รอบ ๆ ภูเขามีน้ำตกปราณกระบี่มากมายที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงและมีความยาวถึงสองพันห้าร้อยจั้ง พวกมันเป็นเหมือนมังกรสีม่วงจำนวนมากที่คอยปกป้องสิ่งรอบข้าง แรงผลักดันนั้นยิ่งใหญ่และสะดุดตา
สถานที่นี้เป็นของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ซึ่งเป็นสถานที่บ่มเพาะของบรรพจารย์หลิงตู้ น้ำตกปราณกระบี่นับไม่ถ้วนที่รายล้อมเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่คอยพิทักษ์ภูเขาคือค่ายกลกระบี่นภาม่วงสามสิบหกสวรรค์ ที่มีพลังอำนาจในการสังหารทั้งอสูรและเทพเจ้าที่ไม่มีใครเทียบได้
ฟิ้ว!
ยันต์สื่อสารกลายเป็นแสงสีขาวดวงเล็ก ๆ ขณะที่มันบินเข้าไปในตำหนักที่ไหล่เขาทะยานนภา
“หืม?” บนเบาะนั่งสมาธิ ชายหน้าตาหล่อเหลาลืมตาขึ้นขณะที่คว้ายันต์สื่อสาร
“เฉินเอ๋อร์ เฉินซีปรากฏตัวในเมืองทะเลสาบมังกรแล้วในตอนนี้… จงรีบจับตัวเฉินฮ่าวผู้น้องชายของเขาเป็นการด่วน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามต้องคุมขังเขาไว้ในคุกของตระกูลซูก่อนรุ่งสาง” ทันทีที่เสียงสง่าผ่าเผยเงียบลง ยันต์สื่อสารก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“เสียงของท่านพ่อดูเหมือนจะร้อนรนมาก ช่างเถอะ ข้าจะไปเยือนที่ยอดเขามังกรอเวจีทันที” ชายรูปงามลุกขึ้นยืน จากนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไป
“ซูเฉิน เจ้าออกไปทำอะไรดึกดื่น อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยจิตสังหาร?” ในขณะนั้นเองก็มีเสียงที่หยาบกระด้างและเย็นชาดังกึกก้องอยู่ในห้องโถง
ร่างของซูเฉินหยุดแล้วรีบหันกลับมา และกล่าวด้วยความเคารพ “เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์ได้รับสารด่วนจากตระกูลของข้า และสั่งให้ศิษย์…” ซูเฉินลังเลที่จะกล่าวต่อ
“ช่างมันเถอะ อาจารย์จะไม่ถามเจ้าอีกต่อไป โปรดจำไว้ว่าแม้ว่าจะมีความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง เนื่องจากเจ้าทั้งคู่เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร อย่าได้ก่อเหตุฆ่าฟันภายในนิกาย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยกโทษให้ แต่ถ้าหากอยู่นอกนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็จงทำตามที่เจ้าต้องการ” เสียงที่แข็งกร้าวและเย็นชาดังออกมาอีกครั้ง
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ซูเฉินสูดลมหายใจลึกและโค้งคำนับ จากนั้นเขาก็หันกลับและเดินออกจากห้องโถงไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไปไกลสุดสายตา
“หืม? เหตุใดถึงไปยอดเขามังกรอเวจี ที่แห่งนั้นคือสถานที่สำหรับลงโทษศิษย์ของนิกายไม่ใช่หรือ?” ไม่นานหลังจากที่ซูเฉินจากไป ร่างสูงก็ปรากฏตัวขึ้นนอกห้องโถงอย่างรวดเร็ว และมองไปทางภูเขาที่อยู่ในระยะไกล
คนผู้นี้มีความสูงราวสิบสองฉื่อ ผมสีขาวปล่อยลงมาอย่างสบาย ๆ ดวงตาของเขาเฉียบคมราวกับกระบี่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา และกลิ่นอายเข่นฆ่าที่เยียบเย็นแผ่ออกมาจากร่าง
เขาเป็นเหมือนกระบี่ล้ำค่าที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและแหลมคมจนทำให้สวรรค์ยังต้องตกตะลึง คนผู้นี้คือผู้บ่มเพาะกระบี่แห่งขอบเขตจุติ ที่มีชื่อเสียงในด้านการเข่นฆ่าและไร้ความปรานีในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางตอนใต้ …บรรพจารย์หลิงตู้!
“มีบางอย่างผิดปกติ! ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?” บรรพจารย์หลิงตู้ยืนเอามือไพล่หลัง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นขณะครุ่นคิด