บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 128 ทะเลสาบสีครามบนยอดเขาอันเงียบสงบ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 128 ทะเลสาบสีครามบนยอดเขาอันเงียบสงบ

ฟิ้ว!

เงาร่างพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับดาวตกที่ส่องแสงแพรวพราว

เฉินซีได้ใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานอย่างสุดกำลัง ทว่ากลับทำได้เพียงติดตามอยู่ข้างหลังเหวินเสวี่ยนเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขาตึงเครียดยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายเหินห่างออกไปสองลี้ในทุกย่างก้าว ความตกตะลึงก็ปะทุภายในใจเขา

‘แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของข้าจะไม่อาจเทียบกับเหวินเสวี่ยนได้ แต่ด้วยการเข้าใจเต๋าแห่งสายลมอย่างลึกซึ้งรวมกับเคล็ดวาตะเหินทะยานที่มีอยู่ อย่างน้อยข้าก็ควรไล่ตามเขาทันได้บ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแข็งแกร่งหรือความเร็ว ข้ากลับไม่มีโอกาสเอาชนะเลยแม้แต่น้อย!’ เฉินซีแอบถอนหายใจ

“เฉินซี เจ้าต้องระวังตัว ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา” หลิงไป๋กล่าวผ่านกระแสปราณจากภายในแหวนมิติของเขา

‘เจ้าว่าอะไรนะ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา? นั่นไม่ใช่ผู้บ่มเพาะที่เหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติอีกหรอกหรือ?’ เฉินซีตกตะลึงเมื่อได้ยิน

เส้นทางของการบ่มเพาะถูกจัดลำดับเป็นขอบเขตใหญ่แปดลำดับ อันได้แก่ ขอบเขตสร้างรากฐาน ขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตตำหนักอินทนิล ขอบเขตเคหาทองคำ ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ขอบเขตจุติ ขอบเขตสถิตกายาและขอบเขตเซียนปฐพี และเหนือไปกว่านั้นคือการก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะ ขอบเขตเซียนสวรรค์

อย่างไรก็ตาม แค่แปดลำดับขอบเขตแรกก็มีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถบรรลุได้

ในบรรดาผู้บ่มเพาะนับล้านคนของเมืองหมอกสน ระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น

ในบรรดาผู้บ่มเพาะสิบล้านคนของเมืองทะเลสาบมังกร ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้รับการนับถือว่าเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าแล้ว

ส่วนภายในอาณาเขตดินแดนทางใต้ถือว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุตินั้นอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว พวกเขาสามารถสยบทุกสิ่งด้วยพลังของพวกเขา และคนอื่น ๆ ต่างก็เรียกพวกเขาด้วยความเคารพว่าเป็นบรรพจารย์

นี่เป็นเพียงขอบเขตจุติเท่านั้น ความยากในการบรรลุสู่ขอบเขตถัดไปในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะสามารถทราบได้จากสิ่งนี้

ในตอนนี้ ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติได้อยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว แม้เฉินซีจะรู้ว่ามรดกและทรัพยากรของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่ซ่อนอยู่นั้นเก่าแก่และลึกล้ำ เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องตกใจ

การบ่มเพาะปราณภายในของเฉินซีในปัจจุบันอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดาราเท่านั้น ส่วนการขัดเกลากายายังคงอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดารา แม้ว่าเขาจะสามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตบ่มเพาะและสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้ แต่การสู้กับตัวตนที่อยู่เหนือกว่าเขาถึงสามขอบเขต มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน

“หลิงไป๋ เจ้าคิดว่าเขาจะพาข้าไปพบใคร?” เฉินซีกล่าวผ่านกระแสปราณ เขาสงสัยเป็นอย่างมากเพราะนอกจากเฉินฮ่าวแล้ว เขาแทบไม่รู้จักใครในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเลย ดังนั้นเหวินเสวี่ยนจะพาเขาไปพบใครกัน?

“ใครจะรู้? คนผู้นี้ลึกลับมาก ถ้าเขาอยากฆ่าเจ้า เจ้าก็ไม่อาจต่อต้านได้ ดังนั้นเจ้าควรวางตัวไปตามสถานการณ์” หลิงไป๋ส่ายศีรษะไม่หยุด

หลังจากผ่านไปประมาณชั่วก้านธูป เหวินเสวี่ยนก็หยุดอยู่เบื้องหน้าภูเขาที่เงียบสงบ เมื่อเฉินซีมองขึ้นไป เขาก็เห็นป่าเขียวขจีอยู่บนภูเขา น้ำตกในหุบเขาลึก น้ำพุที่ไหลในหุบผา และหมอกปกคลุมทั่วภูเขา ราวกับสวรรค์ของเซียนในโลกมนุษย์และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต

“ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาด้านหลังของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร มีชื่อว่า ‘ยอดเขาสวรรค์’ หากไม่มีผู้นำทางก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้” เหวินเสวี่ยนยิ้มขณะที่เขาอธิบาย จากนั้นควงพัดขนนกในมือ หมอกสีฟ้าจำนวนมหาศาลลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือยอดเขาสวรรค์ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าโปรยปรายลงมาราวกับฝน

วิ้ง!

จู่ ๆ ก็มีบันไดทอดยาวลงมาจากยอดเขาสวรรค์ และปรากฏขึ้นใต้เท้าของเหวินเสวี่ยนในพริบตา ราวกับสะพานรุ้งที่ทอดผ่านกลางอากาศ ภาพที่เห็นมันช่างงดงามยิ่งนัก

“มาเถอะ” เหวินเสวี่ยนก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไป จากนั้นเขาก็แย้มยิ้มขณะกวักมือเรียกเฉินซี

เฉินซีอยากรู้มากว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการพบเขา จึงก้าวขึ้นบันไดไปอย่างไม่ลังเล

ฮึ่ม!

บันไดที่ทอดตัวยาวพลันหดลงทันควัน จากนั้นก็นำพาเหวินเสวี่ยนและเฉินซีหายเข้าไปในยอดเขาสวรรค์

บนยอดเขาสวรรค์มีทะเลสาบสีฟ้า ใบบัวมากมายลอยเหนือน้ำใสในทะเลสาบ พวกมันหมุนไปรอบอย่างช้า ๆ ภายใต้สายลมอ่อน ๆ และดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลโชยมากระทบใบหน้าและทำให้จิตใจสดชื่น

ที่ด้านข้างของทะเลสาบ ฝูงนกนางนวลสีขาวราวกับหิมะมากมายกำลังบินไปมา เหล่าสัตว์น้ำต่างนอนพักผ่อนอย่างเกียจคร้านอยู่บนหาดทรายสีเงินและฝูงเพียงพอนสามหางที่มีขนเรียบลื่นกำลังคาบปลาตัวใหญ่เนื้อแน่นไว้ในปากอย่างมีความสุข

ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาสามารถกล่าวได้ว่าเป็นทิวทัศน์ในภาพวาดที่เต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาราวกับแดนสวรรค์

“ปราณวิญญาณที่นี่ช่างหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์อะไรขนาดนี้ ใต้สระบัวแห่งนี้มันจะต้องมีเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดกระจุกอยู่แน่นอน” เฉินซีเดินตามหลังเหวินเสวี่ยนและทันทีที่เขามาถึงยอดเขา เขารู้สึกว่าปราณวิญญาณที่หนาแน่นจู่โจมเข้าใส่ใบหน้าของเขาอย่างฉับพลัน เมื่อเขาสูดมันเข้าไปเต็มปอดก็ส่งผลให้จิตใจของเขาสดชื่นและวิญญาณของเขาก็ถูกยกระดับขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“หืม?” เฉินซีชำเลืองมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นร่างสูงยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่ด้านข้างของทะเลสาบสีฟ้าอันกว้างใหญ่ในระยะไกล ร่างนั้นมีผมสีเทาและสวมเสื้อผ้าสีเทา หลังของเขาตั้งตรง ร่างของเขาดูเหมือนหลอมรวมเข้ากับทะเลสาบสีฟ้าและท้องฟ้าสีครามทำให้ผู้คนรู้สึกแปลก ๆ ราวเป็นภาพลวงตาดูเหมือนไม่ใช่คนจริง

‘ญาณจิตของข้าไม่สามารถสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของคนผู้นี้ได้เลย และเมื่อมองด้วยตาเปล่า บางครั้งเขาก็ชัดเจนบางครั้งก็พร่ามัว เป็นไปได้ไหมว่าการบ่มเพาะของคนผู้นี้น่าสะพึงกลัวยิ่งกว่าเหวินเสวี่ยน?’ เฉินซีตกใจ

“เจ้าทั้งสองมาแล้ว” ร่างที่ยืน ณ ริมทะเลสาบดูเหมือนจะสังเกตเห็นทั้งสอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

ในที่สุด เฉินซีก็เห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้อย่างชัดเจน ร่างนี้เป็นชายชราที่มีสุขภาพดี รูปร่างหน้าตาของเขาดูธรรมดา ดวงตาของเขาเฉยเมย แต่คิ้วของเขายาวมากจนปลายคิ้วสามารถปลิวไสวไปตามสายลม รูปร่างทั้งหมดของเขาทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความเรียบง่ายและแปลกประหลาด

“ท่านอาจารย์” ในขณะนี้ เหวินเสวี่ยนเก็บพัดขนนกสีขาวในมือของเขาและโค้งคำนับด้วยความเคารพ เมื่อเขาจ้องมองไปยังชายชรา ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเคารพและยกย่องที่มาจากหัวใจ

ฉากนี้เกือบทำให้เฉินซีตกใจจนกรามค้าง อาจารย์อย่างนั้นหรือ? ‘อาจารย์ของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา? ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่ว่าชายชราผู้นี้มีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีหรือเหนือกว่าเลยหรือ!? เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชราคนนี้คือเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่อย่างสันโดษภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่เป็นดั่งตำนานของโลกภายนอกได้เลื่องลือ?’

แต่เหตุใดผู้บ่มเพาะที่ไร้ผู้ต้านเช่นนี้ถึงต้องการพบข้าโดยปราศจากเหตุผล?

ในขณะนี้เฉินซีไม่อาจสะกดอารมณ์ได้อีกต่อไป แค่การบ่มเพาะของเหวินเสวี่ยนก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจต่อต้านได้ แต่ในตอนนี้ตัวตนที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าเหวินเสวี่ยนได้ปรากฏตัวขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พวกเขาย่อมไม่อาจรักษาความสงบได้

“อืม” ชายชราพยักหน้าไปทางเหวินเสวี่ยน จากนั้นจ้องมองไปยังเฉินซี ในดวงตาที่ไม่แยแสของเขามีประกายแสงวูบวาบผิดปกติกะพริบอยู่ “ข้าชื่อเป่ยเหิง เป็นบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร น้องชาย เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเป่ยเหิง”

ร่างของเหวินเสวี่ยนแข็งค้างทันทีขณะกำลังเหลือบมองอาจารย์ของเขาด้วยความไม่อยากเชื่อ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดอาจารย์ถึงขอให้เขาพาเด็กหนุ่มคนนี้มายังพื้นที่หวงห้ามในภูเขาด้านหลังเป็นการส่วนตัว และยังสนทนากับเฉินซีราวเป็นสหายกัน ดังนั้นความตกใจที่ก่อขึ้นในใจเขาย่อมไม่อาจจินตนาการได้

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวที่คนอื่นไม่รู้? มันควรจะเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของเด็กหนุ่มเพียงอย่างเดียว จะถูกท่านอาจารย์ปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร? นับว่าโชคดีที่ข้าเจอเขาแล้วไม่ใช้กำลังและข้าก็ยังพอรับได้’ เหวินเสวี่ยนรู้สึกโชคดีอย่างยิ่ง และสายตาที่เขามองไปยังเฉินซีก็ดูซับซ้อนอย่างอธิบายไม่ได้

ในขณะนี้เอง เฉินซีก็รู้สึกตกใจไม่ได้ต่างกับเหวินเสวี่ยนเท่าไร ตัวตนอันน่าเกรงขามที่เรียกตนเองว่าบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการผูกมิตรราวกับว่าพวกเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน… เฉินซีรู้สึกว่าการเข้ามาในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรครั้งนี้แปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่อเกินไป

“มาเถิด ตามข้าไปที่ใจกลางทะเลสาบ” เป่ยเหิงยิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก เขาสะบัดแขนเสื้อและพลังที่ไร้รูปก็พาเฉินซีและเหวินเสวี่ยนหายไปจากริมทะเลสาบอย่างรวดเร็ว และเพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในศาลากลางทะเลสาบ

ศาลากลางทะเลสาบนี้สร้างจากหินสีฟ้าอมเทา โครงสร้างของมันดูธรรมดาและเรียบง่ายมาก และไม่ต่างอะไรกับศาลาพักผ่อนในโลกมนุษย์

ทว่าเมื่อมาถึงและมองไปยังข้างศาลาซึ่งมีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ ภาพที่เห็นกลับกลายเป็นเหมือนศาลาทั้งหลังเปล่งประกายด้วยกลิ่นอายที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ มันเหมือนกับกระดาษเปล่าที่ถูกสาดด้วยหมึกโดยจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นภาพวาดของภูเขาและแม่น้ำอันงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ ศาลาธรรมดานี้กลายเป็นสิ่งพิเศษในทันทีทันใดเนื่องจากการมีอยู่ของคนผู้นี้

คนผู้นี้คือชายหนุ่มรูปงามในชุดปักลายหรูหรา เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่นางก็มีเสน่ห์ตามธรรมชาติเป็นของตัวเอง นางสวย มีเสน่ห์ สง่างาม บุคลิกที่สง่างามของนางไม่มีใครเทียบได้

ในขณะนี้ ผู้เยาว์คนนั้นนั่งเท้าเปล่าอยู่ที่ริมศาลา เท้าคู่เล็ก ๆ ที่แวววาวราวกับหยกขาวของนางจุ่มอยู่ในน้ำของทะเลสาบสีฟ้า เท้าของนางสั่นและกระพือเมื่อฝูงปลาหลากสีล้อมรอบอย่างมีความสุขและจุมพิตที่เท้าขาวและบอบบางเหมือนหยก

เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินซี เป่ยเหิงหรือเหวินเสวี่ยน พวกเขาทั้งหมดต่างเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว และความคิดยุ่งเหยิงทั้งหมดในใจของพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้จิตใจของพวกเขาเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมสุดจะพรรณนา

สิ่งนี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาการบ่มเพาะเสน่ห์ที่ดึงล่อลวงวิญญาณของผู้คน แต่มันเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติที่แผ่ออกจากร่างของหญิงสาวผู้นี้ ซึ่งดึงดูดให้พวกเขาเวียนว่ายเข้าสู่ธรรมชาติและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลก มันเป็นความรู้สึกมหัศจรรย์ที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด

เฉินซีไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเวียนว่ายอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เขาราวกับเปลี่ยนร่างเป็นสายลมที่มีอิสระ มีความสุข มีชีวิตชีวา ปราศจากพันธะ ไร้ความแค้น ตัณหาและอารมณ์เชิงลบทั้งมวล…

เขาไม่ทันสังเกตว่าภายในจิตสำนึกของเขา พลังของดวงวิญญาณของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีชีวิตชีวา บริสุทธิ์ ควบแน่น ตกผลึก และโปร่งแสงอีกด้วย

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร

หญิงสาวในคราบชายหนุ่มรูปงามถอนเท้าออกจากทะเลสาบและค่อยสวมรองเท้า เมื่อนางลุกขึ้นยืน เป่ยเหิงก็ได้สติในทันที แต่ร่องรอยความปรารถนาก็ยังคงอยู่ในสายตาของเขา เขาประสานมือและกำลังจะกล่าว แต่กลับถูกหยุดโดยหญิงสาวสง่างามผู้นั้น นางชี้ไปที่เหวินเสวี่ยนและเฉินซีที่อยู่ใกล้เคียง

ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เหวินเสวี่ยนก็ตื่นจากบรรยากาศอันน่าอัศจรรย์ สีหน้าของเขางุนงง และดูเหมือนเขาจะคลั่งไคล้ราวกับว่าเขาเป็นบ้า ทันใดนั้น ดวงตาของเขาพลันสว่างขึ้น และเขาก็นั่งสมาธิบนพื้นทันทีก่อนที่จะหลับตาและโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขา

เมื่อเป่ยเหิงที่อยู่ใกล้เคียงเห็นฉากนี้ แม้ว่าหัวใจของเขาจะเป็นปกติ แต่ความอิจฉาก็ปรากฏขึ้นในแววตา และเขากล่าวกับตัวเองว่า ในตอนนี้ เสวี่ยนเอ๋อร์ได้พบกับโอกาสครั้งใหญ่โดยบังเอิญจากการที่ข้าพาเขามายังที่แห่งนี้

“ฮ่า!” ในสภาพที่ยุ่งเหยิง เฉินซีก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย ประหนึ่งระฆังยามเช้าดังก้องอยู่ในห้วงสำนึกของเขา ทำให้การรับรู้ ประสาทสัมผัสทั้งหก และจิตวิญญาณได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์และแหลมคมยิ่งขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาได้อย่างชัดเจน เช่น ลมจากภูเขา น้ำในทะเลสาบ ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบ… ทุกอย่างล้วนมีชีวิตชีวา ชัดเจนและน่าหลงใหลมาก

ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขามีตาทิพย์ ดวงตานี้สามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเขาได้อย่างชัดเจนและสามารถมองลงมายังทุกสิ่งจากฟากฟ้า ทำให้แม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่สุดก็ดูเหมือนราวกับว่ามันอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา

ญาณรับรู้เซียนหรือก็คือขั้นญาณศักดิ์สิทธิ์!

ในขณะนี้ การรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของเฉินซีอย่างเงียบงัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท