บทที่ 130 ฝึกดุเดือดก่อนลงสู่สังเวียน
บทที่ 130 ฝึกดุเดือดก่อนลงสู่สังเวียน
รุ่งเช้าวันใหม่
เฉินซีไม่รอช้าและรีบออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทันที เขาไม่ต้องหลีกหลบมหาค่ายกลคุ้มนิกายแล้ว เพราะเขาได้นำตราคำสั่งออกมาด้วย ซึ่งมันจะทำให้เขาสามารถเข้าสู่ค่ายกลได้ราวกับกำลังเดินทอดน่องอยู่ในลานบ้าน
ตราคำสั่งมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ มันถูกแกะสลักเป็นรูปกระบี่ขนาดจิ๋วสีสันสดใส เพียงเห็นแวบเดียวราวกับมีกระบี่เล่มน้อยกำลังจะทะยานออกมาจากตราคำสั่งได้อย่างน่าอัศจรรย์
เป่ยเหิงเป็นคนมอบตราคำสั่งนี้ให้แก่เฉินซี เพื่อให้เขาสามารถจรไปมาภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งยังทำให้ชายหนุ่มไปเยี่ยมเฉินฮ่าวได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย
‘เคราะห์ดีที่เป่ยเหิงจะยังไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับข้าจนกว่างานเทียบอันดับมังกรซ่อนจะจบลง ข้าจะได้เบาใจได้ว่าเวลาที่ข้าลงสนาม จะได้มีแผนสำรองสำหรับปกป้องเฉินฮ่าวเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้’ เฉินซีค่อย ๆ นึกทบทวนเรื่องที่ตนสนทนากับเป่ยเหิงเมื่อคืนก่อน และเมื่อมั่นใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงสงบสติอารมณ์ลงได้
“เฉินซี เจ้าจะฝากความหวังไว้กับตาแก่น่ารำคาญนั่นไม่ได้นะ” หลิงไป๋ที่อยู่บนหัวไหล่ของเฉินซีเอ่ยย้ำเตือนราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา
“ข้าไม่ทำแน่” ชายหนุ่มพยักหน้า และจู่ ๆ ก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้บางอย่างจึงถามกลับทันที “เออจริงสิ เจ้าสังเกตเห็นความแข็งแกร่งของสตรีที่ปลอมเป็นชายคนนั้นหรือไม่”
“น่ากลัวมาก น่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ!” แววตาของหลิงไป๋เผยให้เห็นความจริงจังขณะเอ่ยตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซีก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แม้จะมีส่วนสูงเพียงสิบกระเบียด แต่หลิงไป๋ตัวน้อยนั้นมีความภาคภูมิใจและทะนงในความแกร่งกล้าของตนเองสูงมากเสียจนไม่เกรงกลัวผู้ใด กระนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสตรีลึกลับคนนั้น หลิงไป๋กลับหวาดกลัวขึ้นมา อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าระดับบ่มเพาะของสตรีลึกลับผู้นั้นจะบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์หรือเหนือกว่าไปแล้ว?
“เฉินซี แล้วเจ้าไปเป็นศิษย์น้องเล็กของนางได้อย่างไร” หลิงไป๋กล่าวถามด้วยสีหน้างงงัน
เฉินซียักไหล่ “ข้าเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
“นี่พวกเรากำลังจะไปไหน” จู่ ๆ เด็กน้อยก็เปลี่ยนเรื่องและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พวกเราออกไปจับสัตว์อสูรมาย่างกินกันดีไหม”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้ งานเทียบอันดับมังกรซ่อนใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า” เฉินซีปฏิเสธเสียงเรียบโดยไม่สนใจสายตาแสดงความไม่พอใจของหลิงไป๋ จากนั้นชายหนุ่มก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อรีบไปยังเมืองทะเลสาบมังกร
…
ณ ห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลซู
ประมุขแห่งตระกูลซู… ซูเจิ่นเทียนยังนั่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อคืน ยามท้องฟ้าเริ่มสว่าง สีหน้าของเขาก็ยิ่งหม่นหมองด้วยความกังวลและความกังขา
“เจิ่นเทียน เป็นไปได้หรือว่าเฉินเอ๋อร์จะไม่ได้รับข้อความ?” ผู้อาวุโสสูงสุดซูหลิงเฟิงผู้มีรูปลักษณ์ประหนึ่งหนุ่มรุ่นเยาว์ถามเสียงเข้ม
“ไม่มีทาง คืนก่อนมีคำยืนยันมาว่าเขาได้รับแผ่นหยกกระแสจิตแล้ว ส่วนที่ว่าเหตุใดเขาจึงไม่จับเฉินฮ่าวกลับมานั้น…” ขณะตอบหัวคิ้วของซูเจิ่นเทียนก็ขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงแฝงด้วยความงุนงง “หรือว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดี?”
“ไม่มีทาง เจ้าเฉินฮ่าวน้องชายของเฉินซีถูกเนรเทศไปอยู่ที่ยอดเขามังกรอเวจีของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว ตอนนี้สถานะของมันไม่ต่างอะไรกับกุลีชั้นต่ำ การที่เฉินเอ๋อร์ไปจับตัวมันจึงไม่ควรยากกว่าพลิกฝ่ามือ แล้วเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” ซูหลิงเฟิงส่ายศีรษะปฏิเสธความเห็นนั้นอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนั้นเอง ซูเจียวเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ โดยไม่สนใจจะทักทายคนผู้เป็นบิดาและผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างตรงเข้าประเด็นทันที “ก่อนหน้ามีศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาที่นี่และนำแผ่นหยกกระแสจิตของพี่ใหญ่มาให้เราเจ้าค่ะ”
ซูเจิ่นเทียนและซูหลิงเฟิงหันไปสบตากันทันที หัวใจของทั้งสองกระตุกวูบด้วยลางสังหรณ์ร้าย
ซูเฉินเป็นศิษย์สายในของบรรพจารย์หลิงตู้ ถ้าเป็นในยามปกติการขอให้ช่วยนำบางอย่างกลับมาอาจเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ ทว่าเรื่องเมื่อคืนถือเป็นความลับสุดยอด ยามนี้เขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเอง แต่กลับส่งคนให้นำแผ่นหยกกระแสจิตกลับมาให้ตระกูล เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝันขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ซูเจิ่นเทียนฝืนข่มความรู้สึกว้าวุ่นใจ ขณะที่เขาถามเสียงต่ำ “แผ่นหยกมีข้อความว่าอะไร”
“พี่ชายข้าส่งข่าวมาว่า…” ซูเจียวมีท่าทีอึกอัก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะยินยอมและขุ่นเคือง “เขาบอกว่าเฉินฮ่าวได้เป็นศิษย์สายตรงของบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน และเพราะเหตุนี้เขาจึงถูกกักตัวไว้ในที่พำนักของบรรพจารย์ใหญ่”
‘บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอย่างนั้นหรือ!’ ซูเจิ่นเทียนตะลึงงัน ในฐานะผู้นำของหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร เขาย่อมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป และบางทีเขาก็รู้ในสิ่งที่คนในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ
เท่าที่รู้ เหวินเสวี่ยนคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ซึ่งมีความแข็งแกร่งน่ากลัวจนแม้แต่บรรพจารย์หลิงตู้ยังให้ความเคารพ โดยยกย่องให้เหวินเสวี่ยนเป็นผู้อาวุโส แต่เนื่องจากเหวินเสวี่ยนอาศัยอยู่บนภูเขาอย่างสันโดษมานานปี ดังนั้นชื่อเสียงของเขาจึงไม่เป็นที่โจษจันเท่าบรรพจารย์หลิงตู้ ทว่าหากมีใครกล้าดูหมิ่นเหวินเสวี่ยนผู้นี้ละก็ถือว่าผู้นั้นทำพลาดครั้งใหญ่
“เฉินเอ๋อร์ส่งข่าว…ว่าเฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของบรรพาจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอย่างนั้นหรือ…” ซูหลิงเฟิงพึมพำซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
แม้ว่าตอนนี้ตนจะได้รับเกียรติในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลซู ทว่าการบ่มเพาะของเขายังชะงักค้างอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ ซึ่งห่างจากขอบเขตจุติอีกเพียงก้าวเดียว แต่ถึงแม้เขาจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตจุติสำเร็จก็ยังด้อยกว่าบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าเฉินฮ่าวได้คนระดับเหวินเสวี่ยนเป็นอาจารย์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจรุนแรง
“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น มิเช่นนั้นเฉินเอ๋อร์ต้องจับตัวเฉินฮ่าวกลับมาที่ตระกูลเราตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว” ครู่ต่อมา ซูเจิ่นเทียนกลับมามีท่าทีสงบนิ่งดังเดิม จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาช้า ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าเกรงว่าวิธีที่จะใช้เฉินฮ่าวล่อให้พี่ชายของเขา…เฉินซีเข้ามาติดกับเห็นทีจะทำไม่ได้”
“บัดซบ! อย่างว่าแต่ทำไม่ได้เลย ถ้าเราทำให้พี่ชายของเขาพินาศ เฉินฮ่าวก็จะโกรธจัดและอาจถึงขั้นไปขอความช่วยเหลือจากบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลซูของเราต้านทานไม่ไหวแน่” เสียงแหลมเล็กของซูหลิงเฟิงเอ็ดตะโรลั่น
“หึ! ต้านไม่ไหวอย่างนั้นหรือ” ซูเจิ่นเทียนแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ผู้อาวุโสสูงสุด บางทีท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนบรรพชนของเราท่านได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้ว อีกทั้งยังรู้แจ้งเต๋าอย่างลึกซึ้ง ฉะนั้นหากมีการประมือกับบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนจริง บางทีผลที่เกิดขึ้นอาจจะสูสี ตราบใดที่มีท่านบรรพชนอยู่ทั้งคน เชื่อเถอะว่าเหวินเสวี่ยนก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
“บรรพชน…สำเร็จขอบเขตสถิตกายาแล้วอย่างนั้นหรือ และยังรู้แจ้งเต๋า…ขั้นลึกซึ้งด้วย” ดูเหมือนซูหลิงเฟิงจะนึกถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นมาในเวลานั้น แววตาจึงมองเหม่อไปไกลขณะกำลังครุ่นคิด
“เจียวเอ๋อร์ พี่ชายเจ้าบอกอะไรอีก” ซูเจิ่นเทียนเขม้นมองซูเจียว
ซูเจียวสูดลมหายใจก่อนจะตอบว่า “พี่ใหญ่ส่งข่าวว่าเฉินฮ่าวจะเข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนเช่นกัน ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ท่านพ่อฉวยจังหวะนี้เคลื่อนไหวจัดการกับเฉินฮ่าวเพราะเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด อีกอย่างเท่าที่ข้ารู้ เฉินซีก็เข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนเหมือนกัน บางทีเราน่าจะฉวยโอกาสกำจัดสองพี่น้องพร้อมกันเสียเลย”
“ไม่เลว ข้าก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน” ซูเจิ่นเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ในงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ผู้เข้าร่วมทั้งหมดจะถูกส่งไปที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ซึ่งคนภายนอกจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ตราบใดที่ศิษย์ของตระกูลซูที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนร่วมมือกัน พวกเขาจะสามารถกำจัดไอ้พี่น้องสองคนนี้ได้แน่”
“จริงที่สุด ที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นั้นเสมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่ง หากผู้เข้าร่วมไม่ทำลายยันต์เคลื่อนย้าย พวกเขาก็จะไม่สามารถหนีไปไหนได้ทั้งนั้น” ซูหลิงเฟิงพูดอย่างมีความหวัง “พวกเราเพียงต้องฉวยจังหวะก่อนที่สองพี่น้องจะสามารถทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของมันเองและจัดการฆ่าทั้งสองคน ถึงตอนนั้นพวกมันก็พูดไม่ได้แล้ว ท้ายที่สุด งานเทียบอันดับมังกรซ่อนมีผู้เข้าร่วมมากมายที่ล้มตายเป็นเรื่องปกติ”
“แต่ถ้าไม่สามารถจัดการสองคนนั้นก่อนที่พวกมันจะทำลายยันต์เคลื่อนย้าย ต่อไปพวกเราจะไม่มีโอกาสจัดการกับพวกมันอีกแล้วหรือเจ้าคะ” ซูเจียวนิ่วหน้า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเกิดขึ้นจากความร่วมมือของขุมกำลังหลายฝ่ายและตระกูลซูของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะดัดแปลงยันต์เคลื่อนย้ายของสองพี่น้องนั่น” ความโหดเหี้ยมฉายชัดบนใบหน้าของซูเจิ่นเทียน “มันกล้าสังหารผู้อาวุโสขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของตระกูลซูอีกหกคน ตระกูลซูของข้าจะเชิดหน้าอยู่ที่เมืองทะเลสาบมังกรต่อไปได้อย่างไร หากไม่รีบกำจัดพี่น้องคู่นี้ทิ้ง!”
…
เมื่อเฉินซีกลับเข้าไปในลานจวนอันสงบเงียบที่ต้วนมู่เจ๋อเป็นคนตระเตรียมไว้ ชายหนุ่มจึงได้พบว่าพวกตู้ชิงซีกำลังรอเขาอยู่ หลังจากถามไถ่กันเป็นที่เรียบร้อย จึงได้รู้ว่าทั้งสามคนก็เข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนด้วยเช่นกัน คนทั้งหมดจึงคิดจะใช้เวลาก่อนถึงงานเทียบอันดับมังกรซ่อน เพื่อฝึกบ่มเพาะภายในกลุ่มของพวกตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาพาเฉินซีไปเที่ยวชมเมืองทะเลสาบมังกร
ทว่าการตัดสินใจนี้บังเอิญกลับสอดคล้องกับความคิดของเฉินซีเช่นกัน เพราะเขาเองก็ต้องการใช้ช่วงเวลานี้เพื่อเตรียมตัวสำหรับงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ส่วนเรื่องท่องเที่ยวในเมืองทะเลสาบมังกรนั้นสำคัญน้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนี้เมื่อว่างแล้วค่อยหาโอกาสเที่ยวก็ยังไม่สาย
หลังจากสนทนาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ และกฎเกณฑ์บางอย่างที่ต้องให้ความสนใจของงานเทียบอันดับมังกรซ่อนแล้ว พวกตู้ชิงซีก็แยกย้ายกลับไป
จากนั้นเฉินซีไม่มัวชักช้า เขานั่งลงขัดสมาธิบนเตียงและตั้งใจที่จะเริ่มฝึกฝน แต่ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่นและหยุดชะงักไป
‘ในตอนนี้ปราณภายในของข้าได้ถูกขัดเกลาจนก้าวขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดารา ส่วนร่างกายของข้าก็พัฒนาไปถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดาราเมื่อไม่นานมานี้ ขณะนี้มีเวลาแค่ครึ่งเดือน การบ่มเพาะขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่าจึงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเช่นนั้นแทนที่ข้าจะเสียเวลาโดยใช่เหตุสู้ข้าเอาเวลาไปฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้น่าจะเหมาะสมกว่า’
‘นอกจากค่ายกลธารประทีปเลือนกระแสที่ตั้งขึ้นจากแปดกระบี่ท่องปรภพ และเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องแล้ว ข้าก็มีแค่ฝ่ามือมหาดาราที่สามารถใช้ต่อสู้กับศัตรูได้เท่านั้น ซึ่งมันถือเป็นไพ่ตายใบสำคัญ ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็น ข้าก็ไม่ควรเปิดเผยจะดีกว่า…’ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ
งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผู้บ่มเพาะในอาณาเขตทางตอนใต้ที่จะได้เก็บประสบการณ์หรือได้เรียนรู้จากการแข่งขันกับเหล่ายอดอัจฉริยะที่มีจำนวนมากมายราวก้อนเมฆ ยกตัวอย่างเช่น หลินเส้าฉีและถังสวี่ที่เฉินซีเคยเอาชนะเมื่อคราวพบกัน ณ ศาลาชุมนุมเซียน พวกเขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะอันดับต้น ๆ ในหมู่ผู้บ่มเพาะจากนอกเมืองทะเลสาบมังกร เมื่อเปรียบเทียบกับยอดอัจฉริยะจากแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่แล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสามด้อยกว่าอยู่หนึ่งระดับ
ก่อนหน้านี้ที่ได้สนทนากับพวกตู้ชิงซี ทำให้เฉินซีได้เรียนรู้เกี่ยวกับยอดอัจฉริยะหลายคนที่เข้ามาร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนครั้งนี้ มีทั้งคนที่ชื่อชิวเหลิ่งจากนิกายสุริยันครามที่มีฉายาว่ากระบี่ไร้ลักษณ์ ยังมีศิษย์อันดับหนึ่งแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่ชื่อเฟยเหลิ่งชุ่ย และหลัวซิ่ว ศิษย์ระดับพระกาฬแห่งหุบเขาดารา…
ยอดอัจฉริยะรุ่นใหม่เกือบทุกคนล้วนมีระดับการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดาราทั้งสิ้น และด้วยพรสวรรค์อันเลิศล้ำ จึงทำให้ความเข้าใจเต๋าของอัจฉริยะเหล่านี้ไม่ธรรมดา
สาเหตุที่เหล่ายอดอัจฉริยะเข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนเป็นเพราะต้องการให้ตนเองกลายเป็นที่รู้จักในอาณาเขตทางตอนใต้ พวกเขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนและเป็นที่พึงพอใจของกองกำลังที่หนุนหลังพวกเขาอยู่
ทว่าเฉินซีไม่ได้สนใจชื่อเสียงเหล่านี้ แต่เขาจำต้องรับรู้เกี่ยวกับคนรุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมการแข่งขันอย่างจริงจัง สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องแบกความรับผิดชอบในการดูแลน้องชายอย่างเฉินฮ่าวด้วย
แรกเริ่มเดิมทีเฉินซีไม่เคยวิตกว่าเฉินฮ่าวจะเข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อน เพราะเด็กหนุ่มเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และถึงแม้ตนจะถูกกำจัด น้องชายก็ไม่มีทางได้รับอันตรายแต่อย่างใด
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เนื่องจากการที่เขามีศัตรูซึ่งก็คือตระกูลซู จึงทำให้เฉินซีชักจะรู้สึกไม่ดีว่างานเทียบอันดับมังกรซ่อนหนนี้อาจจะไม่ง่ายสำหรับเขาและเฉินฮ่าวก็เป็นได้
‘บางที ตอนนี้ตระกูลซูอาจจะรู้เรื่องที่เฉินฮ่าวได้เป็นศิษย์ของบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนแล้ว แต่ระหว่างงานเทียบอันดับมังกรซ่อนทุกครั้งจะมีการเสียชีวิตของศิษย์อยู่บ่อยครั้ง ถ้าตระกูลซูฉวยโอกาสนี้ตามล่าทั้งข้าและเฉินฮ่าว เมื่อนั้นจะเป็นอันตราย…’
เฉินซีสูดลมหายใจและสะบัดศีรษะแรง ๆ ขับไล่ความคิดที่ฟุ้งซ่านที่เข้ามารบกวนจิตใจให้หมดไป ‘ข้าต้องต้านทานและยับยั้งทุกอย่างที่เข้ามาหา ตอนนี้ถึงคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์’
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พลันกระบี่บินระดับมนุษย์ชั้นสูงจำนวน 56 เล่มซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณเคลื่อนลงมาใกล้พื้นเบื้องหน้า เฉินซีนึกถึงทักษะค่ายกลธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สองอีกครั้ง จากนั้นเขาก็คว้ากระบี่ขึ้นมาก่อนจะแทงเข้าที่ปลายนิ้วของตนเองและเริ่มวาดยันต์อักขระด้วยโลหิตของตัวเองลงไปบนพื้นผิวของกระบี่
ใช่แล้ว! เขาต้องเชื่อมโยงกระบี่บินทั้ง 56 เล่มนี้เข้าด้วยกัน เมื่อรวมกับกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดของเขาจึงจะสามารถประสานกระบี่ทั้งหมด 64 เล่มเข้าด้วยกันเพื่อฝึกค่ายกลธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สอง!
หลังจากเลื่อนระดับดวงวิญญาณตนเองไปจนบรรลุระดับญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว เวลานี้ญาณสัมผัสของเฉินซีไม่ได้ด้อยกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแม้แต่น้อย และด้วยเหตุนี้เขาแทบไม่ลำบากเลยกับการควบคุมกระบี่บิน 64 เล่ม
แต่มันสูบปราณแท้ได้น่ากลัวนัก
เพราะในบรรดากระบี่บินทั้ง 64 เล่ม ก็เป็นกระบี่ระดับมนุษย์ขั้นสูงสุดราวแปดเล่ม และที่เหลืออีก 56 เล่มก็เป็นกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูง ดังนั้นหากเขาจะกระตุ้นค่ายกลธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สอง การเผาผลาญปราณแท้จะน้อยนิดไปได้อย่างไร?