บทที่ 131 งานจัดอันดับมังกรซ่อนเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
บทที่ 131 งานจัดอันดับมังกรซ่อนเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
เฉินซีซื้อค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ แม้ว่ามันจะเป็นแผนภาพค่ายกลกระบี่ระดับลึกล้ำที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีราคาถึงสองแสนชั่งของวารีวิญญาณ ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงยิ่งนัก
แต่อานุภาพของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสนั้นคู่ควรกับราคาเช่นนี้จริง ๆ
แค่ขั้นแรกของมันก็สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้
หลังจากบ่มเพาะจนถึงขั้นที่สองแล้ว การต่อสู้กับผู้บ่มเพาะ ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป!
แต่ด้วยการบ่มเพาะของเฉินซีในปัจจุบัน เขาสามารถเรียกใช้ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสในขั้นที่สองอย่างมากที่สุดก็ประมาณสามครั้ง หลังจากนั้น ปราณแท้ของเขาก็จะเหือดแห้ง และไม่อาจเกื้อหนุนเขาได้อีก
‘ถ้าข้าสามารถบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้ ข้าก็สามารถใช้ค่ายกลกระบี่ขั้นที่สองได้อย่างไม่ต้องกังวล’ เฉินซีวาดอักขระจ้าววิญญาณบนกระบี่บินขณะที่เขาครุ่นคิด
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป สีหน้าของเฉินซีก็ซีดเผือดลง ร่างกายของเขาอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
การใช้แก่นโลหิตเพื่อวาดอักขระจ้าววิญญาณเป็นการเผาผลาญทั้งปราณแท้และทรมานร่างกายอย่างมาก โชคดีที่เขาได้บรรลุการขัดเกลาร่างกายจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดาราแล้ว จึงมีพละกำลังและพลังชีวิตเปี่ยมล้น
อันที่จริง นี่ไม่ใช่ข้อดีเพียงอย่างเดียวหลังจากที่ร่างกายของเขาบรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล เมื่อใดที่เขาโคจรเคล็ดวิชาบ่มเพาะ ร่างกาย ผิวหนังของเขาจะกล้าแกร่งขึ้นและปราณจ้าววิญญาณจะไหลเวียนในร่างกายของเขาอย่างรุนแรง สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของเขาสามารถต้านทานศัสตราวิเศษได้ แม้แต่กระบี่บินระดับมนุษย์ก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้
“จงตื่นขึ้น!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงกระบี่ดังพ้องกันเหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่าภายในห้องที่เงียบสงบ ขณะนี้กระบี่บินทั้ง 64 เล่มลอยขึ้นภายใต้การควบคุมของเฉินซี ก่อนที่กระบี่บินทุก ๆ แปดเล่มจะก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดเล็ก จากนั้นค่ายกลกระบี่ขนาดเล็กทั้งแปดจะประสานซึ่งกันและกันกลายเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดใหญ่
เมื่อมองจากระยะไกล ค่ายกลกระบี่ขนาดใหญ่นี้เหมือนกับแผนภาพไทเก็กที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศอย่างไร้ที่สิ้นสุด ดูกว้างใหญ่และทรงพลังยิ่ง
“ลมลืมเลือนเป็นดั่งพื้นผิว ธารประทีปเป็นรากฐาน เสาทั้งแปดยังคงไม่เคลื่อน กลายเป็นหนึ่งเดียว!” เฉินซีตะโกนเสียงดัง และกระบี่บินทั้ง 64 เล่มที่อยู่กลางอากาศก็หมุนรอบตัวเขาขณะที่พวกมันปล่อยกลิ่นอายแหลมคมที่ไร้รูปร่างและสั่นไหว อีกทั้งพวกมันยังเปล่งประกายแสงกระบี่ที่ผันผวนอย่างไม่มีสิ้นสุด ทำให้เกิดเสียงฟู่ออกมาจากอากาศที่ถูกมันเฉือน พวกมันเหมือนกับกลุ่มศัสตราที่กำลังสะสมพลังในขณะที่รอการใช้งาน และปรารถนาที่จะดื่มเลือดสด ๆ เพื่อความพึงพอใจ
หลิงไป๋เอามือกอดอกขณะที่เขาเฝ้าดู และพยักหน้ากับตัวเอง นี่ไม่ใช่การควบคุมกระบี่บินแค่แปดเล่ม แต่เป็นกระบี่บินทั้ง 64 เล่ม
ด้วยคุณภาพของกระบี่บินทุกเล่มในระดับมนุษย์ขั้นสูงหรือสุดยอด เฉินซียังคงสามารถสร้างค่ายกลกระบี่ได้อย่างไหลลื่น นี่เป็นผลงานที่พิเศษและยอดเยี่ยม หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนอื่น ไม่ต้องกล่าวถึงการสร้างค่ายกลกระบี่ แม้แต่การควบคุมกระบี่เหล่านี้ให้บินพร้อม ๆ กันก็นับว่ายากเย็นยิ่งนัก
ในแง่ของความแข็งแกร่ง พลังของค่ายกลกระบี่ของเฉินซีตอนนี้สามารถทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหวาดกลัวจนขนหัวลุก หลิงไป๋เป็นวิญญาณแห่งกระบี่ที่มีอายุนับหมื่นปี และตัวเขาเองก็ได้รับสืบทอดอภิมหากระบี่แดนนิพพาน ดังนั้นสายตาของเขาจึงเฉียบแหลมอย่างมาก และสามารถประเมินพลังของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สองได้ในทันที
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป
เม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเฉินซี และจากนั้นเขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ทำให้กระบี่บินทั้ง 64 เล่มหล่นลงมากระแทกกับพื้นโดยตรง
‘ด้วยการบ่มเพาะของข้าในปัจจุบัน การใช้ค่ายกลกระบี่ขั้นที่สองนั้นยากเย็นเกินไป เมื่อข้าออกแรงอย่างเต็มกำลัง จะสามารถใช้พวกมันได้สูงสุดประมาณสี่ครั้งเท่านั้น จากนั้นพละกำลังของข้าจะถดถอยและไม่อาจทำอะไรได้อีก…’
“เฉินซี ค่ายกลกระบี่ของเจ้าทำให้ข้านึกถึงค่ายกลกระบี่พันจันทราเลือนกระแสที่มีอยู่เมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว ค่ายกลกระบี่นั้นก่อตัวขึ้นจากกระบี่บินกว่าสี่พันเล่ม และทันทีที่มันถูกเปิดใช้งาน ปราณกระบี่จะกวาดไปทุกทิศทุกทางและพุ่งสู่ท้องฟ้า ประหนึ่งคล้ายดวงจันทร์ที่สว่างไสวนับพันดวง ในทุก ๆ จันทร์เพ็ญ มันจะสามารถกระตุ้นให้กระแสน้ำขึ้นและลงได้ และก็สามารถต่อกรกับศัสตราวิเศษระดับสวรรค์และกำจัดทุกสิ่ง” หลิงไป๋ครุ่นคิดขณะที่เขากล่าว “ข้าได้ยินที่เจ้ากล่าวว่าค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสนี้เป็นเพียงแผนภาพค่ายกลกระบี่ที่ยังไม่สมบูรณ์ บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับค่ายกลที่ข้าเอ่ยถึง”
“เจ้ารู้วิธีการบ่มเพาะของค่ายกลนั้นหรือไม่” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ เขาพึงพอใจกับพลังของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสนี้เป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเขาคิดว่าแค่ขั้นที่สองก็สามารถต่อกรกับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้แล้ว ดังนั้นขั้นที่สามและขั้นที่สี่ล่ะ? พวกมันจะไม่ทรงพลังมากกว่านี้หรือ?
“ค่ายกลกระบี่นั้นคือมรดกลับของนิกายกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เมื่อหมื่นปีก่อน เดิมทีอาจารย์ของข้าต้องการแลกเปลี่ยนมันกับค่ายกลกระบี่นิพพานทศทิศของเขา แต่น่าเสียดายที่ถูกปฏิเสธ” หลิงไป๋ส่ายศีรษะขณะที่เขากล่าว
เฉินซีส่ายศีรษะอย่างผิดหวังเล็กน้อย และไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะรู้สึกพอใจแล้ว ท้ายที่สุด ด้วยพลังขั้นที่สองของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสก็เพียงพอที่จะให้เขาใช้ไปได้อีกสักพัก
“เฉินซี ไม่ว่าพลังของค่ายกลกระบี่จะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ได้แยกออกจากเส้นทางที่แท้จริงของเต๋าแห่งกระบี่ เพราะท้ายที่สุด มีเพียงความตั้งใจมุ่งมั่นและแน่วแน่ในการบ่มเพาะกระบี่เท่านั้น จึงจะบรรลุเต๋าแห่งกระบี่อันยิ่งใหญ่ไปสู่ขั้นที่เหนือกว่า เมื่อนั้นก็จะสามารถทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ทั้งสังหารเทพ ทำลายล้างมารด้วยพลังที่ทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง” หลิงไป๋เตือนเขาด้วยเจตนาดี
“ข้าเข้าใจ” เฉินซีพยักหน้า เขานึกถึงตอนที่เขาเห็นเฉินฮ่าวเมื่อคืนก่อน เขาจำได้ว่าบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนกล่าวว่าการบ่มเพาะกระบี่นั้นต้องบ่มเพาะหัวใจเสียก่อน นั่นคือหลักการที่อยู่เบื้องหลังการรู้แจ้งหัวใจกระบี่ ตอนนี้เขารวมมันเข้ากับสิ่งที่หลิงไป๋กล่าวถึง มันทำให้เขาบรรลุเต๋าแห่งกระบี่ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมทันที
ผู้บ่มเพาะกระบี่ต้องการเพียงกระบี่เล่มเดียวในการกวาดล้างทุกแดนดินโดยปราศจากความยับยั้งชั่งใจ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? เนื่องจากผู้บ่มเพาะกระบี่มีความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ดังนั้นผู้บ่มเพาะกระบี่จึงทรงอานุภาพเป็นอย่างมาก!
ในช่วงครึ่งเดือนต่อมา เฉินซีเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นอกจากการบ่มเพาะประจำวันและแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชากระบี่กับหลิงไป๋แล้ว เขายังคงอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน ในขณะที่เขาทำจิตใจให้กระจ่างเพื่อเข้าใจแก่นแท้และความลึกซึ้งของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สอง
การใช้ค่ายกลกระบี่ไม่นับว่ายาก แต่วิธีใช้ค่ายกลกระบี่อย่างเต็มกำลังนั้นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง และต้องใช้การไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพื่อทำความเข้าใจ
การจัดอันดับมังกรซ่อนใกล้เข้ามาทุกที
วันนี้อากาศหนาวจัดและมีลมพัดผ่านท้องฟ้าตลอดทั้งคืน เกล็ดหิมะขนาดใหญ่โปรยปรายลงมาบนโลกมากมาย ทำให้เมืองทะเลสาบมังกรทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยสีขาวจนกลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะ
“หิมะตกหนักมาก!” เฉินซีเดินไปที่ลานบ้านด้วยเสื้อคลุมยาวบาง ๆ แต่เขาไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย หิมะบนพื้นหนาถึงสิบสองชุ่น จึงทำให้เกิดเสียงเมื่อเหยียบย่ำ อากาศเย็นยะเยือกยังคงจู่โจมเขา แต่การได้เห็นหิมะทำให้หัวใจและวิญญาณของเขารู้สึกสดชื่น
“เฮ้ เจ้าสัตว์ร้าย อย่าได้ขัดขืนและยอมให้ข้าจับโดยเร็ว!” ที่ด้านข้าง หลิงไป๋ตะโกนขณะวิ่งไล่ตามไป๋คุย และพวกเขากำลังเล่นภายใต้โลกแห่งน้ำแข็งและหิมะด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง
เฉินซียิ้มบาง ๆ แต่ทันใดนั้น ลูกบอลหิมะกำลังพุ่งเข้าใส่ใบหน้า และเมื่อเขาไม่ทันตั้งตัว มันก็กระแทกเข้ากับใบหน้าของเขาอย่างแรง ในตอนนั้น หิมะกำลังโปรยปรายลงมาสู่ร่างของเขา จึงทำให้สภาพของเขาในตอนนี้ดูไม่ค่อยได้
“ฮ่า ๆๆ…” หลิงไป๋ปรบมือและหัวเราะลั่นจากระยะไกล
“ฮึ่ม! ข้าจะฝังเจ้าซะ!” เฉินซีคว้าก้อนหิมะขนาดเท่าหินโม่ขึ้นมา แล้วขว้างไปที่หลิงไป๋
หลิงไป๋ไม่ยอมอยู่เฉยเมื่อถูกโจมตี ร่างของเขาสว่างวาบและหลบทันที โดยไม่คาดคิด ในขณะนี้เองที่ประตูลานบ้านถูกใครบางคนเปิดออกอย่างกะทันหัน ต้วนมู่เจ๋อก็เดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น เขากำลังอ้าปากและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่า เมื่อเขาเห็นวัตถุสีขาวพุ่งตรงมาที่ใบหน้า ก็เกิดเสียงโครมคราม ก้อนหิมะได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ กลบฝังร่างของต้วนมู่เจ๋อไว้ข้างใน
“เอ๊ะ ต้วนมู่หายไปไหน?” ตู้ชิงซีกับซ่งหลินซึ่งเข้ามาหลังจากต้วนมู่เจ๋อตกตะลึง ขณะหันหน้ามองไปรอบ ๆ
เฉินซีไม่อาจทนได้อีกต่อไปและเริ่มหัวเราะเสียงดังเมื่อเขาเห็นฉากนี้
“ถุย! ถุย! ถุย!” ต้วนมู่เจ๋อโผล่หัวออกมาจากกองหิมะและพ่นหิมะในปากอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็ร้องออกมาว่า “หนอย เฉินซี เจ้ากล้าลอบโจมตีข้าจริง ๆ ข้าจะเตะก้นเจ้าซะ”
ปัง! ปัง! ปัง!
ชั่วขณะหนึ่ง ก้อนหิมะลอยไปมาภายในลานบ้าน เกิดสงครามหิมะระหว่างต้วนมู่เจ๋อและเฉินซีราวกับมังกรหิมะกำลังคำราม
แต่เนื่องจากลานบ้านมีขนาดเล็กเกินไป การละเล่นจึงแผ่ขยายไปยังตู้ชิงซีและซ่งหลินอย่างรวดเร็ว อันที่จริง คนทั้งคู่อยากร่วมสนุกกันตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมสงครามหิมะในทันที ฝ่ายหนึ่งต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินซี อีกฝ่ายหนึ่งตั้งพันธมิตรกับต้วนมู่เจ๋อ พวกเขาปาหิมะใส่กันอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของความเป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลใหญ่
“ข้าพอแล้ว! วิชาตัวเบาของเจ้าเฉินซีรวดเร็วเกินไป อีกทั้งซ่งหลินก็จงใจช่วยอีก เราถูกเล่นงานแต่ฝ่ายเดียว มันไม่ยุติธรรมเลย!” หลังจากนั้นไม่นาน ต้วนมู่เจ๋อซึ่งมีใบหน้าปกคลุมไปด้วยหิมะก็ถอนตัวออกจากการต่อสู้อย่างไม่ค่อยพอใจ จึงเหลือซ่งหลินคนเดียวซึ่งทำอะไรไม่ถูก ก็เลยยอมรับความพ่ายแพ้ไป
เมื่อถึงจุดนี้เฉินซีและตู้ชิงซีได้กลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
“ทำไมเจ้าถึงไม่เล่นอีกล่ะ มาเถอะ มาเล่นกันอีกรอบ!” ตู้ชิงซีเม้มปากของนางด้วยความไม่พอใจ ขณะที่นางอยากจะเล่นต่ออย่างกระตือรือร้น เวลานี้ นางเหมือนเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ขี้เล่น อีกทั้งยังไม่มีท่าทีสง่างามอันเยือกเย็นและเงียบสงบอีกต่อไป
ต้วนมู่เจ๋อกลอกตามาไปมาขณะที่ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ เว้นแต่เจ้าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า!”
“ก็ได้!” ตู้ชิงซีกลอกตาไปที่ต้วนมู่เจ๋อ
“หน่อมแน้ม เจ้าสองคนนี่มันเด็กจริง ๆ” ซ่งหลินพึมพำจากด้านข้าง
“ว่าแต่ ทำไมวันนี้พวกเจ้าถึงมาหาข้ากันล่ะ?” เฉินซีรู้สึกว่าการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ดูเหมือนเด็กน้อยเช่นกัน ในตอนนี้ เมื่อเขาคิดถึงเรื่องสำคัญ เขาก็รู้สึกขบขันและเขินอายในเวลาเดียวกัน จากนั้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ก็ต้องเป็นเพราะเรื่องที่จะเข้าร่วมงานจัดอันดับมังกรซ่อนอยู่แล้ว” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “เวรแล้ว! เราเสียเวลาไปมากแล้ว รีบไปกันเถอะ ถ้าช้ากว่านี้จะไปไม่ทัน!”
‘งานจัดอันดับมังกรซ่อนคือวันนี้หรือ?’ เฉินซีนับเวลาในใจและก็ตกใจทันที จากนั้นเขาจึงรีบออกไปพร้อมกับพวกตู้ชิงซี
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่ปกคลุมท้องฟ้า เสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกรอยู่เนิ่นนาน
เมื่อพวกเฉินซีเดินออกจากลานบ้าน พวกเขาก็เห็นผู้คนบนท้องถนนต่างรีบไปที่ใจกลางเมืองทะเลสาบมังกร หากมีใครมองลงมาจากท้องฟ้า จะสังเกตเห็นว่ากระแสคลื่นมนุษย์กำลังรวมตัวกันที่ใจกลางเมืองจากทุกทิศทุกทาง
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมงานจัดอันดับมังกรซ่อน เนื่องจากไม่แข็งแกร่งพอหรืออายุเกินเกณฑ์ แต่พวกเขาสามารถไปที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์เพื่อเฝ้าดูอย่างตั้งใจและใช้สิ่งที่เห็นมาปรับปรุงการบ่มเพาะของตนเอง
“ข้าได้ยินมาว่าจำนวนคนที่เข้าร่วมงานจัดอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้มีมากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าหมื่นคน และในจำนวนนี้มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแต่ช้านาน เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หาดูได้ยากในรอบพันปี และหากพลาดไปก็น่าเสียดายเหลือเกิน”
“ใช่ ข้าได้ยินมาว่าแทบทุกคนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นงานชุมนุมของบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่มีอัจฉริยะมากมายเข้าร่วมราวกับมวลเมฆบนท้องฟ้า”
“การชุมนุมดาวรุ่งของราชวงศ์ซ่งที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หลังจากการจัดอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้ ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดเท่านั้น จึงจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของดินแดนทางใต้ของเราเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งของราชวงศ์ซ่ง ข้าสงสัยว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับสิทธินี้และได้ประลองกับอัจฉริยะจากทุกมุมโลก”
“พวกเจ้าเคยได้ยินคนชื่อเฉินซีไหม? เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้สังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซู และวันนี้เขายังกล้าเข้าร่วมในการจัดอันดับมังกรซ่อนด้วย! ข้าคิดว่าเขาต้องติดสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน”
“เชอะ! ข่าวของเจ้ามันเก่าไปแล้ว ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เฉินซีได้เอาชนะอัจฉริยะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดารา ณ ศาลาชุมนุมเซียน ก่อนที่จะใช้เคล็ดวิชากระบี่ที่ลึกซึ้งเพื่อทำลายล้างปรมาจารย์ที่มีทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร ถือว่าเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้แต่เซี่ยจ้านของตระกูลเซี่ยก็ไม่อยากจะเป็นศัตรูด้วย”
“โอ้ ไม่แปลกใจเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ เฉินซีก็มีศักยภาพพอที่จะก้าวไปสู่สิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน”
“ฮึ่ม! สิบอันดับเรอะ? ข้ากลัวว่ามันจะตายซะก่อนน่ะสิ! คนผู้นี้สร้างปัญหาไปทั่ว เขาทำให้ตระกูลซูขุ่นเคือง ตอนนี้ก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับอัจฉริยะน้อยของตระกูลเซี่ยอีก อีกทั้ง ในครั้งนี้มีศิษย์ตระกูลซูมากกว่าร้อยคนที่เข้าร่วมการจัดอันดับมังกรซ่อน เจ้าคิดว่าพวกเขาจะปล่อยมันไปจริง ๆ หรือ?”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน ตระกูลซูได้กระจายข่าวออกไปแล้วว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำให้เฉินซียอมรับความพ่ายแพ้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ พวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นวารีวิญญาณสองแสนห้าหมื่นชั่ง รวมไปถึงศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดสามชิ้น!”
…
ในฝูงคนที่วิ่งไปมาบนท้องถนน การสนทนาต่าง ๆ ได้แว่วเข้ามาในหูของเฉินซี แต่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ไม่มีความสุขหรือความเศร้า ทว่ากลับบริสุทธิ์และเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งหรือหิมะ
ไกลออกไป เขาเห็นเจดีย์สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองทะเลสาบมังกร เจดีย์นี้มีสีขาวบริสุทธิ์ราวกับสร้างจากหินหยก ภายใต้หิมะที่โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า มันช่างดูพิเศษและศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน