บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 138 ลงมือ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 138 ลงมือ!

บทที่ 138 ลงมือ!

เมื่อเห็นเฉินฮ่าวและศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกเจ็ดคนติดอยู่ในวงล้อม เฉินซีก็ยังไม่ได้รีบเข้าไปช่วย

เนื่องจากศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคนได้รวมตัวล้อมกันเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศ กำลังสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ที่แลดูแปลกประหลาด ซึ่งดูคล้ายกับมังกรที่อาบไปด้วยแสงอันไร้ขอบเขตและมีขนาดยาวอย่างยิ่งยวด อีกทั้งพลังทั้งหมดของศิษย์เหล่านั้นได้รวมตัวกันจนปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ซึ่งสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้

สิ่งนี้เองทำให้เฉินซีไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่น ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สงสัยเป็นอย่างมากว่า เหตุใดเฉินฮ่าวและศิษย์ทั้งเจ็ดจึงสามารถยืนหยัดได้นานขนาดนี้

ในสนามรบ เฉินฮ่าวถือกระบี่ในมือซ้ายและฟันลงมาอย่างรวดเร็ว

มันเป็นการฟันที่เรียบง่ายมาก แต่ก็ทรงพลังและเที่ยงธรรม เต็มไปด้วยรัศมีอันเย็นยะเยือกพุ่งไปข้างหน้าด้วยเจตจำนงที่ไม่ย่อท้อ ในเวลานี้เอง ทุก ๆ ที่ที่ปราณกระบี่ผ่านพ้นไป กระแสลมบนท้องฟ้าจะเริ่มปั่นป่วนและพังทลายลง อีกทั้งยังเผยให้เห็นร่องรอยของการเผาไหม้จาง ๆ ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังจะถูกเผา

ปัง!

มันเหมือนกับว่าพวกเขาถูกทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำกระแทกใส่อย่างรุนแรง และขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นของศิษย์ตระกูลซูกว่าร้อยคนก็สั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน

จากนั้นคลื่นเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจและโทสะได้ดังขึ้น ราวกับว่ามีใครบางคนสูญเสียครั้งใหญ่จากการโจมตีครั้งนี้

“ศิษย์น้องฟันได้ดี!” หญิงสาวในชุดสีขาวที่ประดับเรือนผมด้วยปิ่นปักผมรูปหงส์เพลิงและภาพลักษณ์อันสง่างามราวกับภาพวาดที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินฮ่าวอุทานออกมา

ขณะที่นางพูด อาวุธคู่หนึ่งซึ่งเหมือนดาบแต่ก็ไม่ใช่ จะว่าเหมือนกระบี่ก็ไม่เชิง ปรากฏขึ้นในมืออันบอบบางของหญิงสาวในชุดขาว ใบมีดของอาวุธนี่มีรูปร่างเหมือนฟันปล่อยพลังที่ดุร้ายอย่างไร้ขอบเขต

นี่คือศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดคู่หนึ่งที่มีนามว่า ‘ดาบคู่อัสนีผสาน’ เล่มหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกเล่มเป็นสีม่วง และเป็นอาวุธคู่ซึ่งประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้มอบให้กับหญิงสาวในชุดขาว

ว่ากันว่า เมื่อหลายปีก่อน ดาบคู่อัสนีผสานนี้เคยเป็นศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ ซึ่งผู้อาวุโสแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเคยใช้กำจัดปรมาจารย์นับไม่ถ้วนมาแล้ว ทำให้ความคับแค้นของผู้ที่ถูกสังหารนับไม่ถ้วนสถิตอยู่ในดาบคู่นี้ มันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ดุร้ายและไร้ความปรานี แต่เนื่องจากผู้อาวุโสคนนั้นใช้มันสังหารผู้คนไปมากมาย ในยามที่เขาพยายามท้าทายภัยพิบัติจากสวรรค์ เขาจึงถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ด้วยพลังแห่งอสนีบาต ไม่เพียงแต่เขาจะเสียชีวิตเท่านั้น แต่กลับทำให้ดาบคู่อัสนีผสานต้องเสียหายอย่างหนัก จนลดระดับจากระดับสวรรค์เหลือเพียงระดับมนุษย์

ถึงกระนั้น ในบรรดาศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ ดาบคู่อัสนีผสานก็ยังคงอยู่ในระดับสูงสุด และพวกมันก็ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

“หิมะโปรยปรายพันโยชน์!” เจตนาฆ่าฟันแวบผ่านแววตาของหญิงสาวที่สวมชุดขาว เพียงชั่วพริบตา ปราณดาบจำนวนมหาศาลก็แทงออกไป พวกมันเป็นเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมาสู่สวรรค์และโลก ปราณดาบทุกสายมีทั้งสีฟ้าและสีม่วง พวกมันมีขนาดเท่าฝ่ามือ ในขณะที่พวกมันโปรยปรายลงมา ราวกับหิมะที่ลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ได้ปลดปล่อยอานุภาพอันดุร้ายซึ่งไม่อาจต้านทานได้ออกมา

ปัง! ปัง! ปัง!

ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบนค่ายกลขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นโดยศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคน ใบมีดสีฟ้าและสีม่วงที่มีขนาดเท่าฝ่ามือพลันพุ่งลงมาเหมือนสายฟ้าที่เกรี้ยวกราด รุนแรงและเย็นเฉียบ พวกมันทำให้เกิดประกายไฟกระจายออกไปอย่างไม่รู้จบ

“กระบวนท่าของศิษย์พี่หญิงเหลิ่งชุ่ยก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน” เฉินฮ่าวที่อยู่ใกล้เคียงเหวี่ยงกระบี่ในมือเขาเพื่อต้านทานการโจมตีที่มาจากทุกทิศทาง ขณะที่เขายกย่องอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จบ

หญิงสาวในชุดขาวผู้มีท่วงท่าสง่างามราวกับภาพวาดนี้คือ เฟยเหลิ่งชุ่ย ศิษย์เอกอันดับหนึ่งของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะสามารถต้านทานได้จนถึงตอนนี้ เต๋ากระบี่เที่ยงธรรมของเฉินฮ่าวนั้นงดงาม ทรงพลัง และเที่ยงธรรม ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของนางนั้นเริ่มมีแววจะควบแน่นเป็นเขตแดนเต๋าได้บ้างเล็กน้อย

‘หากนางและเฉินฮ่าวยืนเคียงบ่าเคียงไหล่และต้านทานการโจมตีต่อหน้าคนอื่น ๆ พวกเขาจะยืนหยัดไปได้อีกสักระยะ’ เฉินซีที่อยู่ห่างออกไปไกลมากชื่นชมอยู่ในใจ

แต่จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขณะที่กวาดสายตาไปยังศิษย์ของตระกูลซู ‘ช้าก่อน! ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ แต่แค่ปิดล้อม แต่พวกมันไม่ได้คิดที่จะตัดสินเป็นตาย ราวกับกำลังประวิงเวลาเพื่อรออะไรบางอย่าง…’

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็เข้าใจเจตนาของศิษย์ตระกูลซูในทันที เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องการบีบให้เขาออกไป จากนั้นก็จะลงมือบดขยี้ทั้งตัวเขาและเฉินฮ่าวไปพร้อม ๆ กัน!

“ศิษย์พี่หญิงเหลิ่งชุ่ย พวกศิษย์ตระกูลซูได้ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่และกักขังเราไว้ที่นี่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปราณแท้ของเราจะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราไม่สามารถฝ่าออกจากวงล้อมได้ ผลที่ตามมาก็คงยากที่จะจินตนาการ”

เฟยเหลิ่งชุ่ยตวัดดาบคู่อัสนีผสานไปรอบ ๆ ปราณดาบประหนึ่งกระสวยที่กวาดออกไปปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด มันแฝงไปด้วยพลังที่ดุร้ายและเสียดแทงขณะที่พวกมันสกัดการโจมตีทั้งหมดที่อยู่โดยรอบ

เมื่อนางได้ยินที่ศิษย์น้องพูด นางก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้วอกแวก มหาค่ายกลข่ายสวรรค์ที่เหล่าศิษย์ของตระกูลซูก่อขึ้น แข็งแกร่งเกินกว่าจะทำลายได้ และการจะฝ่าออกไปจากวงล้อมนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ในตอนนี้ เราจึงทำได้เพียงแต่ต้านทานให้ดีที่สุดเพื่อรอคอยให้ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายมาช่วยเหลือเรา”

“ศิษย์พี่หญิง ข้าเกรงว่าเราจะมีปัญหาในครั้งนี้ ข้าไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายมาช่วยเรา ข้าเกรงว่ามันก็ไม่แตกต่างเลยแม้แต่น้อย” ในตอนนี้เอง ศิษย์อีกคนก็ร้องออกมาอย่างกระหืดกระหอบ

“ศิษย์น้องชิงหลัว เจ้าไม่ควรพูดสิ่งที่ทำให้ขวัญเสียเช่นนี้ ผลลัพธ์ยังมิอาจรู้ได้จนกว่าเจ้าจะต่อสู้จนถึงที่สุด” เฟยเหลิ่งชุ่ยขึ้นเสียงทันทีและกล่าวต่อว่า “ศิษย์น้อง พวกเรามาที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เพื่อขัดเกลาอารมณ์ของตัวเองและทำให้ดวงจิตแห่งเต๋ามั่นคง ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ทุกคนต้องยืนหยัด เพราะการอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากย่อมเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการขัดเกลาตนเอง หลังจากที่เราเผชิญกับหายนะนี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเราอย่างแน่นอน!”

“ศิษย์พี่หญิงท่านกล่าวถูกแล้ว แต่…” ชายหนุ่มที่ชื่อชิงหลัวลังเลที่จะพูด

“แต่อะไร?” เฟิงเหลิ่งชุ่ยขมวดคิ้ว

“ศิษย์พี่หญิง ข้ากลัวว่าจะถูกท่านตำหนิ แต่เรื่องนี้เหมือนก้างปลาติดคอทำให้อึดอัดจนพูดไม่ออก” ชิงหลัวกัดฟันและกล่าวว่า “เหตุผลที่ตระกูลซูรุมล้อมพวกเรานั้นเป็นเพราะศิษย์น้องเฉินฮ่าว ซึ่งทำให้เรากำลังประสบภัยพิบัติที่ไม่สมควรจะได้รับ!”

“พวกเจ้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ?” ใบหน้าของเฟยเหลิ่งชุ่ยเย็นชาขณะที่จ้องมองผ่านศิษย์คนอื่น ๆ เมื่อนางเห็นพวกเขาทั้งหมดยังคงนิ่งเงียบ นางก็เข้าใจทุกอย่างในทันที จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้า เขามาจากที่เดียวกับเรา และมีหัวใจและความคิดเช่นเดียวกับเรา เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของนิกายดาบเมฆาพเนจรเช่นเดียวกัน ข้าขอถามหน่อย หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งทำให้ศัตรูที่น่าเกรงขามต้องขุ่นเคือง แต่นิกายของพวกเจ้ากลับไม่ยื่นมือช่วย พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่หญิงเหลิ่งชุ่ยกล่าวได้ถูกต้อง เราทุกคนเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเราละทิ้งพี่น้องที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ในยามนี้ ย่อมถูกพี่น้องคนอื่น ๆ ในสำนักเหยียดหยามและทอดทิ้งอย่างแน่นอนในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นเรายังจะมีหน้าเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกหรือ? ศิษย์น้องเฉินฮ่าว ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย!”

“ใช่แล้ว ต้องร่วมเป็นร่วมตายเป็นอันหนึ่งอันเดียว มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน!”

“ศิษย์น้องเฉินฮ่าว ข้าต้องขออภัยเช่นเดียวกัน!”

ศิษย์ทุกคนต่างแสดงความรู้สึกละอายใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และพวกเขาก็ขอโทษอย่างไม่รู้จบ

เฉินฮ่าวเฝ้ามองจากด้านข้างอย่างเย็นชาเสมอ แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกประทับใจและขอบคุณเฟยเหลิ่งชุ่ยอยู่ในใจ ตัวเขาเองก็รู้ว่าหากไม่ใช่เพราะเฟยเหลิ่งชุ่ย ตนเองก็คงถูกทอดทิ้งให้ตายอยู่ในวงล้อมไปแล้ว

เมื่อเฟยเหลิ่งชุ่ยเห็นสิ่งนี้ นางก็ยิ้มบาง ๆ และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็กลายเป็นเคร่งขรึม

กลางอากาศ ศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคนได้ลงมือฉับพลัน พวกมันไม่ได้คิดที่จะกักขังศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยมหาค่ายกลข่ายสวรรค์อีกต่อไป แต่กลับปลดปล่อยการโจมตีอย่างเต็มที่แทน!

“ในเมื่อเจ้าเฉินซีไม่ออกมา เราจะฆ่าน้องชายของมันก่อน!” ซูเจียวที่สวมชุดสีดำ ส่งเสียงตะโกนอย่างฉุนเฉียวกลางอากาศ จากนั้นนางก็เริ่มสั่งการศิษย์ของตระกูลซูที่อยู่เคียงข้างว่า “ซูถง เจ้าจงนำคนห้าสิบคนไปจัดการกับศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเหล่านั้นซะ เจ้าจะต้องแน่ใจว่าพวกมันจะติดพันการต่อสู้และไม่อาจหลบหนีไปได้! ส่วนคนที่เหลือจะฆ่าเฉินฮ่าวพร้อมกับข้า!”

“ขอรับ คุณหนู!” ศิษย์ตระกูลซูกว่าร้อยคนตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็พุ่งลงมาจากกลางอากาศราวกับเมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังแสงจากดวงอาทิตย์

ศิษย์ของตระกูลซูเหล่านี้มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดารา และพวกมันก็เป็นกองกำลังชั้นยอดในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลซู พวกมันเชี่ยวชาญในการโจมตีผสาน อีกทั้งยังมีระเบียบวินัยที่เข้มงวด กล้าหาญ และเชี่ยวชาญในการต่อสู้ ทันทีที่พวกมันลงมือ จะเสมือนกองทัพที่เป็นระเบียบและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกมันได้ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละห้าสิบคน กลุ่มหนึ่งเข้าปิดล้อมศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่นำโดยเฟยเหลิ่งชุ่ย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่นำโดยซูเจียวก็ลงมือสังหารเฉินฮ่าว

“ฮี่ ๆ สาวน้อยคนนี้มีหน้าตาไม่เลวเลยนี่ น่าเสียดายที่นางมาจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร มิฉะนั้นข้าจะจับกุมนาง เพื่อขืนใจและระบายไฟแห่งตัณหาของข้าเป็นแน่แท้”

“สวะไร้ค่าเหล่านี้เพียงซ่อนอยู่หลังผู้หญิงจริง ๆ พวกเจ้าช่างไม่มีความรู้สึกละอายใจอย่างแท้จริงและทำให้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรต้องขายขี้หน้า อนิจจา พวกเจ้านั้นไม่อาจเทียบกับรุ่นก่อน ๆ ได้จริง ๆ”

“หากพวกเจ้ายอมจำนนแต่โดยดี เราก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก มิฉะนั้น ก็รอให้พวกเราทำลายชั้นแปดทิศนี้ซะ!”

ทันทีที่พวกมันลงมาที่พื้น ศิษย์ของตระกูลซูทั้งห้าสิบคนที่นำโดยซูถงก็ร่วมมือกันโจมตีเฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ ด้วยการปิดล้อมกลุ่มของเฟยเหลิ่งชุ่ยจนแม้แต่หยดน้ำก็มิอาจเล็ดลอด พวกมันเย้ยหยันขณะที่พวกเขาต่อสู้อย่างเต็มกำลัง โดยตั้งใจที่จะรบกวนจิตใจของหญิงสาว

“ไอ้พวกบัดซบ!”

“ระยำเอ๊ย! พวกมันกล้าดูถูกพวกเราว่าเป็นสวะไร้ค่า!”

เมื่อเหล่าศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็คำรามออกมาอย่างเดือดดาล

“พวกเจ้าจะตะโกนหาอะไรกัน! พวกเจ้าทุกคนไม่มีสมาธิเลยหรือ?” เฟยเหลิ่งชุ่ยตะโกนด้วยเสียงดังฟังชัด ดาบคู่อัสนีผสานในมือของนางได้ปล่อยปราณดาบนับไม่ถ้วนไปยังบริเวณโดยรอบ ก่อนที่มันจะระเบิดอย่างรุนแรง อานุภาพของปราณเย็นอันดุดันฉีกกระชากอากาศจนส่งเสียงครวญ!

“เหล่าพี่น้อง จงสร้างค่ายกลพิฆาตหกผสาน” ซูถงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา

ทันใดนั้น เหล่าศิษย์ทั้งห้าสิบคนที่มีท่าทางที่ไม่ธรรมดาเคลื่อนไหวเป็นรูปกระบวนขนาดใหญ่ และปราณแท้ของพวกมันทุกคนก็ถูกกระตุ้น ทุก ๆ สิบคนรวมตัวกันเป็นหนึ่งกลุ่ม เมื่อการโจมตีประสบความล้มเหลว พวกมันก็จะล่าถอยอย่างเฉียบขาด จากนั้นกลุ่มที่สองจะบุกโจมตีไปตามลำดับ พวกมันโจมตีอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคลื่นยักษ์ที่กำลังโหมกระหน่ำ คลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นหลังจากคลื่นก่อนหน้านี้สงบลง พลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำให้ระยะการเคลื่อนไหวของเฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์วิกฤต

ปัง!

ศัตราปะทะเข้าหากันจนทำให้ร่างของเฟยเหลิ่งชุ่ยสั่นสะท้าน ก่อนจะกระเด็นและล่าถอยไปทางด้านหลัง และใบหน้าของนางก็ซีดเซียวลงเพราะแรงปะทะดังกล่าว

เมื่อเฟยเหลิ่งชุ่ยล่าถอย ศิษย์ของตระกูลซูสามคนจึงได้ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้เพื่อรุกไปข้างหน้า!

“ทุกคนปกป้องศิษย์พี่หญิงไว้!”

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ปราณกระบี่จำนวนมากพุ่งออกไป ศิษย์ชายทั้งหกคนที่อยู่เบื้องหลังเฟยเหลิ่งชุ่ยตอบสนองอย่างรวดเร็ว และใช้กำลังทั้งหมดเพื่อโจมตีศิษย์ตระกูลซูทั้งสามคนนั้น แม้ว่าพวกเขาจะต้านทานการโจมตีครั้งนี้ได้สำเร็จ แต่ศัตรูที่อยู่ใกล้เคียงก็ฉวยโอกาสลอบโจมตีจนประสบความสำเร็จ ทำให้เลือดตกยางออกและรอยแผลเป็นมากมายบนร่างกายของพวกเขาในทันที

“ช่างดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ เว้นแต่พวกเจ้าทุกคนจะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้า” ซูถงหัวเราะไม่หยุดด้วยใบหน้าอำมหิต เขาจะไม่มีพอใจได้อย่างไรเมื่อเขาสามารถบีบคั้นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ถึงขนาดนี้?

อีกด้านหนึ่ง สถานการณ์ของเฉินฮ่าวที่อยู่เพียงลำพังนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ซูเจียวและศิษย์คนอื่น ๆ อีกห้าสิบคนได้เข้าปิดล้อมเขาจนเกิดวงกลมขนาดร้อยยี่สิบจั้ง ซึ่งกักขังเฉินฮ่าวไว้ข้างในโดยสมบูรณ์ ศัสตราวิเศษ ยันต์อักขระ กระบี่บิน และหุ่นเชิด ต่างก็พุ่งออกไปราวกับพายุเพื่อบดขยี้เฉินฮ่าว

แม้ว่าร่างกายปัจจุบันของเฉินฮ่าวจะถูกสร้างขึ้นใหม่จากผลบงกชจิตอัคนี และมือขวาของเขาก็ฟื้นฟูสภาพแล้ว แต่เขาก็ยังคงถือกระบี่ด้วยมือซ้ายเพื่อต้านทานการโจมตีที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่มาจากทุกทิศทุกทาง หากไม่ใช่เพราะเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมของเขาทรงพลังและมีอานุภาพมาก เขาคงถูกบดขยี้เป็นผุยผงไปตั้งนานแล้ว

แต่ถึงกระนั้น เขาก็สูญเสียโอกาสที่จะได้โต้กลับไปอย่างสิ้นเชิง และทำได้เพียงกัดฟันแน่นขณะที่อดทนต่อการโจมตีอย่างยากลำบาก ซึ่งทำให้ร่างกายของเขาแทบจะหมดแรงจากการโจมตีที่ไม่มีที่สิ้นสุด

“ศิษย์น้องเฉินฮ่าว ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงตะโกนที่กังวลเป็นอย่างมากของเฟยเหลิ่งชุ่ยดังขึ้นจากระยะไกล

“ข้ายังพอจะสู้ไหวอยู่ขอรับ ดังนั้นข้าจะต่อสู้จนกว่าจะตาย!” เฉินฮ่าวตะโกนดังสนั่น ดวงตาของเขาในเวลานี้แสดงเจตนาต่อสู้อย่างดื้อรั้นเป็นอย่างมาก ราวกับเขาไม่รู้ว่าตอนใดควรหลบหนี หรือตอนใดควรยอมจำนน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ ไม่ว่าในใจของเขาจะมีความตั้งใจที่จะฆ่าศัตรูมากเพียงใด สถานการณ์ก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในขณะนี้ เสียงกระหึ่มของกระบี่ที่ดูเหมือนเสียงคำรามของมังกรและพยัคฆ์ก็ดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าและสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก ทันใดนั้นเอง กระบี่บินทั้งหกสิบสี่เล่มก็เปลี่ยนเป็นลำแสงที่พุ่งลงมามากมายราวกับอุกกาบาต อีกทั้งอานุภาพของมันยังคล้ายกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ศิษย์ของตระกูลซูกว่าสิบคนที่ร่วมกันโจมตีเฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ ถูกเปลี่ยนเป็นเนื้อสับในทันทีและเลือดมากมายได้ก็สาดกระเซ็นไปสู่ท้องฟ้า

เมื่อเฉินซีลงมือ เขาโจมตีศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคนอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท