บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 144 รุดหน้าอย่างมีชัย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 144 รุดหน้าอย่างมีชัย

บทที่ 144 รุดหน้าอย่างมีชัย

“สามคนนั้นมันเป็นใคร! โหดเหี้ยมอะไรเช่นนี้!”

“ดูเหมือนจะไม่ใช่พวกศิษย์ของกองกำลังในเมืองทะเลสาบมังกร หรือว่าพวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะจากที่อื่น”

“โหดเหี้ยมนัก! เคลื่อนไหวแต่ละครั้งหมายถึงชีวิต! เคล็ดวิชาบ่มเพาะของทั้งสามอยู่ในขั้นสูงมากจริง ๆ แต่ไยข้าจึงถึงไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขามาก่อนเลย?”

“นั่นสิ ที่ผ่านมาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะใช้เพื่อฝึกฝนโดยตลอด ไม่ใช่สถานที่ที่สังหารผู้อื่นเป็นว่าเล่นเช่นนี้ เจ้าสามคนนั่นโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”

เสียงเอะอะอึกทึกดังขึ้นรอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ผู้คนต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริดไปกับภาพเหตุการณ์นองเลือดที่บังเกิดขึ้นเป็นอันมาก ในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนครั้งที่ผ่าน ๆ มาเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เสียที่ไหน

นี่เป็นการประลองกำลังกัน ถ้าทักษะของใครด้อยกว่าคนคนนั้นก็สามารถทำลายยันต์เคลื่อนย้ายเพื่อกลับออกไป พฤติกรรมน่ารังเกียจและไร้ความปรานีของคนทั้งสามด้วยการลอบจู่โจมซ้ำสังหารทุกกรณี เจตนาของพวกเขาคือ ไม่ยอมให้ใครรอดชีวิตกลับไป!

เวลานี้การประมือในเจดีย์ระหว่างเฟยเหลิ่งชุ่ยและชิวเหลิ่งได้ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังเกือบห้าร้อยคนสนใจที่จะเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ ผลจากการที่คนทั้งสามลอบจู่โจมตีในครั้งนี้ แค่เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็มีคนถูกสังหารไปแล้วกว่าหกสิบคน ยิ่งกว่านั้นจำนวนคนตายยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าขืนมันยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้บ่มเพาะที่อยู่ที่นั่นจะไม่ถูกฆ่าตายจนหมดหรือ?

เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขนาดนี้ แม้แต่ผู้นำของกองกำลังทรงอำนาจต่าง ๆ ที่อยู่บนแท่นหยกก็ไม่อาจใจเย็นอยู่ได้

“สหายเต๋าทั้งหลาย พวกท่านมีใครจำได้บ้างว่าคนสามคนนี้เป็นใครมาจากไหน” หลิงคงจื่อ ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ตอบไม่ได้”

“ข้าไม่รู้”

“น่าแปลก ข้าไม่เคยพบเจอหรือได้ยินเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่สามคนนี้ใช้มาก่อนเลย ข้าข้องใจเหลือเกินว่าพวกเขาไปรับถ่ายทอดมาจากที่ใด”

สีหน้าของคนระดับผู้นำหลายคนหมองคล้ำและเคร่งเครียด พวกเขาต่างพากันส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง

ส่วนใหญ่ผู้บ่มเพาะที่ถูกลอบสังหารเป็นคนที่มาจากนิกายของพวกเขา ที่ร้ายยิ่งกว่า ผู้ที่สามารถเข้าไปสู่เจดีย์ชั้นที่สองได้ล้วนเป็นศิษย์ที่มีทั้งพรสวรรค์และความสามารถไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่ศิษย์ต้องมาตายลงเช่นนี้นับเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขาทีเดียว

“ในเมื่อสามคนนี้ไม่ใช่ศิษย์จากกองกำลังที่อยู่ในเมืองทะเลสาบมังกร ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเป็นผู้บ่มเพาะจากดินแดนอื่น และถ้าเป็นคนจากนอกเมืองที่มาเข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนก็ต้องมีการลงชื่อกับผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งและรับตราคำสั่งไปเก็บไว้”

หลิงคงจื่อหันไปสั่งชายวัยกลางคนด้วยเสียงทรงอำนาจ “ชิงฉวนเจ้ารีบไปที่ผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่ง ไปค้นหามาให้ได้ว่าคนสามคนนี้เป็นใครมาจากไหนแล้วกลับมารายงานข้า”

“รับทราบ” ชายวัยกลางคนที่ชื่อชิงฉวนรู้ถึงสถานการณ์เร่งด่วนเป็นอย่างดี จึงน้อมรับคำสั่งและผลุนผลันออกไปทันที

“สหายเต๋าหลิง เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ออกมาได้อย่างเดียวไม่อาจเข้าไปได้ หากปล่อยให้สามคนนั่นทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าไม่นานศิษย์ของพวกเราทุกคนจะไม่ถูกพวกเขาฆ่าตายหมดเลยหรือ” พลันท่านหญิงซิงอวิ้น…ประมุขแห่งนิกายบุปผาหยกพูด สีหน้าของนางเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง

“อนิจจา…เท่าที่เห็นตอนนี้พวกเราทำได้เพียงหวังว่าศิษย์ที่เหลือในเจดีย์จะสังเกตเห็นเจ้าสามคนนั่นเสียก่อนและร่วมมือกันเท่านั้น” หลิงคงจื่อถอนใจเฮือกอย่างอัดอั้นพลางส่ายศีรษะ

เจดีย์บำเพ็ญทุกข์คือสมบัติระดับตำนาน แม้ว่ามันจะเสียหายและไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยความสามารถของพวกเขา ทุกสิบปีจึงจะเปิดประตูขึ้นมาสักครั้งเพื่อส่งศิษย์เข้าไปฝึกฝนฝ่าฟันอยู่ภายใน บัดนี้จะให้เปิดประตูเจดีย์ออกมาอีกครั้ง จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

“ดูนั่นสิ! คนสามคนกระทำลอบฆ่าผู้บ่มเพาะคนอื่นตรงนั้น! อ๊ะ…โน่นก็ด้วย!” ในขณะนั้นเสียงอุทานด้วยความตกใจก็ดังขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มคน

จากนั้นทุกคนจึงได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นภายในเจดีย์ชั้นสี่สัญลักษณ์ ยังมีคนอีกสองกลุ่มกำลังมุ่งที่จะลงมือคร่าชีวิตศิษย์ของนิกายใหญ่อย่างเงียบ ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยคนสามคน และทักษะวิชาของพวกเขาก็เหมือนกับสามคนก่อนหน้าทุกประการ แสดงว่ามีผู้บ่มเพาะที่ไม่คุ้นหน้าอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นเก้าคน!

บัดนี้ศิษย์จากกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ในเจดีย์เริ่มสังเกตเห็นเหตุการณ์อุกอาจเกิดขึ้นแล้ว และทั้งหมดก็หยุดประลองกันเองก่อน จากนั้นจึงผนึกกำลังร่วมต่อสู้กับผู้บ่มเพาะที่ไม่คุ้นหน้าซึ่งจู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวเหมือนภูตผีนั้น

แต่ทุกคนก็พบกับความประหลาดใจ ด้วยผู้บ่มเพาะทั้งเก้าใช้เคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดทั้งยังแข็งแกร่งอย่างน่าเกรงขามยิ่ง แต่ละคนแทบไม่ด้อยไปกว่าเฟยเหลิ่งชุ่ย อย่างน้อยพลังบ่มเพาะของแต่ละคนก็อยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่แปด ยิ่งกว่านั้นอาวุธที่แต่ละคนครอบครองก็เป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูง แม้ว่าคนเหล่านี้จะแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละสามคน แต่พลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของพวกเขาก็น่าเกรงขามยิ่ง แล้วยังสามารถต่อสู้และเอาชนะศิษย์อื่นได้อย่างสิ้นเชิง ในช่วงท้าย ศิษย์หลายคนจำต้องทำลายยันต์เคลื่อนย้ายและหลบหนีเอาตัวรอดออกจากเจดีย์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

คนทั้งเก้านี้เป็นใคร?

ในใจของทุกคน ณ ที่นั้นรู้สึกหนักอึ้ง เดิมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนที่ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บัดนี้กำลังจะถูกทาทับไว้ด้วยเงาแห่งหายนะอีกหลายต่อหลายชั้นเสียแล้ว

เฉินซีไม่ได้สังเกตเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาดในชั้นสี่สัญลักษณ์แต่อย่างใด เวลานี้ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่เหนือยอดเขาสีทองอร่ามที่สูงชันกว่าทุกยอดเขา ขณะนั้นเขาจับจ้องไปยังโลหะที่เปล่งประกายสีทองแพรวพราวด้วยแววตาร้อนแรง

หลังจากที่เหยียบเข้ามาในดินแดนเทพพยัคฆ์ขาว เขาก็สังเกตเห็นร่องรอยของปราณทองคำที่เจ็ดจึงมุ่งหน้ามายังสถานที่นี้ทันที บริเวณนี้ชายหนุ่มมองเห็นหินก้อนใหญ่รูปทรงกลม

หินก้อนนี้ก็คล้ายกับต้นไม้ใบโกร๋นที่สูงเกือบร้อยจั้งซึ่งเขาเคยเห็นมาก่อนหน้า มีความทานทนชนิดตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ไม่เกรงต่ออาวุธชนิดใด แข็งแกร่งเป็นที่สุด แต่ด้วยความที่เฉินซีคิดมาแล้วว่าจะหาวิธีในการจัดการอย่างไร ดังนั้นเขาจึงเรียกไป๋คุยออกมา มันเคี้ยวหินกร้วม ๆ เพียงสองสามครั้งเท่านั้นก็ลึกเกือบถึงแกนกลางที่เป็นโลหะ

โลหะชิ้นนี้ปลดปล่อยปราณทองคำที่เจ็ดหนาแน่นออกมา สีทองเจิดจ้าเด่นชัดในชั้นบรรยากาศ มันมีขนาดเท่าฝ่ามือเหมือนหยกที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน แสงทองที่เปล่งประกายออกมาเหมือนคมดาบหรือไม่ก็คมกระบี่ ด้วยมันได้บาดเฉินซีจนเจ้าตัวรู้สึกเสียวแปลบที่ผิวหนังเล็กน้อย ร่างกายของเฉินซีตอนนี้ถูกปรับให้แกร่งกล้าจนถึงขีดสุดมาพักใหญ่แล้วและเทียบได้กับสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง ทว่าก็ยังเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงไปทั่วร่างทีเดียว ฉะนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงความเฉียบคมของลำแสงสีทองได้อย่างชัดเจน

‘ปราณทองคำที่เจ็ดของที่นั่นหนาแน่นนัก เป็นดังที่คาดโลหะชิ้นนี้เหมือนกับต้นไม้อ่อนด้วยมีปราณพฤกษาที่สองพรั่งพรูออกมา ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าหายากทั้งสิ้น!’ เฉินซีรำพึงในใจด้วยชื่นชม ยิ่งไปกว่านั้นยังสังเกตด้วยว่าใต้โลหะชิ้นนั้นมีธุลีโกลาหลซ้อนเป็นชั้น ๆ อยู่ด้านล่างอย่างน่าแปลกใจ ดูเหมือนว่าโลหะนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีต้นกำเนิดจากธุลีโกลาหลเช่นกัน

‘ในดินแดนเทพมังกรครามและดินแดนเทพพยัคฆ์ขาวล้วนมีสมบัติล้ำค่า ฉะนั้น ดินแดนเทพวิหคเพลิงและดินแดนเทพเต่าทมิฬย่อมต้องมีสมบัติล้ำค่าระดับเดียวกันอย่างแน่นอน!’

ขณะกำลังครุ่นคิด เฉินซีได้ยื่นมือไปคว้าธุลีโกลาหล พลันสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วได้เกิดขึ้นอีกเมื่อธุลีโกลาหลและชิ้นโลหะถูกดูดเข้าสู่ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไหลเข้าไปในอักขระจ้าววิญญาณกลางหลังทันที

เดิมเขามีธุลีโกลาหลรวมอยู่ในอักขระจ้าววิญญาณปฐพีที่ห้าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีเข้ามาหลอมรวมด้วยกันอีกสองส่วน ปริมาณจึงได้เพิ่มขึ้นอีกสองเท่าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ด มีชิ้นโลหะเปล่งแสงสีทองวูบวาบออกมาอย่างไม่มีสิ้นสุด ยิ่งกว่านั้นอักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ดและอักขระจ้าววิญญาณปฐพีที่ห้าได้ถูกเชื่อมโยงเข้าหากัน

ณ ตอนนี้บนแผ่นหลังของเฉินซีมีอักขระจ้าววิญญาณประกอบเข้าด้วยกันอยู่สามส่วน

ส่วนที่อยู่ตรงกลางคืออักขระจ้าววิญญาณปฐพีที่ห้าปกคลุมมวลธุลีโกลาหลสีหม่นมัวที่ลอยอยู่ข้างใน

ทางซ้ายมือเป็นอักขระจ้าววิญญาณพฤกษาที่สอง และข้างในบรรจุต้นไม้อ่อนสีเขียวสดงอกงาม

ฝั่งขวามีอักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ด ซึ่งข้างในเป็นชิ้นโลหะสาดแสงสีทองแวววาว

ธุลีโกลาหลเสมือนเสาหลัก ส่วนอักขระจ้าววิญญาณที่บอบบางทั้งสามถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันประหนึ่งการเชื่อมโยงธาตุทั้งห้าเข้าหากัน ธุลีโกลาหลจึงได้ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งอดีตที่ยิ่งใหญ่ให้พรั่งพรูออกมาทางต้นไม้อ่อนที่เจริญงอกงามกับชิ้นโลหะที่ส่องประกายสีทองเจิดจรัส จากนั้นจึงถูกแปลงเป็นพลังบริสุทธิ์อย่างปราณพฤกษาที่สองและปราณทองคำที่เจ็ดถ่ายเทลงสู่ร่างกายของเฉินซี ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสไหลเวียนของปราณจ้าววิญญาณ

เปรี้ยง!

ทันทีที่ปราณทองคำที่เจ็ดอันหนาทึบได้เปลี่ยนไปเป็นปราณจ้าววิญญาณนั้นเอง มันเปรียบเสมือนคมมีดขนาดเล็กจำนวนมากที่ถูกพัดพาเข้าไปในเลือด เนื้อ ผิวหนังและเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างกายเฉินซีเพื่อขจัดสิ่งเจือปนที่ซุกซ่อนอย่างลึกล้ำข้างใน ชั่วไม่กี่อึดใจชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาหวิว ข้อต่อ เส้นเอ็นและทวารขาวสะอาดดั่งผลึกแก้ว ทั้งอวัยวะภายใน เนื้อและเลือดได้ถูกชำระล้างอย่างหมดจด จนเหมือนกับว่าทุกอย่างในกายปลดปล่อยแสงสีทองออกมาเลือนราง ราวกับมีผิวหนังสีทองแข็งแกร่งปกคลุมอยู่อีกชั้นหนึ่งทีเดียว ทำให้ดูมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้

ต่อมาอีกไม่กี่อึดใจ ร่างกายของเฉินซีพลันบังเกิดอาการสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันก็ปรากฏเสียงระเบิดดังปานพายุฝนฟ้าคะนองอย่างฉับพลันทันใด ตอนนี้เองกลางหลังภายใต้อักขระจ้าววิญญาณปฐพีที่ห้า มีอักขระจ้าววิญญาณอีกชิ้นหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา อักขระชิ้นนี้มีเปลวไฟลุกโชนและชัดเจน พยศและคึกคะนอง ซึ่งแน่ล่ะสิ่งนี้คืออักขระจ้าววิญญาณอัคคีที่สาม

ในเวลานี้เฉินซีบรรลุความสำเร็จขึ้นอีกขั้นในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่สี่ของการแปรสภาพกายา… ขอบเขตอัคคีที่สาม!

‘ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งวัน พลังของข้าก้าวหน้าไปถึงสองครั้งโดยที่ยังไม่ได้ฝึกอะไรมากนัก นี่…นี่มัน… ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ!’ เฉินซีรู้สึกราวกับพบเจอกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จนเจ้าตัวชักจะปวดหัวตุบขึ้นมาเสียแล้ว ในใจเริ่มกังวลว่าเรื่องทั้งหมดอาจเป็นเพียงภาพลวงตาขณะเดียวกันเขากลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง…

ฮ่า!

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอดพลางกำหมัดแน่น ฉับพลันก็สัมผัสได้ถึงพลังความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพุ่งวาบขึ้นมา ก่อนจะกระจายไปทั่วร่าง ราวกับว่าตนเองสามารถออกไปบดขยี้ภูเขาลูกใหญ่ให้ย่อยยับด้วยพลังหมัดหนึ่งเดียวเท่านั้น

แน่นอนว่านี่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทว่าในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเฉินซีเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานราวสองถึงสามเท่าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถ้าเขากลับไปต่อสู้กับบรรดาศิษย์ทั้งหนึ่งร้อยคนของตระกูลซู เขามั่นใจมากว่าจะสามารถฆ่าพวกมันได้ครบทุกคนโดยไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้!

เฉินซีไม่โอ้เอ้อยู่ต่อ จากนั้นชายหนุ่มก็รีบมุ่งหน้าไปต่อ คราวนี้เขาทะยานไปยังดินแดนเทพวิหคเพลิงทันที และต่อมาเขาได้รับอัญมณีเพลิงรูปเพชรที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งปลดปล่อยปราณอัคคีที่สามพร้อมด้วยมวลธุลีโกลาหลตามที่คาดหวัง

ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งเมื่อก้าวขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่ห้าของการแปรสภาพร่างกาย

ยิ่งกว่านั้น หลังจากผ่านประสบการณ์ถูกแผดเผาและได้รับความทรมานอย่างหนักหน่วงจากปราณจ้าววิญญาณอัคคีที่สาม มันทำให้ร่างกายของเฉินซีแกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิมอย่างมากประหนึ่งอาวุธที่ผ่านเตาหลอมมาอย่างโชกโชนเพื่อความสมบูรณ์แบบ

ต่อจากนี้คือดินแดนเทพเต่าทมิฬ

เมื่อเขาได้ครอบครองไข่มุกอัญมณีซึ่งปล่อยปราณวารีที่เก้าและมวลธุลีโกลาหล ยามนี้เฉินซีกลับไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไปเพราะความเคยชินแล้ว

ยามนี้กลางแผ่นหลังปรากฏอักขระจ้าววิญญาณปฐพีที่ห้า อักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองและอักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ดอยู่ทางซ้ายและขวาตามลำดับ ส่วนด้านบนและด้านล่างเป็นอักขระจ้าววิญญาณวารีที่เก้าและอักขระจ้าววิญญาณอัคคีที่สามตามลำดับ อักขระจ้าววิญญาณทั้งห้ามีองค์ประกอบของสมบัติล้ำค่าหายากโดยมีธุลีโกลาหลเป็นแกนหลักในการเชื่อมโยง ทำให้ทุกส่วนต่างมาผสานความร่วมมือกัน

นอกจากนั้น เฉินซีสังเกตเห็นว่าอักขระจ้าววิญญาณทั้งห้าตามลำดับนั้นเชื่อมโยงกันแบบกลับไปกลับมาระหว่างองค์ประกอบทั้งห้านั้นเป็นความสัมพันธ์แบบส่งเสริมและยับยั้งซึ่งกันและกัน มีทั้งเอื้อประโยชน์และสนับสนุนให้เกิดการเจริญเติบโตซึ่งกันและกัน และจะวนเวียนไปมาราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกระนั้น ความเชื่อมโยงอย่างลึกล้ำและลึกลับระหว่างสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกฎสูงสุดแห่งสวรรค์และโลกที่มีอยู่ตราบนิจนิรันดร์ และปลดปล่อยพลังลี้ลับเป็นที่น่าเกรงขามต่อผู้คนที่ได้พบเจอ

ในทางกลับกัน แหล่งกำเนิดปราณจ้าววิญญาณในร่างกายเกิดจากพลังดาราจักร จากนั้นจะหลอมรวมเข้ากับธาตุทั้งห้าได้แก่ ปฐพีที่ห้า พฤกษาที่สอง ทองคำที่เจ็ด วารีที่เก้าและอัคคีที่สาม กลับจะยิ่งเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ ลึกลับและเก่าแก่ ดุจดั่งพลังที่ครอบครองโดยอสูรร้ายมาตั้งแต่ก่อนบรรพกาล และเป็นพลังที่ไร้ขีดจำกัด

ทักษะขัดเกลากายาเทพถือกำเนิดมาจากเหล่าเทพและอสูรยุคบรรพกาล บรรดาเทพและอสูรเหล่านั้นต่างครอบครองปราณจ้าววิญญาณที่น่าหวาดกลัวถึงขีดสุดมาตั้งแต่กำเนิด พวกมันจึงมีอำนาจเผาแม่น้ำและทำให้ทะเลเดือดระอุ ควบคุมจักรวาลและเหยียดหยามโลกมนุษย์

ถึงตอนนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าศักยภาพของเฉินซีก็คล้ายคลึงกับเทพและอสูรยุคบรรพกาลนี่เอง และตราบใดที่เขายังขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนโดยไม่ว่างเว้น สักวันหนึ่งเขาจะสามารถเติบโตกลายเป็นคนที่น่ากลัวเทียบเท่าเหล่าเทพและอสูรของยุคบรรพกาลทีเดียว

“เสี่ยวไป๋คุยมีส่วนช่วยเหลือข้าในการทะลวงระดับการบ่มเพาะกายถึงสามครั้งติดต่อกันในระยะเวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋เคยบอกว่าปี่เซียะเป็นสัตว์อสูรมงคลอันดับต้นของโลกที่สามารถส่งเสริมผู้เป็นนาย ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าเป็นความโชคดีที่ข้าได้มามีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน” ตอนนี้เฉินซีได้เข้าใจถึงคุณค่าของการมีไป๋คุยแล้วอย่างลึกซึ้ง ในอดีตเขาเคยคิดแค่ว่าพาเจ้าตัวเล็กไปด้วยก็มีแต่สวาปามสมบัติวิเศษของเขาเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขาไม่กล้าคิดเช่นนั้นอีกแล้ว

ถ้าไม่เพราะไป๋คุยกัดกินรากไม้ กัดกินก้อนหินที่ตนก็ทำลายไม่ได้… เฉินซีก็คงไม่สามารถเข้าสู่ภูเขาแห่งสมบัติล้ำค่า มิหนำซ้ำวันนี้ก็คงต้องกลับบ้านมือเปล่า และมันคงเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เขาจะประสบกับเหตุบังเอิญมากมายขนาดนี้

‘ข้าชักสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่าการต่อสู้ที่ชั้นสี่สัญลักษณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง? เฉินฮ่าว พวกตู้ชิงซีและคนอื่นจะต่อสู้ต้านทานได้สำเร็จจนเข้าสู่เจดีย์ชั้นที่สามหรือไม่’ เฉินซีนิ่งงัน ความคิดวนเวียนไปมาครู่หนึ่งจนตนเองไม่อาจสงบใจได้ ในที่สุดชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นจึงพุ่งตัวไปทางป่าทึบสีหยกแห่งดินแดนเทพมังกรคราม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท