บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 152 ผู้มาเยือนที่ยอดเขา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 152 ผู้มาเยือนที่ยอดเขา

บทที่ 152 ผู้มาเยือนที่ยอดเขา

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุด เฉินซีก็จัดเรียงคลังศัสตราวิเศษทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อมองดูสมบัติต่าง ๆ ที่อาบไปด้วยแสงสีสันมากมาย เขาก็อ้าปากค้าง

วารีวิญญาณสี่ล้านชั่ง!

ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำ 230 ชิ้น ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นกลาง 77 ชิ้น ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูง 21 ชิ้น และศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอด 9 ชิ้น!

ท่ามกลางบรรดาสมบัติต่าง ๆ มีแผ่นหยกซึ่งบันทึกเคล็ดวิชาบ่มเพาะ 62 แผ่น ขวดโอสถ 89 ขวด วัตถุวิญญาณ หินแร่ และสมบัติหายากอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง… พวกมันมีจำนวนมากมายจนเบียดเสียดไปหมด

จำนวนขนาดนี้เป็นความมั่งคั่งที่ตัวเขาเมื่อก่อนไม่เคยจินตนาการถึง! ดั่งคำกล่าวที่ว่า คนจนไม่มีลาภก็เหมือนม้าผอมที่ไม่ได้กินหญ้าตลอดทั้งคืน

‘วารีวิญญาณสี่ล้านชั่งนั้นเพียงพอสำหรับข้าที่จะใช้ในการบ่มเพาะจนบรรลุถึงขอบเขตเคหาทองคำแล้ว!’

เฉินซีทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ที่เขาได้ยึดมาเหล่านี้ เมื่อกวาดสายตาผ่านอย่างรวดเร็ว เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะศัสตราวิเศษระดับมนุษย์เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นระฆัง ค้อน ดาบ ขวาน และศัสตราวิเศษที่รูปร่างแปลกประหลาดอื่น ๆ ทว่ากลับมีกระบี่บินขั้นสูงเพียงหกเล่มและกระบี่บินขั้นสุดยอดหนึ่งเล่มเท่านั้น!

‘ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะด่วนดีใจเกินไป!’ เฉินซีถอนหายใจ

กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มของเขาและกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูงทั้ง 56 เล่มถูกทำลายระหว่างการต่อสู้กับค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียนที่หัวหน้าของผู้พิทักษ์จิตอสูรงัดออกมาใช้ ในแง่ของมูลค่า พวกมันมีค่ามากกว่าศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ทั้งหมดที่เขายึดมา!

โดยเฉพาะกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มที่เป็นชุดศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดที่เขาได้รับมาจากดินแดนนรกร้างใต้ภิภพ พวกมันล้ำค่ายิ่งนัก แต่ในตอนนี้กลับถูกทำลายและสลายคืนสู่ความว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้เอง ย่อมทำให้หัวใจของเขาต้องรู้สึกปวดร้าวเป็นธรรมดา เพราะเดิมทีเขาหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจจากศัสตราวิเศษที่ได้ยึดมา แต่เขาจะไปคาดคิดได้อย่างไร ว่ามันจะมีกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูงอยู่หกเล่มกับกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดเพียงหนึ่งเล่มท่ามกลางสมบัติที่ยึดมาได้

ในขณะนี้ นอกจากฝ่ามือมหาดาราแล้ว ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินซีก็คือค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส แต่หากต้องการใช้พลังของค่ายกลกระบี่อย่างเต็มที่ เขาต้องการกระบี่บิน 64 เล่มเพื่อทดแทนกระบี่บินที่เสียหายไป นอกจากนี้ คุณภาพของกระบี่บินเหล่านั้นต้องไม่ต่ำกว่าระดับมนุษย์ขั้นสูงเป็นอันขาด และด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องหาซื้อกระบี่บินเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปอีกครั้ง

อันที่จริง เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองทะเลหมอก เขาได้ซื้อกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดมาสองชุด แต่กระบี่บินชุดแรกทั้ง 56 เล่มก็ได้เสียหายจนสลายไปแล้ว ส่วนกระบี่บิน 64 เล่มอีกชุดหนึ่ง เขาได้ตระเตรียมไว้ให้เฉินฮ่าว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้พวกมัน

แต่นับว่าโชคดี ศัสตราวิเศษทั้งหมดที่วางเรียงอยู่บนพื้นนั้นมีมูลค่าสูงมาก เมื่อแลกเปลี่ยนเป็นวารีวิญญาณมันก็มากเกินพอที่จะซื้อกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดได้ครบ 64 เล่ม

ฟุ่บ!

ด้วยการสะบัดแขนเสื้อของเฉินซี สมบัติทั้งหมดที่อยู่บนพื้นดินก็ถูกเก็บไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จากนั้นเขาก็เริ่มโคจรเคล็ดการบ่มเพาะโดยปราศจากการลังเล

งานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มามากมาย และยังทำให้เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตัวเองได้เป็นอย่างดี เขาสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้อย่างง่ายดายหรือสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำและสามารถเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้ แต่เมื่อต้องต่อสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติแล้ว เขาก็ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย

เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเขาถูกรุมโจมตีจากซูเจิ่นเทียน และผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติอีกสามคนก่อนหน้านี้ ความรู้สึกสิ้นหวัง อับจนหนทาง และความไม่สบายใจนั้นเป็นสิ่งที่เฉินซีไม่ต้องการสัมผัสเป็นครั้งที่สองอย่างแท้จริง

ตอนนี้แม้เขาจะปลอดภัย แต่มันเป็นเพราะเขาได้อาศัยอยู่ภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรพึ่งพาอำนาจอิทธิพลของเป่ยเหิง แต่หากเขาสูญเสียการคุ้มครองนี้ไป สถานการณ์ของเขาในเมืองทะเลสาบมังกรก็จะกลับมาล่อแหลมในทันที

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากศัตรูตัวฉกาจทั้งสี่ของเขา อันได้แก่ตระกูลซู ตระกูลฉาง พระราชวังข่ายดาราและสำนักเมฆาอนันต์แล้ว สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาได้ครอบครองสมบัติอมตะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็ปรารถนา!

ความมั่งคั่งของคนมักถูกทำลายด้วยความโลภของผู้อื่น เฉินซีเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกสงสัยว่า หากเป่ยเหิงตั้งใจที่จะแย่งชิงสมบัติอมตะ เขาก็คงไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน!

ดังนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นการปกป้องชีวิตของเขาหรือเพื่อปกป้องสมบัติอมตะที่เขาครอบครองอยู่ การฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุด!

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูกและด้วยคำสั่งในใจของเขา วารีวิญญาณภายในขวดหยกก็พุ่งเข้าปากของเขาโดยตรง ภายใต้การชี้นำของเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ วารีวิญญาณได้ไหลเวียนอย่างรวดเร็วไปทั่วร่างกายของเขา

ตู้ม!

ภายในมิติของตำหนักอินทนิลในร่างของเฉินซี ทะเลสาบของปราณแท้ได้หมุนวนอย่างรุนแรง ปราณแท้ที่เยือกเย็นราวกับผลึกน้ำแข็งเริ่มลอยขึ้นและขยายตัวด้วยความเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทะเลสาบในตำหนักอินทนิลของเขาขยายใหญ่และลึกขึ้นเรื่อย ๆ

ในขณะที่บนท้องฟ้ามีดวงดาวระยิบระยับและโปร่งแสงทั้งหกดวงลอยอยู่เหนือทะเลสาบ พวกมันก็ยิ่งสว่างไสวและเปล่งประกายมากขึ้น เมื่อพวกมันสะท้อนซึ่งกันและกันจากระยะไกล พวกมันก็ได้เปล่งความประกายอันเย็นยะเยือกออกมาอย่างไร้ขอบเขต

เกิดการขยายตัว!

การขยายตัวอย่างบ้าคลั่ง!

ณ ปัจจุบัน เฉินซีมีวารีวิญญาณหกล้านชั่งอยู่ในความครอบครองของเขา ซึ่งถือได้ว่ามีทรัพยากรจำนวนมหาศาล ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องอยู่อย่างแร้นแค้น โดยปราศจากทรัพยากรเกื้อหนุน

และด้วยเหตุนี้เอง วารีวิญญาณหนึ่งหมื่นชั่ง…วารีวิญญาณห้าหมื่นชั่ง… วารีวิญญาณมากมายได้เปลี่ยนเป็นปราณแท้ที่เข้มข้นและมหาศาล ทยอยหลั่งไหลลงไปในทะเลสาบใหญ่ภายในตำหนักอินทนิลของเฉินซี และพวกมันก็ได้รับการขัดเกลา ชำระล้าง และขยายทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นทีละนิดด้วยความเร็วที่สามารถสัมผัสได้

เมื่อก่อนนู้น ตอนที่เขาอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยปลงตก นั่นเป็นเพราะเขาขาดแคลนทรัพยากรในการบ่มเพาะ หากเขามีวารีวิญญาณเพียงพอ เขาคงสามารถบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้ในคราวเดียว

ส่วนเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะว่า ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ดวงจิตแห่งเต๋า และความเข้าใจในเต๋าแห่งสวรรค์ของเฉินซีได้เกินขอบเขตการบ่มเพาะของเขาแล้ว ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเขาเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง! บางทีการบรรลุสู่ขอบเขตถัดไปอาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บ่มเพาะคนอื่น แต่สำหรับเฉินซี ตราบใดที่เขาสามารถสะสมปราณแท้ได้เพียงพอ การบ่มเพาะของเขาจะปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและก้าวไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้โดยไม่เจอกับภาวะคอขวด

ด้วยกระบวนการเหล่านี้ การบรรลุไปสู่ขอบเขตถัดไปนั้นต้องการเสริมความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ความเข้าใจในเต๋า และการควบคุมอารมณ์ของดวงจิตแห่งเต๋า เมื่อทั้งสามสิ่งถูกสะสมจนถึงระดับที่เพียงพอ ก็เป็นเรื่องง่ายที่การบ่มเพาะจะรุดหน้าหลังจากดูดซับวารีวิญญาณเข้าไป

วารีวิญญาณห้าหมื่นชั่ง!

วารีวิญญาณหนึ่งแสนชั่ง!

วารีวิญญาณสองแสนชั่ง!!

เฉินซีได้ดูดซับวารีวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง และทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า

ตู้ม!

คลื่นลูกใหญ่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันภายในทะเลสาบใหญ่ในตำหนักอินทนิลของเขา ในขณะที่บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบ ปราณแท้ของดวงดาราที่สว่างไสวอีกดวงหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน

ในตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราแล้ว!

หากผู้บ่มเพาะคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาจะต้องอ้าปากค้างอย่างแน่นอน เนื่องจากวารีวิญญาณสองแสนชั่งนั้น เป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไปที่จะใช้การบรรลุข้ามไปสามระดับ แต่สำหรับเฉินซีนั้นกลับบรรลุได้เพียงระดับเดียว…

นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ของการบ่มเพาะเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ เคล็ดวิชาการบ่มเพาะปราณที่หายากและล้ำค่านี้ ทำให้ทะเลสาบภายในตำหนักอินทนิลของเฉินซีกว้างและลึกกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไปเป็นอย่างมาก อีกทั้งปราณแท้ที่สะสมอยู่ภายในนั้นต่างก็บริสุทธิ์และกว้างใหญ่จนถึงขีดสุด ดังนั้นการดูดซับวารีวิญญาณของเขาจึงย่อมมากกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไปอย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้เอง รากฐานแห่งเต๋าของเฉินซีในตอนนี้จึงมีความหนาแน่นเป็นพิเศษ ดังนั้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะของเขาในอนาคตจะกลายเป็นเส้นทางที่เหนือกว่าผู้อื่นเป็นอย่างมาก

ท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาตำหนักอินทนิลก็คือการก่อสร้างรากฐานเต๋า ยิ่งรากฐานเต๋าแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และพลังที่ควบคุมโดยคนผู้นั้นก็จะเพิ่มขึ้นไปพร้อมกับมันอย่างมหาศาล

วูบ! วูบ!

หลังจากที่เขาบรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราแล้ว เฉินซีก็ยังไม่หยุดและยังคงบ่มเพาะต่อไป เขาลืมเลือนเวลา ลืมทุกสิ่งรอบตัว และจิตใจทั้งหมดของเขาได้ดำดิ่งอยู่ในสภาวะการเติบโตอย่างลึกซึ้ง ภายในใจของเขามีเพียงความว่างเปล่า อีกทั้งเขาก็ได้ลืมเลือนตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว

กาลเวลาได้ผ่านไปจนไม่ทราบว่านานถึงเพียงใด เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะของเขา และทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ก็ปรากฏลำแสงเจิดจ้า สว่างวาบอยู่แวบหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ภายในดวงตาของเขา

ฟู่ว!

เฉินซีหายใจออกมาเบา ๆ และกระแสลมก็พุ่งออกมาเหมือนลูกศร ก่อนที่มันจะเจาะทะลุกำแพงที่อยู่ห่างออกไปราวสิบสองจั้ง จนเกิดเสียงดังโครม!

“ผ่อนลมหายใจออกเป็นดั่งลูกศร…” เฉินซีได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว!

เฉินซียืนขึ้น อิริยาบถของเขาไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าเขากลายเป็นขนนกที่สามารถทะยานขึ้นสู่สวรรค์ด้วยลมกระโชก ร่างกายทั้งหมดของเขาดูเหมือนโปร่งแสง และดูเหมือนเขาจะมีกลิ่นอายคล้ายผู้เป็น…อมตะ…

การบรรลุไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา เขาได้ใช้วารีวิญญาณถึงสองแสนชั่ง ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดาราจะใช้วารีวิญญาณไปเกือบสี่แสนชั่ง และขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราใช้วารีวิญญาณไปทั้งหมดหนึ่งล้านชั่ง…

‘ถ้าข้าใช้ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสอีกครั้งด้วยความแข็งแกร่งของข้าในปัจจุบัน ต่อให้ใช้ค่ายกลติดต่อกันสิบครั้งก็ย่อมไม่มีปัญหา’

‘ตอนนี้ต่อให้ข้าไม่ใช้ฝ่ามือมหาดารา ข้าก็สามารถทำลายค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีที่ซูเจียวสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดาย!’

เมื่อเฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังอันไร้ขอบเขตที่พวยพุ่งออกมาจากตำหนักอินทนิลของเขา ชายหนุ่มก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“บรรพจารย์อา! บรรพชนใหญ่เหวินเสวี่ยน ผู้นำแห่งตระกูลต้วนมู่ ผู้นำแห่งตระกูลตู้ และผู้นำแห่งตระกูลซ่งได้มาเยี่ยมเยียนขอรับ” ในขณะนั้นเองเสียงที่น่าพึงพอใจของหญิงสาวซึ่งแฝงด้วยความเคารพก็ดังขึ้นจากข้างนอก

เฉินซีเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นเขาก็ผลักประตูและออกจากห้องไป เขาเห็นหวังหว่านสวมชุดสีเหลืองอ่อนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่สง่างาม

“ข้าอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะมานานแค่ไหนแล้ว?” เฉินซีเอ่ยถาม

“เรียนบรรพจารย์อา เวลานี้ได้ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว” หวังหว่านกล่าวพร้อมกับก้มหน้าลง ขณะที่นางกล่าว หัวใจของนางก็เริ่มเต้นแรงขึ้นในทันที เพราะนางสังเกตเห็นอย่างเฉียบพลันว่าเมื่อเทียบกับหนึ่งเดือนที่ผ่านมา การบ่มเพาะของบรรพจารย์อาคนนี้ดูเหมือนจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และกลิ่นอายที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนได้เผชิญหน้ากับทะเลใหญ่อันไร้ขอบเขต

‘หนึ่งเดือน?’ เฉินซีตกตะลึง เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเวลาได้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่ออยู่บนภูเขาจะไม่รับรู้ถึงเวลา ซึ่งทำให้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะฤดูหนาวจะผ่านพ้นไปเสียที’

“ตกลง ว่าแต่พวกเขารอนานแค่ไหนแล้ว?” เฉินซียับยั้งความคิดของเขาและเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ในขณะที่เขากล่าว

“พวกเขาเคยมาครั้งหนึ่งแล้วตอนที่ท่านยังอยู่ระหว่างการปิดด่านบ่มเพาะ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่พวกเขามาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ” หวังหว่านรีบวิ่งไปและตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ขณะที่นางกล่าว ทั้งสองคนก็มาถึงห้องโถงใหญ่แล้ว

ในขณะนี้ ภายในห้องโถงหลักของยอดเขาใจสัจธรรม ไม่เพียงแต่มีนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนเท่านั้น แต่ยังมีผู้นำแห่งตระกูลตู้ ตู้อู่หยวน ผู้นำแห่งตระกูลซ่ง ซ่งเหวินชง และผู้นำแห่งตระกูลต้วนมู่ ต้วนมู่อวิ๋นคง นั่งอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมี เฉินฮ่าว ตู้ชิงซี ซ่งหลินและต้วนมู่เจ๋ออยู่ด้วย

มีเหล่าศิษย์สตรีสายในคอยบริการน้ำชา น้ำหรือสุรารสเลิศและผลไม้วิญญาณ ภายในห้องโถงใหญ่ขณะนี้บรรยากาศมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท