บทที่ 158 การสังเวยโลหิต
บทที่ 158 การสังเวยโลหิต
อัสนีดาราพิฆาตเกิดจากการควบแน่นของพลังดาราจักรที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งมาจากดวงดาวที่ล่องลอยอยู่มากมายบนท้องฟ้า และหลอมรวมเข้ากับปราณของสายฟ้าที่ก่อตัวขึ้น ซึ่งแฝงไปด้วยพลังดาราจักรจำนวนมากกับพลังของสายฟ้าที่เสียดแทง สายฟ้าทุกสายที่ฟาดลงมานั้นมีอานุภาพเพียงพอที่จะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งในโลกหรือบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีให้กลายเป็นผุยผง
ซึ่งคำว่า ‘สังหารเซียน’ ในชื่อของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราก็มาจากเหตุนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะใช้มหาค่ายกลนี้ พระราชวังข่ายดาราจึงได้ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเขาเก็บสะสมตลอดหลายพันปีจนหมดสิ้น ดังนั้น ผู้คนจึงสามารถจินตนาการถึงอานุภาพของค่ายกลที่แสนจะน่าสะพรึงกลัวได้อย่างง่ายดาย
หากไม่ใช่เพราะกระจกดาราปฐพีที่ห้า ซึ่งเป็นกึ่งสมบัติอมตะของเป่ยเหิง สามารถต้านทานสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมา เฉินซีคงถูกสายฟ้าทำลายจนสิ้นซากไปนานแล้ว
แต่นับว่าโชคดีที่เขามีม่านแสงนี้คอยลดทอนอานุภาพของอัสนีดาราพิฆาตไปมากกว่าครึ่ง จึงทำให้เขาสามารถซึมซับพลังดาราจักรที่บริสุทธ์และมหาศาลได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาขัดเกลาร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นได้
ดั่งคำพังเพยที่ว่าไว้ ‘พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส’ น่าจะตรงกับสถานการณ์ของเฉินซีในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนภยันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัย และเปลี่ยนหายนะเป็นโชคลาภ แม้กระทั่งตัวเป่ยเหิงเองก็ไม่คาดคิดว่า ชายหนุ่มจะกล้าหยิบยืมพลังของอัสนีดาราพิฆาตเพื่อใช้ในการบ่มเพาะ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำที่เสี่ยงชีวิตของเขา ทำให้เป่ยเหิงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
บนท้องฟ้าที่ห่างจากภูเขาดาวตกออกไปราวสองลี้ ประมุขของพระราชวังข่ายดารา เถี่ยอวิ๋นจื่อ และผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ไฉ่เส้า กำลังยืนอยู่เคียงข้างกัน ภายใต้สายตาของพวกเขาทั้งสอง พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของภูเขาดาวตกถูกปกคลุมไปด้วยอัสนีดาราพิฆาตจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งกำลังโหมกระหน่ำลงมาราวกับทางช้างเผือกที่ถาโถมมาจากสวรรค์ทั้งเก้า และประกายของสายฟ้าที่พร่างพรายราวกับแสงตะวัน ก็สว่างวาบลงมาที่พวกเขาอยู่เป็นระยะ จนทำให้ใบหน้าของพวกเขาสว่างไสวและมืดสลัวไปมา
“สิ่งนี้คือค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราหรือ? มันผ่านไปกี่ปีแล้ว… ตั้งแต่ที่ข้าได้เป็นประมุข นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมัน แม้ว่ามันต้องใช้แก่นแท้แห่งดาราและวารีวิญญาณกว่าหนึ่งร้อยล้านขวดที่เก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบากตลอดเวลาหลายพันปี ตราบใดที่มันสามารถทำลายเซียนปฐพีได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!” เถี่ยอวิ๋นจื่อบ่นพึมพำ และใบหน้าที่มืดมนของเขาเผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง
“โดยรวมแล้ว หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ การสังหารผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งมิติและมีการบ่มขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก จะทำให้พระราชวังข่ายดาราของข้ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะ! ฮ่า ๆๆ!” ไฉ่เส้าหัวเราะเสียงดัง “แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นพระราชวังข่ายดาราอยู่อีกต่อไปหรือไม่”
“หือ สิ่งนั้นคือ?” ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็เห็นว่ามีดอกบัวเขียวขจีจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในภูเขาดาวตก ดอกบัวทุกดอกครอบคลุมพื้นที่สี่จั้ง ภายในดอกบัวมีนักพรตสวมหมวกบัณฑิตและชุดคลุมโบราณนั่งหรือยืนอยู่ นักพรตเหล่านี้มีอิริยาบถที่แตกต่างกันไป บางคนก็สร้างผนึกด้วยมือของพวกเขา บางส่วนก็ร่ายรำกระบี่หรือท่องคัมภีร์ต่าง ๆ… แต่พวกเขาทั้งหมดได้ซัดลำแสงสีครามพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ จนทำให้ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ!
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ในขณะที่อัสนีดาราพิฆาตผ่าลงมายังดอกบัวเหล่านั้น จนทำให้พวกมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ทว่า ภายในดอกบัวเหล่านั้นมีไป๋หว่านฉิง ไป๋กัง และ ไป๋เถิงยืนอยู่ พวกเขาได้รับการปกป้องจากของดอกบัวเขียวขจีจำนวนมาก ราวกับว่าพวกเขาได้เข้าสู่อีกโลกหนึ่ง ไม่ว่าอัสนีดาราพิฆาตจะรุนแรงสักเพียงใด มันก็ไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่น้อย
“สมบัติอมตะ! มันคือสมบัติอมตะจริง ๆ!” สีหน้าของไฉ่เส้าผันผวนอย่างไม่รู้จบขณะที่ร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับเขาได้พบเห็นสิ่งที่น่าสยดหยองเป็นอย่างยิ่ง
“สมบัติอมตะหรือ? บัดซบ! ท่านอาจารย์ลุง ค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราของเราคงไม่อาจกักขังพวกมันได้อีกต่อไป เราควรทำเยี่ยงไรต่อไปดี?” ท่าทางของเถี่ยอวิ๋นจื่อเองก็ดูเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางกระหม่อมเช่นเดียวกัน และใบหน้าของเขาก็ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาตระหนักได้ว่า ครั้งนี้เขาทำให้ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ต้องขุ่นเคือง ถ้าลองทบทวนให้ดี ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีที่ใช้สมบัติอมตะเป็นดั่งอาวุธ แล้วกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเขาจะน่าเกรงขามขนาดไหน?
สีหน้าของไฉ่เส้าแปรผันไปมา เขากัดฟันแน่นอยู่ครู่หนึ่ง และจึงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ฆ่าพวกมันซะ! จงใช้เคล็ดวิชาสังเวยโลหิตเพื่อกระตุ้นพลังของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราอย่างเต็มที่ คราวนี้ต้องฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีให้จงได้ หากเราปล่อยให้มันหลบหนีไป พระราชวังข่ายดาราจะต้องประสบกับการแก้แค้นที่ไม่รู้จักจบสิ้น และอาจถึงขั้นถูกลบล้างออกจากโลกแห่งการบ่มเพาะ หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีผู้ใดที่สามารถรับผลที่ตามมาได้”
“เคล็ดวิชาสังเวยโลหิต!?”
“ท่านอาจารย์ลุง มันต้องคร่าชีวิตผู้คนนับหมื่นเพื่อที่จะสามารถกระตุ้นพลังของค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์! นี่… นี่มันจะไม่อำมหิตไปหน่อยหรือขอรับ?” เถี่ยอวิ๋นจื่อสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว และเขากล่าวด้วยสีหน้าสับสน
“ฮึ่ม! สถานการณ์เช่นนี้เจ้ายังมีจิตเมตตาอีกหรือ? ที่นิกายของเราได้เลี้ยงดูสั่งสอนเหล่าศิษย์ ก็เพื่อให้พวกเขาช่วยฝ่าฟันวิกฤตที่เกิดขึ้นกับนิกายมิใช่รึ?” ไฉ่เส้ามีสีหน้าอำมหิต และเจตนาฆ่าของเขาก็เพิ่มพูนขึ้น
“เจ้าเพียงแค่สังเวยศิษย์ไปบางส่วน แต่จะได้รับสมบัติอมตะเป็นการตอบแทน ทั้งยังเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง ไม่เหมือนกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าและไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย!”
“ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสมบัติอมตะเช่นนี้ หากข้าบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี พระราชวังข่ายดาราของเราย่อมอยู่เหนือกว่านิกายกระบี่เมฆาพเนจร และจะกลายเป็นนิกายอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะสามารถรับสมัครศิษย์ได้มากมายเท่าที่เราต้องการ ดังนั้น เหตุใดเราต้องกังวลถึงสิ่งที่ทำให้นิกายไม่เจริญรุ่งเรืองล่ะ”
“ตกลง! ข้าจะลงมือพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ทันที เพื่อเซ่นสังเวยวิญญาณและเลือดของเหล่าศิษย์เพียงไม่กี่หมื่นคนให้กับมหาค่ายกลนี้!” เถี่ยอวิ๋นจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในที่สุด
ในฐานะผู้นำของนิกาย เถี่ยอวิ๋นจื่อเป็นคนอำมหิตและโหดเหี้ยม และหลังจากที่เขาไตร่ตรองถึงข้อดีและข้อเสียแล้ว ร่างของเขาก็ทะยานออกไปในทันทีและมุ่งไปยังช่องเขาอันห่างไกลซึ่งมีผู้อาวุโสทั้งสิบเจ็ดคนและศิษย์อีกหกหมื่นคนได้ซ่อนตัวอยู่
“ช้าก่อน! นั่นมันกระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้า!ระยำเอ๊ย! เจ้าเป่ยเหิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็อยู่ที่นี่เช่นกัน!” ใบหน้าของไฉ่เส้ามืดมนลงในทันที
เถี่ยอวิ๋นจื่อหยุดฝีเท้าของเขาอย่างกะทันหัน จากนั้นแหงนหน้าขึ้นมอง และสังเกตเห็นว่าในช่องเขาแคบ ๆ ในภูเขาดาวตก มีกระจกขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ และกำลังปล่อยม่านแสงสีทองออกมา เพื่อต้านทานอัสนีดาราพิฆาต ที่ซัดสาดลงมาจากทั่วท้องฟ้า เมื่อเขาค่อย ๆ ร่อนลงมา ก็เห็นเงาร่างของคนสองคนที่อยู่ภายในม่านแสงสีทองได้อย่างราง ๆ
“นั่นมันเจ้าเฉินซี!” เถี่ยอวิ๋นจื่อกล่าวออกมาด้วยความฉงนและประหลาดใจ อันที่จริง เขามีความประทับใจต่อเฉินซีอย่างลึกซึ้ง และเพียงชั่วพริบตา เขาก็จำได้ว่าเงาร่างนั้นคือผู้ใด ดังนั้น ต่อให้ไม่ต้องคาดเดา ร่างที่อยู่เคียงข้างเฉินซีนั้น ย่อมเป็นเป่ยเหิงอย่างแน่นอน เพราะเขาได้ครอบครองกึ่งสมบัติอมตะที่ถูกเรียกว่า กระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้า
“หืม? เจ้าเด็กคนนั้นหรือที่ฆ่าเทียนเอ๋อร์ของข้า?” ร่างกายของไฉ่เส้าสั่นสะท้าน และสีหน้าของเขาก็เย็นชาลงในทันใด
“ถูกต้อง จากข้อมูลของตระกูลซู เจ้าเด็กคนนี้น่าจะฆ่าศิษย์น้องเล่อเทียน” เถี่ยอวิ๋นจื่อกล่าวช้า ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเด็กคนนี้ยังได้พิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ถ้าไม่ใช่เพราะเป่ยเหิงคอยปกป้องมัน ข้าคงแย่งชิงเจดีย์จากมันมาตั้งนานแล้ว”
“ดี! สวรรค์กำลังส่งเสริมพระราชวังข่ายดาราจริง ๆ!” น้ำเสียงของไฉ่เส้าราวกับถูกเค้นออกมาจากรอยแยกระหว่างฟันของเขา และเขาก็กล่าวทีละคำว่า “ไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถฆ่าเจ้าเฒ่าที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น แต่ยังสามารถล้างแค้นให้กับเทียนเอ๋อร์ได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เป่ยเหิงล้มตายไปแล้วและพระราชวังข่ายดาราได้ครอบครองสมบัติอมตะทั้งสองชิ้น การทำลายล้างนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในภายภาคหน้า ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”
“ไปซะ จงใช้เคล็ดวิชาสังเวยโลหิตเป็นการด่วน! ความหวังของพระราชวังข่ายดาราที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในครั้งนี้!” สีหน้าของไฉ่เส้านั้นคลุ้มคลั่งจนน่ากลัว เส้นผมของเขาปลิวไสว ขณะที่เขาตะโกนสั่งด้วยเสียงทุ้มหนัก
ฟิ้ว!
เถี่ยอวิ๋นจื่อจะกล้าชักช้าต่อไปได้อย่างไร เขารีบทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที
“อ๊าก! ผู้อาวุโสสาม ท่านฆ่าข้าทำไม”
“ประมุขนิกาย เจ้า…เจ้า…”
“ไอ้สารเลว! พวกเจ้าทุกคนช่างอำมหิตเหลือเกิน ถึงกลับเข่นฆ่าเหล่าลูกศิษย์ในนิกาย พวกเจ้ามันเลวทรามยิ่งกว่าสัตว์! ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้าทุกคน! ข้าขอสาปแช่งพระราชวังข่ายดาราของเจ้าให้เลือดหลั่งไหลเป็นสายน้ำ อีกทั้งยังต้องถูกทำลายจนสิ้นซาก และมรดกเต๋าของพระราชวังข่ายดาราจะต้องถูกทำลายไปตลอดกาล!”
หลังจากนั้นไม่นาน คลื่นเสียงที่เกิดการโหยหวนและเสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังมากมายดังก้องออกมาจากช่องเขาในทันที ซึ่งมันเหมือนกับอสูรร้ายที่ถูกกักขังไว้ในนรกและตั้งใจที่จะกลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ไม่ว่าใครก็ตามหากได้ยินเสียงเหล่านี้ ก็ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก
ทันใดนั้น มีแสงสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าใส่ภูเขาดาวตก จนเกิดเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งสวรรค์และโลก ในขณะที่แสงสีเลือดอันไร้ขอบเขตได้ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าที่มีความรุนแรงดั่งคลื่นยักษ์ถาโถมลงมา ในตอนนี้ อัสนีดาราพิฆาตได้กลายเป็นสีเลือดอย่างสมบูรณ์ พวกมันทั้งเกรี้ยวกราด รุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น อานุภาพของสายฟ้ากลับเพิ่มพูนเป็นสองเท่าอีกด้วย!
เถี่ยอวิ๋นจื่อยิ้มอย่างเย็นชา ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังอัสนีดาราพิฆาตที่ปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้า และมีลำแสงสีเลือดหมุนวนอยู่รอบตัวพวกมัน
“การใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่ได้สะสมมานับพันปีและสังเวยศิษย์หลายหมื่นคน พระราชวังข่ายดาราของข้าได้จ่ายไปในราคาที่หนักหนาสาหัส และพวกเจ้าทุกคนจะต้องตายในวันนี้…!”
…
ฟิ้ว!
ปราณจ้าววิญญาณที่พลุ่งพล่านเป็นดั่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเชี่ยว ส่งเสียงคำรามและซัดสาดไปมาระหว่างเลือดเนื้อกับผิวหนังของเขา ปราณแท้และพลังชีวิตในร่างกายของเฉินซีอยู่ในสภาวะสูงสุด ทุกรูขุมขนบนร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณจ้าววิญญาณที่อัดแน่น
ในขณะที่กลิ่นอายของปราณปฐพีที่ห้า ปราณพฤกษาที่สอง ปราณทองคำที่เจ็ด ปราณอัคคีที่สาม ปราณวารีที่เก้า พลังดาราจักร และพลังสายฟ้าได้ผสมผสานเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกถึงความเก่าแก่ ความอ้างว้าง และกว้างใหญ่ไพศาล ราวกับดินแดนแห่งความโกลาหลที่ก่อตัวขึ้นในยุคบรรพกาล ปรากฏขึ้นภายในร่างกายของเขา มันช่างดูลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ เขาได้ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดและลืมเลือนทุกสิ่ง
เขาลืมเลือนสวรรค์และโลก แม้กระทั่งตัวเขาเอง!
เขาลืมเลือนเป่ยเหิงที่อยู่เคียงข้างเขา หรือแม้กระทั่งอดีตและความทรงจำ
อัสนีดาราพิฆาตที่ผ่าลงมาเหนือหัวและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาเองก็ถูกลืมเลือนไปเช่นกัน แต่พลังชีวิตและปราณแท้ในเลือดของเขากลับเริ่มโคจรอย่างเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากเจตนาแม้แต่น้อย
เขารู้สึกราวกับว่าได้หลอมรวมเข้ากับอัสนีดาราพิฆาต ที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเข้าสู่สภาวะลึกลับที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังกางปีกโบยบินไปยังท้องฟ้าและมุ่งสู่ความเงียบสงบที่อยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไป
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จิตของเขาได้มาถึงมิติอันไร้ขอบเขตแล้ว ทางด้านขวามือของเขาคือดาวขนาดใหญ่ที่มีสีแดงร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงและเปล่งแสงเจิดจ้า ส่วนทางด้านซ้ายมือของเขามีดาวอีกดวงหนึ่งอยู่เช่นกัน ดาวดวงนี้เย็นยะเยือกและมืดมน สีของดาวนั้นดำสนิทราวกับความมืดมิด ที่แม้แต่แสงก็ไม่อาจเล็ดลอด ยิ่งไปกว่านั้น ยามที่ได้จ้องมองก็ทำให้ใจต้องสั่นสะท้านและตกอยู่ในความสิ้นหวังอีกด้วย
ดาวโบราณทั้งสองดวงนี้ ดูเหมือนว่าพวกมันโคจรมาตั้งแต่จักรวาลได้อุบัติขึ้นมา ซึ่งแท้จริงแล้วพวกมันก็คือดาวหยินและดาวหยางอันยิ่งใหญ่ หนึ่งหยางหนึ่งหยินเช่นเดียวกับตอนที่ความโกลาหลได้ก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรก อากาศปลอดโปร่งลอยขึ้น ในขณะที่อากาศขุ่นมัวจมลง หยินและหยางก็แยกออกจากกันเพื่อทำให้โลกเจริญงอกงาม
“หยินและหยางอันยิ่งใหญ่…” ดูเหมือนว่าพลังลึกลับกำลังขับเคลื่อนเฉินซีอยู่ ทำให้เขานั่งสมาธิท่ามกลางอวกาศโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ถือมือข้างซ้ายถือหยินอยู่ ส่วนมือขวาก็ถือหยางไว้ ทำให้สีดำและสีขาวโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ปราณแท้และท่าทางของเขาสงบนิ่ง ราวกับไม่มีความสุขและไม่มีความเศร้า เสมือนเขาเป็นดั่งจ้าวผู้ปกครองที่ควบคุมมหาเต๋าสูงสุดแห่งหยินและหยาง
ในห้วงสำนึกของเขา ชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากทั้งสองที่รวมกันเป็นหนึ่ง ได้ปลดปล่อยกระแสลมที่พลุ่งพล่านออกมาอย่างกระทันหัน ทันใดนั้นเอง ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดต่าง ๆ ได้เกิดขึ้น เช่น การก่อตัวของธาตุทั้งห้า หยินและหยางหมุนวนไปมา สายฟ้าแลบไปทั่วท้องฟ้า เสียงหวีดหวิวของพายุที่พัดโหม ดวงดาวเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็วไปตามวิถีอันมากมาย…
“อื๋อ?” เป่ยเหิงใช้กระจกดาราปฐพีที่ห้าต้านทานอัสนีดาราพิฆาตอย่างสุดความสามารถ และดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง จึงหันไปมองที่เฉินซีและก็ตกตะลึงในทันที
เมฆสายฟ้าสองก้อนได้ปรากฏขึ้นเหนือหัวของเฉินซีที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนพื้น เมฆลูกหนึ่งเป็นสีดำบริสุทธิ์และลึกล้ำ ส่วนเมฆอีกลูกหนึ่งเป็นสีขาวโพลน ขณะที่พวกมันกำลังหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยก่อตัวเป็นแผนภาพหยินหยางที่กลมอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งบนแผนภาพหยินหยางก็มีสายฟ้าฟาดและพลังดาราจักรส่งเสียงหวีดหวิว กระแสวังวนสีดำและสีขาวมีขนาดมหึมา ราวกับหลุมดำอันลี้ลับที่สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในจักรวาลเข้าไปจนสิ้น
“ดวงดาว สายลม สายฟ้า หยิน หยาง ห้าธาตุ…” เป่ยเหิงพึมพำโดยไม่ตั้งใจ “สิ่งเหล่านี้คือมหาเต๋าสูงสุดทั้งสิบประเภท ที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋าแห่งสวรรค์ทั้งสามพันอย่าง และแค่หนึ่งในนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะต้องหยั่งถึงไปชั่วชีวิต!
เต๋าแห่งการรู้แจ้ง ถูกแบ่งออกเป็น เต๋ารองและมหาเต๋า
ตัวอย่างเช่น เต๋าแห่งสายน้ำที่ราชาอีกาทมิฬได้หยั่งถึง ก็เป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋าแห่งวารี หรือ เต๋ารู้แจ้งแห่งน้ำแข็งที่เฟยเหลิ่งชุ่ยผู้นำรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้หยั่งถึง ก็เป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋าแห่งวารีเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเต๋าแห่งสายน้ำหรือเต๋ารู้แจ้งแห่งน้ำแข็ง พวกมันทั้งคู่ต่างก็เป็นแค่เต๋ารอง และไม่อาจเทียบกับมหาเต๋าแห่งวารีโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมหาเต๋าแห่งวารีเป็นที่สุดของเต๋าธาตุน้ำที่มีอยู่มากมายในโลก มันจึงเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นต้นกำเนิดของเต๋าแห่งน้ำทั้งปวง!
ในสายตาของเป่ยเหิง การหยั่งถึงเต๋าที่เฉินซีแสดงออกมาในตอนนี้ประกอบไปด้วยเต๋าแห่งการรู้แจ้งทั้งสิบประเภท อันได้แก่ ดวงดาว สายลม สายฟ้า หยิน หยาง โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ทุกสิ่งล้วนเป็นมหาเต๋าสูงสุด!
เต๋าแห่งการรู้แจ้งเหล่านี้เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกเพาะไว้ในใจคน และตราบเท่าที่คนคนนั้นบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียร พยายามหยั่งถึงมันทั้งกลางวันและกลางคืน หลังจากที่พิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้า ก็สามารถเปลี่ยนมันให้เป็นกฎสัจธรรมแห่งมหาเต๋า ในขณะที่การควบคุมกฎแห่งมหาเต๋าก็เป็นหนึ่งในความสามารถของเซียนสวรรค์!
การบ่มเพาะของเป่ยเหิงอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่สอง และเขาได้เก็บสะสมปราณเซียนไว้ในร่างกายของเขาแล้ว เป้าหมายตลอดชีวิตของเขาคือการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับมหาเต๋าที่ลึกซึ้งและครอบคลุมมากขึ้น
เท่าที่เขาทราบมา ผู้ใดก็ตามที่สามารถพิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าและกลายเป็นเซียนสวรรค์ จะต้องหยั่งถึงมหาเต๋าเสียก่อน อาจถือได้ว่า หากคนผู้นั้นสามารถหยั่งถึงมหาเต๋าแล้ว ย่อมมีโอกาสสูงที่จะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์!
ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะหยั่งถึงเต๋ารองได้มากมายสักเท่าไรก็ตาม หากไม่สามารถหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันเพื่อบรรลุไปสู่มหาเต๋า การพิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก และโอกาสที่จะเอาชีวิตรอดก็น้อยลงเช่นกัน ซึ่งเต๋ารองนี้ไม่สามารถเทียบเคียงกับมหาเต๋าได้เลยสักนิด
ปัง!
ในขณะที่เป่ยเหิงกำลังตกในห้วงความคิดโดยไม่รู้ตัว อัสนีดาราพิฆาตที่มีสีเลือดได้ฟาดลงมาที่กระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้า จนมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและคร่ำครวญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เป่ยเหิงเองก็สั่นสะท้านจนถึงจุดที่เลือดลมของเขาพลุ่งพล่านเช่นกัน และแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ทันใดนั้น เขาจึงรีบรวบรวมปราณเซียนและพ่นใส่กระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้าเพื่อทำให้มันเสถียรยิ่งขึ้น
ทว่าเพียงพริบตาเดียว กระจกก็เริ่มส่งเสียงดังอีกครั้ง เมื่อแรงกดดันที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน จึงทำให้สีหน้าของเป่ยเหิงซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด และความรู้สึกถึงอันตรายก็พุ่งสู่หัวใจเขาอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะรอดพ้นจากสายฟ้าเหล่านี้ไปได้หากข้าทอดทิ้งเจ้าเด็กคนนี้ แต่ข้าก็ได้ลงทุนกับเจ้าเด็กคนนี้ไปมากแล้ว มันน่าเสียดายเกินไป หากข้าจะล้มเลิกกลางคัน” เมื่อเป่ยเหิงจ้องมองไปยังเฉินซี ที่กำลังนั่งโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอยู่ ความคิดในใจของเป่ยเหิงก็ขัดแย้งอย่างรุนแรง