บทที่ 160 การทะลวง
บทที่ 160 การทะลวง
หยิน! หยาง! ธาตุทั้งห้า! สายฟ้า! สายลม! ดวงดาว!
การหยั่งถึงมหาเต๋าสูงสุดทั้งสิบประเภทที่มีความลึกซึ้งและสีสันมากมาย เป็นดั่งกระแสน้ำที่ถาโถมเข้าสู่หัวใจของเฉินซี แต่ความเข้าใจเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่วราวกับไข่มุกล้ำค่าที่ร่วงหล่นอยู่เต็มพื้น ดังนั้น เพียงหา ‘ด้าย’ มาร้อยพวกมันเข้าด้วยกันเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างสร้อยคอเคลื่อนที่ไปยังสุดหล้าได้
และ ‘เส้นด้าย’ ที่กล่าวถึง ก็คือการบ่มเพาะที่พากเพียรอย่างยากลำบาก หมั่นทำสมาธิตลอดทั้งวันทั้งคืน และมุ่งมั่นในการแสวงหา
เมื่อกระแสวังวนสีดำและสีขาวปรากฏขึ้น เฉินซีก็ฟื้นตื่นจากสภาวะที่ล้ำลึกในทันที อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าการโคจรของปราณจ้าววิญญาณในร่างของเขา อยู่เหนือการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิงและไม่สามารถหยุดมันได้อย่างเต็มที่
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับว่าเขาอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และไม่ว่าเขาจะดิ้นรนสักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมที่ถูกคลื่นซัดสาดได้ จึงทำได้เพียงค่อย ๆ ล่องลอยไปตามกระแสน้ำเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซียังรู้สึกว่าเลือดเนื้อและผิวหนังของเขา เป็นเหมือนก้อนแป้งหมักที่พองโตและขยายตัวโดยไม่หยุดหย่อน อันเนื่องมาจากพลังดาราจักรได้ถาโถมเข้าสู่ร่างกายจนถึงจุดที่มันใกล้จะระเบิด
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”
“ก่อนหน้านี้ข้าซึมซับพลังดาราจักรอยู่แล้วก็…”
“ไม่ได้การแล้ว หากเป็นเช่นนี้อีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วร่างของข้าจะต้องระเบิดโดยพลังดาราจักรที่ถาโถมเข้ามา…”
เดิมที เฉินซีกำลังคิดว่าจะเฝ้าดูสถานการณ์ของไป๋หว่านฉิงที่อยู่ห่างไกลออกไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในตอนนี้ เขาไม่อาจละความสนใจให้แก่เรื่องอื่นได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็ฝืนกัดฟันในขณะที่รำลึกถึงเคล็ดวิชาการการแปรสภาพร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่หกอย่างบ้าคลั่ง
“สวรรค์และโลกถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน แสงสว่างคือหยาง ความมืดมิดคือหยิน พลังของหยินที่รุนแรงและนุ่มนวลมาจากมหาหยิน…” เฉินซีรีบกลั้นหายใจและตั้งสมาธิเป็นการด่วน และไม่มีเวลาที่จะทำความเข้าใจต่อความลึกซึ้งของเคล็ดวิชาที่บ่มเพาะ ก่อนที่จะโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะและชักนำปราณจ้าววิญญาณที่ขยายตัวไปสู่จุดที่เกือบจะระเบิด ให้มันได้เริ่มโคจรอย่างช้า ๆ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ปราณจ้าววิญญาณที่อยู่รอบตัวเขาพลุ่งพล่านและม้วนตัวดั่งมังกรเย่อหยิ่งที่กำลังออกอาละวาด แต่ภายใต้การชักนำจากญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซี มันเริ่มโคจรอย่างรวดเร็วไปตามวิถีที่ลึกซึ้งมากมาย และถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านจุดชีพจรในร่าง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปสู่เลือดเนื้อและผิวหนังของเขา
ผ่านไปไม่กี่อึดลมหายใจ อักขระจ้าววิญญาณแบบใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหลังของเฉินซี มันเป็นสีดำสนิทเป็นประกาย ลึกซึ้งและเงียบสงบ ซึ่งมันก็คือ อักขระจ้าววิญญาณของมหาหยิน!
สำหรับเฉินซี อัสนีดาราพิฆาตที่ถูกกระตุ้นโดยค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารานั้น เป็นโอสถทิพย์ชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเขาหยั่งรู้ในเต๋าแห่งสวรรค์แล้ว พลังชีวิตและลมปราณในร่างของเขาก็ได้โคจรโดยปราศจากการควบคุม และเขาได้ซึมซับพลังดาราจักรที่หนาแน่นและมหาศาลตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้น เมื่อเขาใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะเพื่อควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณของมหาหยิน มันสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและเป็นสิ่งที่มีเหตุผล
ซึ่งมันคือพรหมลิขิตอย่างแน่แท้ หากเฉินซีไม่ได้บ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ เขาจะไม่สามารถดูดซับพลังดาราจักรที่อยู่ภายในสายฟ้าได้ และจะไม่ตกอยู่ในสภาวะอันน่าอัศจรรย์ของการหยั่งถึงอย่างฉับพลันได้อย่างเต็มที่เหมือนก่อนหน้านี้ เพื่อทำความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งทั้งหลาย และโดยปกติแล้วเขาจะไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หลังจากที่อักขระจ้าววิญญาณของมหาหยินได้ก่อตัวขึ้น เฉินซีรู้สึกว่า พลังดาราจักรในร่างกายของเขาที่ขยายตัวจนเกือบจะระเบิดได้ก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก แต่มันก็ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่งอยู่ดี เพราะเขาสังเกตเห็นว่า กระแสวังวนสีดำและสีขาวที่ลอยอยู่เหนือเขายังคงถ่ายเทพลังดาราจักรไปยังร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง และมันยังมีสายฟ้าปะปนอยู่ภายใน หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เขาอาจจะถูกฟ้าผ่าจนตาย!
‘เมื่อตอนที่ข้ากำลังบ่มเพาะ การทำสมาธิได้นำพาข้าไปสู่ดวงดาวของมหาหยินและมหาหยางอันเก่าแก่ที่อยู่ไกลเกินเอื้อมและมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งหยินและเต๋ารู้แจ้งแห่งหยาง ซึ่งทำให้ข้าสามารถควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยินได้สำเร็จ ดังนั้นข้าควรที่จะลองควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยางเลยเสียดีกว่า’
หลังจากที่เฉินซีไตร่ตรองได้แล้ว เขาก็เริ่มโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอีกครั้งและมุ่งเป้าไปที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่เจ็ด ซึ่งเป็นขอบเขตแห่งมหาหยาง ผลลัพธ์ก็ที่ได้ออกมานั้นก็ราบรื่นกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นความรู้สึกที่ง่ายดายและน่ายินดีที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีสังเกตเห็นอักขระจ้าววิญญาณที่มีฤทธิ์หยางอัดแน่นอย่างสุดขีด และกำลังลุกโชนราวกับตะวันที่ปรากฏบนแผ่นหลังของเขา ในที่สุดเขาก็มั่นใจแล้วว่า เขาได้ควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยาง และบรรลุทักษะแปรสภาพร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่เจ็ดแล้ว!
ในขณะนี้ ปราณจ้าววิญญาณในร่างของเฉินซีมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก มันควบแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่มันกลายเป็นของเหลว ซึ่งเดิมทีปราณจ้าววิญญาณของเขาประกอบด้วยปราณดาราปฐพีที่ห้า ปราณดาราพฤกษาที่สอง ปราณดาราทองคำที่เจ็ด ปราณดาราอัคคีที่สาม และปราณดาราวารีที่เก้า ในตอนนี้ปราณแห่งหยินและหยางก็ปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้ปราณจ้าววิญญาณของเขา ดูเก่าแก่ ลึกลับ และกว้างใหญ่ยิ่งขึ้น
ทว่านี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด
หลังจากที่เขารวบรวมขอบเขตมหาหยินและมหาหยางแล้ว กระแสวังวนสีดำและสีขาวที่อยู่เหนือเขายังคงถ่ายเทพลังดาราจักรมาที่ร่างของเขาโดยไม่หยุดหย่อน ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถหยุดบ่มเพาะได้ แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม
ตอนนี้เฉินซีกำลังเผชิญกับปัญหาที่ยากลำบาก เคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่มีอยู่ทั้งเก้าขั้นนั้น เขาได้บ่มเพาะจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่ห้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะขอบเขตแห่งมหาหยางและมหาหยินอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การบ่มเพาะของทั้งสองขอบเขตต่อไปนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเพื่อที่จะบ่มเพาะด้วยตนเอง จึงจะสามารถควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณประเภทใหม่บนแผ่นหลังของเขา
แต่ว่าการบ่มเพาะของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่แปดและขั้นที่เก้า กลับไม่มีแนวทางการบ่มใด ๆ อยู่เลย จึงต้องอาศัยความเข้าใจในปราณจ้าววิญญาณและเต๋าแห่งสวรรค์ของตัวเอง เพื่อควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณประเภทใหม่เท่านั้น!
สิ่งนี้คือบททดสอบรูปแบบหนึ่ง การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยทุกสิ่งที่มีให้ จะไม่มีวันกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง แล้วนับประสาอะไรกับการท้าทายสวรรค์ที่มีอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ? เส้นทางแห่งการบ่มเพาะของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ว่ากันว่ามีมหาเต๋าถึงสามพันรูปแบบ และทุกคนต่างก็มีโชคชะตาเป็นของตัวเอง แม้แต่ศิษย์ที่ได้รับการสั่งสอนโดยอาจารย์คนเดียวกันก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะแต่ละคนจะไตร่ตรองและตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญ จึงจะสอดคล้องกับตัวเองอย่างแท้จริง
แต่บททดสอบเช่นนี้เป็นที่นิยมในสมัยโบราณเท่านั้น ทุกวันนี้ วิธีการบ่มเพาะได้พัฒนาจนสมบูรณ์แบบ และนิกายต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดที่มีมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าที่มีอยู่ในโลก ตราบใดที่คนคนนั้นมีพรสวรรค์และเงินในกระเป๋าเพียงพอ ก็สามารถรับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะใด ๆ ก็ได้จากนิกายต่าง ๆ
ดังนั้น ใครจะกล้าเสี่ยงฝึกฝนโดยไม่ทราบถึงผลที่ตามมา? จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการธาตุไฟเข้าแทรก?
มีเพียงตัวตนที่เก่าแก่อย่างจื้อวี๋ที่มีอายุยืนยาวนับล้านปีเท่านั้น ที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยยึดถือตามกฎแห่งยุคบรรพกาล สำหรับบททดสอบครั้งนี้เป็นจะโชคชะตาหรือภัยพิบัติ มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่จะทราบได้
อักขระจ้าววิญญาณรูปแบบใหม่… เฉินซีระลึกถึงเต๋ารู้แจ้งจำนวนมากที่เขาได้หยั่งถึงระหว่างการบ่มเพาะก่อนหน้านี้ และตระหนักได้ราง ๆ ว่านอกจากเต๋าแห่งสายลมและเต๋าแห่งสายฟ้าแล้ว เต๋ารู้แจ้งอีกแปดประเภทที่เหลืออยู่ล้วนเกี่ยวข้องกับทักษะการแปรสภาพร่างกายของเขา
ยกตัวอย่างเช่น เต๋ารู้แจ้งแห่งดารา ซึ่งเคล็ดวิชาที่เขาบ่มเพาะนั้นได้เกี่ยวข้องกับดวงดาว และอีกตัวอย่างคือ ขอบเขตทั้งห้าอันได้แก่ ขอบเขตปฐพีที่ห้า ขอบเขตพฤกษาที่สอง ขอบเขตทองคำที่เจ็ด ขอบเขตอัคคีที่สาม และ ขอบเขตวารีที่เก้า ซึ่งเป็นห้าขั้นแรกของขอบเขตตำหนักอินทนิลเกี่ยวข้องกับเต๋าแห่งการรู้แจ้งของธาตุทั้งห้า ในขณะที่ขั้นที่หกเป็นของเขตแดนมหาหยินและขั้นที่เจ็ดของเขตแดนมหาหยางนั้น ได้เกี่ยวข้องกับหยินและหยางเช่นกัน
‘ดูเหมือนว่าการบ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพของข้า จะได้รับการเกื้อหนุนจากการจินตภาพถึงรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ซึ่งได้สอดคล้องกับการหยั่งถึงเต๋าแห่งสวรรค์โดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังบรรลุผลที่ยอดเยี่ยมและลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง’
‘เต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมนั้น ข้าหยั่งถึงได้ด้วยตนเอง แต่สำหรับเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้านั้น มันอาจจะเป็นสิ่งที่ข้าหยั่งถึงโดยไม่รู้ตัว เมื่อตอนที่ได้ซึมซับอัสนีดาราพิฆาตก่อนหน้านี้หรือเปล่า?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และแม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าความคิดเช่นนี้ค่อนข้างที่จะไร้สาระ ท้ายที่สุด การหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้านี้เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และทำให้เขารู้สึกสับสนจนไม่อาจอธิบายได้
แท้จริงแล้ว เฉินซีไม่รู้ว่าตอนที่เขาได้บ่มเพาะก่อนหน้านู้น กระแสลมลึกลับที่พวยพุ่งออกมาจากชิ้นส่วนแผ่นภาพวารีหลากทั้งสองที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้น เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสามารถหยั่งถึงมหาเต๋าต่าง ๆ ได้
วูบ!
พลังดาราจักรที่ไหลทะลักเข้ามาในร่างของเฉินซีอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังขยายตัวจนใกล้จะระเบิดในไม่ช้า เส้นเอ็นและผิวหนังทั่วทั้งร่างดูเหมือนจะถูกเติมเต็มด้วยมวลพลังมหาศาล และความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ได้แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา
เขาไม่กล้าไตร่ตรองอีกต่อไป จึงกัดปลายลิ้นของเขาให้ได้สติในทันทีและละทิ้งความคิดที่ทำให้ไขว้เขวทั้งหมด ก่อนที่จะมุ่งความสนใจไปที่แผ่นหลังของเขา จากนั้นเขาก็ชักนำปราณจ้าววิญญาณที่แฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลม เพื่อถ่ายเทมวลพลังออกจากแผ่นหลังของเขา
สายลมแห่งเสรีภาพที่แปรพลันตลอดเวลาและไร้การจองจำ
เขาจินตนการถึงปราณจ้าววิญญาณของเขาเป็นดั่งสายลม ก่อนจะที่ถูกเปลี่ยนเป็นเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลม เพื่อที่มันจะกลายเป็นเส้นทางโคจรของปราณจ้าววิญญาณของเขา และค่อย ๆ โคจรมันทีละนิดโดยไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย
อักขระจ้าววิญญาณรูปแบบใหม่ค่อย ๆ เบ่งบานเหมือนดอกไม้อยู่บนแผ่นหลังของเขา… มันเหมือนกับลวดลายของแผ่นยันต์ที่ถูกเขียนด้วยปลายพู่กันของปรมาจารย์ยันต์อักขระ มันหนาแน่นและลึกซึ้ง ซึ่งสะท้อนแก่สวรรค์และโลก อีกทั้งยังสอดคล้องกับทุกสรรพสิ่ง
ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจดำเนินเพียงชั่วพริบตาหรือผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งในที่สุด อักขระจ้าววิญญาณรูปแบบใหม่ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น ซึ่งดูเหมือนมันกำลังหายใจขณะที่มันสว่างวาบและค่อย ๆ สลัวอยู่เป็นระยะ
อักขระจ้าววิญญาณรูปแบบใหม่นี้มีเสมือนกับสายลมอิสระที่มีชีวิตชีวา มันว่องไว สง่างาม และไร้การผูกมัดใด ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า อักขระจ้าววิญญาณแห่งสายลมที่เฉินซีกำลังหยั่งถึงนั้นสมบูรณ์แบบในที่สุด! ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะทักษะการแปรสภาพร่างกายของเขา ได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่แปด!
เฉินซีไม่ได้รู้สึกใด ๆ เพราะตอนนี้เขาหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับอักขระจ้าววิญญาณแห่งสายลม ที่เขาเพิ่งควบแน่นก่อนหน้านี้ และใช้โอกาสอันหาได้ยาก เปลี่ยนเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าที่เขาได้หยั่งถึง ให้เข้าสู่กระแสของปราณจ้าววิญญาณ เพื่อทะลวงไปสู่ระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้น
สายฟ้า!
จ้าวแห่งการเข่นฆ่า!
ผู้ควบคุมชีวิตและความตาย!
ชีวิตและความตายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ห่างไกลและเลือนราง และเป็นตัวแทนของพลังอันน่าเกรงขามของสวรรค์ ซึ่งไม่อาจละเมิดได้อย่างเด็ดขาด
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมหาเต๋า อานุภาพของสายฟ้านั้นลึกล้ำอย่างไร้ขอบเขตเช่นเดียวกัน มันสามารถบิดเบือนมิติ ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง และสามารถเปลี่ยนดินแดนที่มีเพียงฝุ่นผงให้กลายเป็นโลกที่วุ่นวายได้
ยิ่งไปกว่านั้น สายฟ้ายังเป็นประกาศิตให้ทุกสิ่งเจริญรุ่งเรือง ยามที่ฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิได้ดังขึ้น สิ่งมีชีวิตมากมายในโลกจะฟื้นตื่นขึ้นมาจากการจำศีล ชีวิตของพวกมันก็จะเจริญรุ่งเรืองและงอกเงยเติบโต และไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนประกาศิตนี้เป็นอันขาด เพราะแม้แต่คลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้า ก็ยังใช้พลังของสายฟ้าเพื่อเป็นตัวแทนของเจตจำนงจากเต๋าแห่งสวรรค์ ในการลงโทษและทรมานผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ที่กล้าท้าทายสวรรค์เพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เรารู้ถึงความน่ากลัวของพลังสายฟ้า
แต่ในขณะนี้ เฉินซีกลับอาศัยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าที่เขาได้หยั่งถึง เพื่อควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งสายฟ้าที่บนแผ่นหลังของเขา!
ฟู่! ฟู่!
กระแสของปราณจ้าววิญญาณที่แฝงไปด้วยประกายของสายฟ้า ทำให้รูขุมขนทั่วร่างกายของเฉินซี รู้สึกสั่นสะท้านและชาเล็กน้อย จนทำให้เส้นผมตั้งตรง
แต่เฉินซีไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้า ในสภาวะเคลิบเคลิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะได้พบกับเทพเจ้าที่มีร่างกายของมนุษย์และหัวของนก สวมเกราะสายฟ้าพร้อมกับถือค้อนขนาดมหึมาที่สาดแสงประกายของสายฟ้าอยู่ในมือของเขา และร่างกายของเขาก็แผ่กลิ่นอายที่ยากหยั่งรู้ เก่าแก่และเป็นนิรันดร์
เทพเจ้าองค์นี้ดูเหมือนกับว่าเขาถือกำเนิดขึ้นมาจากโลก ด้วยการทุบด้วยค้อนขนาดมหึมาของเขา เมฆสายฟ้านับไม่ถ้วนจะก่อตัวขึ้น เพื่อเคลื่อนลงมายังโลกใบใหญ่ ทำลายล้างผู้บ่มเพาะที่กล้าต่อต้านและท้าทายเต๋าแห่งสวรรค์ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขา
ร่องรอยของการหยั่งรู้กำลังไหลทะลักเข้าสู่หัวใจของเฉินซี จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเส้นทางการโคจรของปราณจ้าววิญญาณ ก่อนที่มันจะหลั่งไหลเข้าสู่แผ่นหลังของเขา อักขระจ้าววิญญาณที่สลับซับซ้อนราวกับงูเงินที่คดเคี้ยวค่อย ๆ ม้วนตัวออกมา ซึ่งให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกจนเสียดกระดูกและยากหยั่งถึง
อักขระจ้าววิญญาณแห่งสายฟ้า!
เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ การบ่มเพาะของเฉินซีได้ทะลวงผ่านไปถึงสี่ขั้นอย่างต่อเนื่อง และบรรลุทักษะการแปรสภาพร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่เก้าแล้ว!