บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 164 คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 164 คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ

บทที่ 164 คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ

ในช่วงกลางดึก

ณ ริมฝั่งทะเลสาบสีฟ้าในหุบเขาอันเงียบสงบที่อยู่ด้านหลังนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

เฉินซีกับเป่ยเหิงได้พูดคุยกันถึงเรื่องแดนภวังค์ทมิฬอยู่พักใหญ่ และในที่สุด เขาก็ได้รู้ว่านอกอาณาเขตของราชวงศ์ซ่งนั้นยังมีราชวงศ์อื่นอีกนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีสวรรค์และโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าดินแดนของราชวงศ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสถานที่อันงดงามและมีตำนานเล่าขานมากมายเกินกว่าจะพรรณนาได้ทั้งหมด

การดำรงอยู่ของมันนั้นมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ซึ่งได้ให้กำเนิดปรมาจารย์ที่สามารถเขย่าสวรรค์และโลกมากมาย อีกทั้งยังได้บัญญัติระบบการบ่มเพาะที่มีจำนวนมากมายราวกับดวงดาว และสืบทอดวิธีการบ่มเพาะที่ไร้ขอบเขตดั่งมหาสมุทร…

ณ ที่แห่งนั้นมีนิกายที่ใช้วิถีแห่งเซียน วิถีแห่งมาร และวิถีแห่งอสูรอยู่จริง มีตัวตนที่น่าเกรงขามอยู่มากมาย และมีพิภพต่าง ๆ มากมายอยู่ในมิติอันว่างเปล่าและลึกลับที่ถูกกล่าวถึงในตำนาน มีเครื่องบรรณาการจากราชวงศ์และขอบเขตมากมายนับไม่ถ้วน และราชวงศ์ซ่งก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายราชวงศ์เท่านั้น

สถานที่ที่ว่านั้นก็คือ ‘แดนภวังค์ทมิฬ’ ซึ่งเป็นโลกอันเก่าแก่ที่กว้างใหญ่ไพศาลและงดงามจนเกินจะบรรยาย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ราชวงศ์ซ่งเป็นเหมือนคลื่นเล็ก ๆ ในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขตเท่านั้น

“โชคไม่ดีที่ในช่วงหลายปีมานี้ ข้าได้ค้นหาไปทั่วสวรรค์และโลก แต่ก็ยังไม่พบเส้นทางที่จะนำไปสู่แดนภวังค์ทมิฬ และมันก็เหมือนกับตำนาน การค้นหาพวกมันนั้นยากยิ่งกว่าการขึ้นสู่สวรรค์เสียอีก” เป่ยเหิงถอนหายใจยาว

“ยากกว่าการขึ้นสู่สวรรค์? ตลอดกาลเวลาที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดเคยเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬมาก่อนเลยหรือขอรับ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ เพราะเป่ยเหิงมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่สอง และมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานจนไม่อาจนับได้ แต่เขากลับไม่เคยเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬเลยสักครั้ง เรื่องเช่นนี้มันช่างเหลือเชื่อเกินไป

“แน่นอนว่าต้องมีคนเคยเข้าถึงมาก่อน เมื่อการบ่มเพาะของคนผู้นั้นบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ย่อมมีใครสักคนจากแดนภวังค์ทมิฬมารับเจ้าไป เพราะนั่นคือเกณฑ์ของมัน และด้วยการก้าวข้ามเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ หากใครไม่สามารถก้าวข้ามเกณฑ์ของมันได้ ก็จะไม่สามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อีกตลอดชีวิต” เป่ยเหิงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน

“อย่างไรก็ตาม แดนภวังค์ทมิฬเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับมิติเซียนมากที่สุด การพิชิตทัณฑ์สวรรค์ในที่แห่งนั้นย่อมมีโอกาสที่จะสำเร็จมากกว่าที่อื่น ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะอยู่ในที่แห่งนั้นยังได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ทำให้มันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะ ที่พวกเราต่างก็ใฝ่ฝันถึงอย่างแท้จริง”

“ด้วยเหตุนี้เอง หากข้าบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ก็มีโอกาสที่จะได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว เนื่องจากแผ่นหยกที่ไป๋หว่านฉิงทิ้งไว้ ทำให้เขาได้รู้ว่า หากต้องการเบาะแสบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับท่านพ่อและท่านแม่ เขาจะต้องไปที่แดนภวังค์ทมิฬเท่านั้น ทว่า เมื่อเขาได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแดนภวังค์ทมิฬแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้ว่ามันไม่ง่ายดายอย่างที่คาดคิด เพราะแดนภวังค์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ผู้ใดจะสามารถเข้าไปได้ตามใจต้องการ!

มันก็เหมือนกับการพิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเสียก่อน จึงจะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ ในขณะที่บททดสอบของแดนภวังค์ทมิฬนั้นคือการบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ถึงแม้มันดูเหมือนจะง่ายกว่ามาก แต่ความเป็นจริงนั้น ในโลกใบนี้จะมีผู้บ่มเพาะสักกี่คนที่สามารถบรรลุจนถึงจุดนี้ได้อย่างปลอดภัย?

“ย่อมมีทางอื่นอยู่เช่นกัน” เป่ยเหิงแย้มยิ้มเล็กน้อย “ในอีกสิบปีข้างหน้า การชุมนุมดาวรุ่งของราชวงศ์ซ่งจะถูกจัดขึ้น ตราบใดที่เจ้าสามารถติดหนึ่งในสิบอันดับแรก เจ้าจะมีโอกาสเข้าสู่สถานที่ลึกลับอย่างสนามรบบรรพกาล และในที่แห่งนั้น ตราบใดที่เจ้าแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม เจ้าก็จะมีความหวังที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างแน่นอน”

“หลังจากได้ผ่านการชุมนุมดาวรุ่งและสนามรบบรรพกาลแล้ว ข้าย่อมมีความหวังที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬจริง ๆ หรือ?” เฉินซีจงใจกล่าวโดยเน้นคำว่า ‘ความหวัง’

เป่ยเหิงพยักหน้า “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บ่มเพาะที่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้นก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นของราชวงศ์ซ่งทั้งหมด และน่าจะมีอัจฉริยะไม่ต่ำกว่าสองสามล้านคนที่ได้เข้าร่วม ซึ่งในหมู่พวกเขาเหล่านั้นย่อมมีอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเคียงอยู่ด้วย

ส่วนความยากในการได้รับสิบอันดับแรกนั้นไม่ได้ยากเพียงอย่างเดียว และการแข่งขันก็โหดเหี้ยมเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่สามารถเข้าสู่สนามรบบรรพกาลได้นั้น ย่อมเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ จากราชวงศ์อื่น ๆ และทุกคนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะสามารถจินตนาการถึงความยากลำบากในแข่งขันกับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณสมบัติที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างชัดเจน”

“ด้วยการคัดเลือกและการแข่งขันเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะมีความหวังอยู่มากหรือ?” เป่ยเหิงถอนหายใจขณะที่เขากล่าวว่า “ข้าได้เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่ลองเข้าร่วมด้วยตัวเอง เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่า ในโลกใบนี้มีปรมาจารย์รุ่นเยาว์อยู่มากมายถึงเพียงใด”

เฉินซีรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่สามารถบรรยายได้ในทันที แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ‘เป้าหมายของข้าคือการเป็นเซียนสวรรค์ ข้าจะปล่อยให้การทดสอบขัดขวางฝีเท้าของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร’

“พี่ใหญ่เป่ยเหิง คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้นคือสิ่งใด”

“อายุต้องต่ำกว่าสามสิบปีและมีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น!”

เมื่อเฉินซีกลับไปถึงยอดเขาใจสัจธรรม ทุกคำที่เป่ยเหิงได้พูดไว้ ยังคงก้องกังวานอยู่ในใจของเขา โดยเฉพาะคุณสมบัติในการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้น จะต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี และบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้นจึงจะเข้าร่วมได้! เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าพรสวรรค์ของผู้บ่มเพาะที่สามารถเข้าสู่สังเวียนของการชุมนุมดาวรุ่งนั้นน่าเกรงขามถึงเพียงใด

“ข้ามีเวลาเพียงสิบปี แต่การบ่มเพาะของข้าในตอนนี้ กลับอยู่แค่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น และก่อนที่ข้าจะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ข้าต้องบรรลุขอบเขตเคหาทองคำเสียก่อน ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างคุ้มค่าที่สุด” ภายในห้องที่เงียบสงบ เฉินซีไม่ได้กังวลอีกต่อไปและรีบโคจรคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาทันที

เขาเป็นคนแบบนี้ เมื่อเขาระบุเป้าหมายได้แล้ว เขาจะรีบลงมือทำโดยปราศจากการลังเลแม้แต่น้อย

ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย เวลาสามเดือนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ที่ด้านข้างของหน้าผาบนยอดเขาใจสัจธรรม ดวงแสงอันเชี่ยวกรากที่ดูเหมือนกระแสน้ำลูกแล้วลูกเล่า พรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของปราณกระบี่ พวกมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และยากที่จะสัมผัสถึง

ทีละเล็กทีละน้อย การเคลื่อนไหวของเฉินซีค่อย ๆ เคลื่อนจากเร็วสุดขีดกลายเป็นเชื่องช้า และดูเหมือนว่ามีภูเขาลอยอยู่บนปลายกระบี่ของเขา ทำให้ทุกการโจมตีที่แทงออกไปนั้นต้องใช้กำลังเป็นอย่างมาก จึงทำให้มันเชื่องช้าเหมือนหอยทาก

อย่างไรก็ตาม วิถีกระบี่ของเฉินซีกลับลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ และดำเนินไปในรูปแบบที่อธิบายไม่ได้ กลิ่นอายที่ลอยออกมาจากปราณกระบี่นั้นแฝงไปด้วยวิถีโคจรของดวงดาว ความหนักอึ้งของปฐพี ความคมกล้าของโลหะ ความมีชีวิตชีวาของพฤกษา เปลวเพลิงที่ไร้การควบคุม ความต่อเนื่องของสายน้ำ ความว่องไวของสายลมและการหมุนเวียนของหยินหยาง…

ในตอนนี้ เขาได้หลอมรวมเต๋ารู้แจ้งทั้งสิบอย่างเข้ากับเคล็ดวิชากระบี่ของเขา!

ถ้าหากมีคนเฝ้ามองวิถีกระบี่ของเฉินซี เพียงชั่วพริบตา วิญญาณของคนผู้นั้นจะตกอยู่ในความยุ่งเหยิงและถูกมารที่อยู่ในใจครอบงำอย่างแน่นอน เพราะว่าวิถีกระบี่ของเขานั้นได้เกินขอบเขตของเจตจำนงกระบี่ทั่วไปแล้ว

ปัง!

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานสักเท่าใด ปลายกระบี่สั่นไหวและเต๋ารู้แจ้งทั้งสิบก็แตกสลายไปในทันที ร่างของเฉินซีอาบไปด้วยเหงื่อ เขารู้สึกแน่นอกจนหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาอ่อนล้าอย่างสุดขีด

“ดูเหมือนว่านอกจากเต๋าแห่งสายลม ความเข้าใจของข้าที่มีต่อเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ยังคงตื้นเขินอยู่มาก เวลาได้ผ่านไปสามเดือนแล้ว แต่ข้ายังไม่สามารถหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกัน เขตแดนเต๋าหนอ เขตแดนเต๋า ช่างเข้าใจได้ยากแท้”

เฉินซีทอดถอนหายใจเล็กน้อย เนื่องจากเขาได้เคยเห็นเขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตของหลัวซิ่ว เขาจึงรู้สึกหลงใหลเป็นอย่างมาก จึงพยายามที่จะหลอมรวมและควบคุมเต๋ารู้แจ้งทั้งสิบ ที่เขาได้หยั่งถึงเพื่อควบแน่นเขตแดนเต๋า อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาลงมือบ่มเพาะ จู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่า ตัวเขาประเมินการควบแน่นของเขตแดนเต๋าต่ำเกินไป และมันเต็มไปด้วยความยากลำบาก

แต่การบ่มเพาะตลอดทั้งสามเดือนนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่า มันทำให้การรับรู้ต่อวิชากระบี่ของเขาก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด และมันแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

“ฮู่วว!” เฉินซีพ่นลมหายใจออกอย่างยาวนาน ก่อนจะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และพบว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นสว่างไสวและกระจ่าง ประดับประดาไปด้วยหมู่ดาวที่กำลังส่องแสงริบหรี่ อีกทั้งยังกว้างใหญ่ไพศาลและลึกล้ำจนยากหยั่งถึง

หลังจากที่เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ เฉินซีจึงตระหนักได้โดยไม่รู้ตัว “ข้าคิดที่จะหลอมรวมเต๋ารู้แจ้งอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่กลับต้องตกอยู่ในความคิดที่ดื้อรั้นและหลงผิด ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เหตุใดข้าจึงต้องฝืนมันอีก”

ทันใดนั้น ภายในจิตใจของเฉินซีก็สว่างขึ้นทันใด ความคิดของเขากระจ่าง และเขาก็หัวเราะยาวออกมา เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่อันไร้ขอบเขตกำลังถาโถมเข้าสู่หัวใจของเขา ทำให้กระบี่เคลื่อนไปตามความตั้งใจของเขาในทันที มันซัดสาดออกไปราวกับพายุที่พัดใส่หิมะ ทั้งเป็นอิสระและไร้การควบคุม

กระบี่ของเขาร่ายรำท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี และมันปราศจากท่วงท่าของกระบี่ให้กล่าวถึง แต่ความเข้าใจที่มีอยู่กลับลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกายแสงกระบี่สาดส่องไปในพื้นที่โดยรอบ จากนั้นมันก็เคลื่อนตัวดั่งมังกรและพุ่งทะยานเหมือนสายฟ้า ในขณะที่สายลมและเปลวไฟหลั่งไหลออกมา สอดคล้องกับดวงดาวที่เคลื่อนคล้อย หยินและหยางต่างก็ทับซ้อนกัน ขณะที่มวลพลังของปฐพีและวารีเพิ่มพูนขึ้น และทุกการเคลื่อนไหวของเขาแฝงไปด้วยความลึกซึ้งของสวรรค์และโลกหลากหลายประเภท

เสี้ยวชั่วยามได้ผ่านไป ก่อนที่เฉินซีจะรู้สึกว่าร่างกายของเขาว่างเปล่า และความหดหู่ในอกของเขาก็สลายไปจนหมดสิ้น ในขณะนี้เอง จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงปรบมือและถอนหายใจ “ช่างเป็นวิชากระบี่ที่น่าทึ่งเสียจริง ๆ!” เมื่อเฉินซีหันกลับไปมอง เขาก็พบกับเป่ยเหิงที่กำลังล่องลอยอยู่ในเมฆขณะยิ้มออกมาอย่างแจ่มชัด

เฉินซีผสานมือของเขาและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่นี่เอง”

“ก่อนหน้านี้ เจตจำนงกระบี่ของเจ้าดูเหมือนจะมีเต๋ารู้แจ้งมากมายอยู่ภายใน และมันก็วิเศษเกินคำบรรยาย” เป่ยเหิงร่อนลงมายังข้างกายของเฉินซีและชมเชยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ทว่าวิถีกระบี่ของเจ้านั้นผันแปรและไม่บริสุทธิ์ จึงไม่สามารถบรรลุขั้นตอนของการสร้างรูปแบบได้ เนื่องจากมันขาดการผสานเข้าด้วยกันในขั้นสุดท้าย”

เฉินซีพยักหน้ารับ “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ข้าครุ่นคิดกับตัวเองอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ขออภัยที่ข้าทำได้ไม่ดีเท่าไร”

“เจ้าหนู เจ้าถ่อมตนอีกแล้ว ถ้าข้ามีความเข้าใจในระดับเดียวกับเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ข้าคงบรรลุเป็นเซียนสวรรค์นานแล้ว” เป่ยเหิง แสดงท่าทางโกรธยามที่เขาหยอกล้อ จากนั้นเขาก็กล่าวทันทีว่า “ข้าเห็นว่าวิชากระบี่ของเจ้าประกอบด้วยไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งดวงดาว สายลม สายฟ้า หยิน หยาง และ ธาตุทั้งห้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันล้วนเป็นมหาเต๋าสูงสุด ข้าเกรงว่าการจะหลอมรวมพวกมันเป็นหนึ่งเดียวคงยากทีเดียว”

หัวใจของเฉินซีรู้สึกสั่นไหว จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านพอจะมีวิธีแก้ปัญหานี้หรือไม่”

เป่ยเหิงกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ดีว่าคงไม่อาจปกปิดมันจากเจ้าได้” เขาดึงแผ่นหยกออกจากกระเป๋าและยื่นให้แก่เฉินซี “สิ่งนี้คือคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ ชื่อของมันตรงกับความหมายที่ว่า ‘ทุกสรรพสิ่งบนโลกสามารถบรรจบเป็นหนึ่งเดียว’ มันเป็นวิชากระบี่ที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง แต่ก็บ่มเพาะยากที่สุดเช่นกัน”

“แพร่หลายอย่างกว้างขวาง แต่บ่มเพาะยากที่สุด?” เฉินซีตกตะลึง

“ถูกต้อง คัมภีร์กระบี่เล่มนี้ได้แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก พลังของมันก็น่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และความลึกซึ้งของมันก็ไม่มีที่สิ้นสุด” เป่ยเหิงถอนหายใจ “แต่คัมภีร์กระบี่เล่มนี้ยากเกินที่จะบ่มเพาะ ถึงขั้นที่เกือบทุกคนไม่สามารถบรรลุถึงเคล็ดวิชาขั้นต้น รากฐานของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าคือกระบี่ และในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมานี้ มีผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามฝึกฝนคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนี้ให้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถทำได้”

“ไม่มีสักคนเลยหรือ?” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว เพราะมันยากเกินไป” เป่ยเหิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ข้ามอบให้เจ้าเพื่อให้เจ้าทำความเข้าใจและไตร่ตรอง ไม่ใช่เพื่อให้บ่มเพาะ ท้ายที่สุดวิชากระบี่นี้ก็ยากเกินไป การบ่มเพาะอย่างยากลำบากก็จะไร้ค่าในท้ายที่สุด และจะทำให้การบ่มเพาะของเจ้าล่าช้า แต่เต๋ากระบี่ทั้งแปด อันได้แก่ นภา ปฐพี วายุ วารี อัคคี ภูผา หนองบึง และสายฟ้าสามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เพื่อเปลี่ยนไปสู่ ‘กฎ’ ที่อยู่เบื้องหลังทุกสรรพสิ่งในโลก และมันจะมีประโยชน์ต่อการหลอมรวมเต๋ารู้แจ้งของเจ้าอย่างยิ่ง”

“พี่ใหญ่ ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าเหตุใดมันถึงฝึกได้ยากเย็นแสนเข็ญ” เฉินซีรับแผ่นหยกและถาม

“การอนุมานและความเข้าใจ” เป่ยเหิงตอบกลับ “แม้ว่าคัมภีร์กระบี่เล่มนี้จะมีเพียงมหาเต๋ากระบี่ทั้งแปด แต่ก็สามารถพัฒนาอานุภาพของกระบี่และเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้ขอบเขต มันกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร และขีดจำกัดของมันก็ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในสวรรค์และโลก แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระที่มีความชำนาญในการทำนายความลับของสวรรค์ แต่เขาก็ยังรู้สึกสับสนกับการเปลี่ยนแปลงภายในของมัน หากดวงวิญญาณไม่ได้แข็งแกร่งพอ ปราณแท้ของคนผู้นั้นจะต้องปั่นป่วนและทุกข์ทรมานจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างแน่นอน”

การอนุมานและความเข้าใจหรือ?

เฉินซีรู้สึกราง ๆ ในใจว่าคัมภีร์กระบี่เล่มนี้ดูจะเหมาะสมกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

เพราะเท่าที่เขาทราบมา ผู้อาวุโสฝูซีได้เฝ้าสังเกตแผนภาพวารีหลาก เพื่ออนุมานการเปลี่ยนแปลงความลับของสวรรค์ และควบคุมมหาเต๋าของโลกเพื่อไปสู่จุดสูงสุดของเต๋า ในขณะที่ตอนนี้ จิตสำนึกของเขาได้ครอบครองตราประทับกายาอันแท้จริงของผู้อาวุโสฝูซี ยิ่งไปกว่านั้น การทำสมาธิทั้งตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำให้ดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขา และจะเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่เขาต้องไตร่ตรองและทำความเข้าใจด้วยตัวเองจึงจะแยกแยะได้อย่างชัดเจน

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เป่ยเหิงก็จากไปในทันที ในขณะที่เฉินซีกลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะเปิดแผ่นหยกที่บันทึกคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบและอุทิศจนเพื่อทำความเข้าใจมัน

คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบถูกแบ่งออกเป็นเต๋ากระบี่ทั้งแปด อันได้แก่ นภา ปฐพี วายุ วารี อัคคี ภูผา หนองบึง และสายฟ้า และเฉินซีได้เลือกอ่านในบทของเต๋ากระบี่แห่งวายุ

เต๋ากระบี่แห่งวายุเป็นตัวแทนของลม ซึ่งตัวเขาได้หยั่งถึงเต๋าแห่งสายลมจนถ่องแท้เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นความเข้าใจของเขาที่มีต่อเต๋าแห่งสายลมจึงลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไตร่ตรองในสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดเป็นอันดับแรก

เต๋ากระบี่แห่งวายุนั้นไร้การผูกมัดและเป็นอิสรเสรี และมันก็คล้ายกับเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง แต่ความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่เคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง ไม่อาจเปรียบเทียบได้อย่างสิ้นเชิง

มันถูกแบ่งออกเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่ยอดเยี่ยมทั้งเก้า ทุกกระบวนท่ากระบี่ขั้นสูง จะมีกระบี่ขั้นกลางอีกเก้ากระบวน และทุกกระบวนท่ากระบี่ขั้นกลางจะมีกระบี่ขั้นต้นอีกเก้ากระบวน กระบี่เหล่านั้นจะประสานกันและก่อกำเนิดกระบวนท่าอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ดั่งการคำนวณที่ว่า เก้าคูณเก้าเท่ากับแปดสิบเอ็ด จากนั้นเคลื่อนกลับไปกลับมาอีกครั้ง กระบวนท่ากระบี่ขั้นต้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนมีทั้งหมด 6,651 กระบวนท่า และทุกกระบวนท่ากระบี่ขั้นต้นจะมีเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ขอบเขต…

‘นี่เป็นเพียงเต๋ากระบี่แห่งวายุเท่านั้น และหากเพิ่มเต๋าแห่งกระบี่อีกหนึ่งอย่างเพื่อผสานเข้าด้วยกัน กระบวนท่าของมันก็จะมหาศาลจนไม่อาจนับได้!’ เฉินซีชำเลืองมองอย่างรวดเร็วและเข้าใจในสิ่งที่เป่ยเหิงกล่าวไว้ได้ทันที ‘คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนี้ยากเกินไปจริง ๆ และอาจถือได้ว่ามันกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร หากขาดทักษะในการอนุมาน ก็อาจไม่มีทางบ่มเพาะได้สำเร็จอย่างแน่นอน’

‘ทว่าตัวข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าสามารถบ่มเพาะได้สำเร็จหรือไม่โดยไม่ลองสักตั้ง?’ ในตอนนี้ เฉินซีไม่ได้ทันสังเกตว่าจิตใจของเขาได้ถูกดึงดูดโดยคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบแล้ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท