บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 174 ศิลาสำนึกกระบี่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 174 ศิลาสำนึกกระบี่

บทที่ 174 ศิลาสำนึกกระบี่

เฉินซีนิ่งคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงห่อกำปั้นให้กับชิงชิว “พี่รองชิงชิว หนุ่มน้อยผู้นี้ผ่านการทดสอบเจตจำนงมาแล้ว แต่กลับถูกคนที่ชื่อว่าหลิวเฉินเข้ามาแทน ซึ่งไม่เป็นการยุติธรรมเอาเสียเลย ท่านว่าไหมขอรับ”

“ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” ชิงชิวกล่าวตอบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ข้าเองเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการไม่นาน จะมามัวปิดกั้นโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างไร เรื่องนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีก็ได้ ดีร้ายอย่างไรข้าไม่คุ้นเคยกับเหล่าผู้อาวุโสแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นการส่วนตัว ดังนั้นถ้าใครต้องการผ่านบททดสอบ พวกเขาจะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาและหากคิดจะใช้ความสัมพันธ์ของพวกตนแล้วมาทำอะไรตามชอบที่นี่ละก็ ไม่มีทาง!”

เฉินซีตอบกลับพลางยิ้ม “บางทีประมุขหลิงคงจื่อส่งท่านมาที่นี่ก็เพื่อใช้โอกาสนี้แก้ไขเรื่องทุจริตในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นแน่ พี่รอง ท่านตัดสินเช่นนี้ข้าเห็นด้วยและคิดว่าพี่ใหญ่เป่ยเหิงก็เห็นด้วยเช่นกันขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอขอบใจล่วงหน้าเป็นอย่างมาก” ชิงชิวยิ้มกว้างพลางพยักหน้าอย่างพอใจ เฉินซีนั้นเป็นคนง่าย ๆ ตรงไปตรงมาจึงพูดคุยได้ไม่ยาก เนื่องจากชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนฉลาดจึงเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างง่ายดาย และรู้วิธีที่จะเป็นผู้ให้และรับความช่วยเหลือที่ดียิ่ง

“ขอบคุณผู้อาวุโสเฉินซี จูซวิ่นจะไม่ลืมความเมตตาในครั้งนี้ของผู้อาวุโสไปตลอดชีวิต” เมื่อชายหนุ่มที่มาจากตระกูลนักล่าได้มาเห็นว่าเฉินซีช่วยให้เขาผ่านปัญหาที่ตนกำลังเผชิญด้วยคำพูดไม่กี่คำ สีหน้าคล้ำเครียดของเขาก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นยินดีอย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นเจ้าตัวถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ลุกขึ้นเถิด เจ้าสมควรที่จะได้รับสิ่งนี้ ตัวข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย หนทางข้างหน้าเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเดินไปด้วยตัวเอง เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มพยักหน้าและขยับยกมือขึ้นเล็กน้อย พลังไร้รูปร่างพลันยกร่างของจูซวิ่นให้ลุกขึ้นจากพื้น

“ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอนุญาตให้บ่มเพาะ ข้าก็มีความอดทนต่อความยากลำบากได้มากกว่าคนอื่นและรับรองว่าจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสผิดหวังอย่างแน่นอน” จูซวิ่นเม้มปากแน่นพลางผงกศีรษะทันที

ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มหากมิได้กล่าวอะไรอีก หลังจากอำลาชิงชิวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงพามู่เหยาและมู่เหวินเฟยสองพี่น้องไปที่ศิลาสำนึกกระบี่เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่บททดสอบทักษะความเข้าใจ

ศิลาสำนึกกระบี่คือกำแพงที่สร้างจากหินมันวาวกินอาณาบริเวณกว่าสิบจั้ง สูงขึ้นไปมีเครื่องหมายรูปกระบี่ไขว้กันทั้งแนวนอนและแนวตั้งหลายหลากมากมายนับไม่ถ้วน เครื่องหมายเหล่านี้เกิดจากผู้บ่มเพาะ เซียนกระบี่ที่มีความมหัศจรรย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรหลายคนทิ้งไว้เป็นเวลานานกว่าสองถึงสามหมื่นปี และเครื่องหมายทุกชิ้นแสดงออกถึงความลึกล้ำของเต๋าแห่งกระบี่ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เครื่องหมายพวกนี้ดูลึกล้ำและทรงพลังมากเป็นพิเศษ

นับหมื่นปีที่ผ่านมามีศิษย์มากมายที่สามารถบรรลุความสำเร็จรู้แจ้งในเต๋าแห่งกระบี่สูงสุดได้อย่างรวดเร็วที่บริเวณศิลาสำนึกกระบี่แห่งนี้

แต่พื้นที่ศิลาสำนึกกระบี่เป็นเขตหวงห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร จะมีก็เพียงศิษย์ชั้นยอดของนิกายเท่านั้นที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสรเสรี เพื่อฝึกความเข้าในการรู้แจ้งเห็นจริง ส่วนศิษย์สายในและศิษย์สายนอก หากไม่ได้เข้าใจในการรู้แจ้งแห่งกระบี่แล้วละก็ อย่าหวังว่าจะมีใครได้เห็นศิลาสำนึกกระบี่แห่งนี้

ด้วยที่สุดแล้วพวกเขายังเป็นแค่คนที่มีพลังอ่อนด้อย เข้าใจเต๋าแห่งกระบี่แค่ผิวเผิน หากยังดันทุรังฝึกเพื่อเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่ของศิลาสำนึกกระบี่อย่างหักโหมจนเกินไป อาจส่งผลให้ได้รับผลกระทบด้านมืดในตัวเองจนอาจเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงและนำไปสู่สภาวะปราณหักเห เมื่อนั้นพวกเขาจะพบจุดจบที่น่าสลดใจ

บททดสอบความเข้าใจของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นจะทดสอบกันที่หน้าศิลาสำนึกกระบี่ ใครก็ตามที่สามารถขยับกระบี่ที่ประจุด้วยเต๋าแห่งกระบี่ที่ลึกล้ำบนศิลาดังกล่าวได้แล้ว จะถือว่าคนผู้นั้นผ่านบททดสอบ

อันที่จริงก็ไม่ต่างกับการลอกภาพเขียน ยิ่งเคลื่อนกระบี่ได้มากเท่าไรก็ยิ่งพิสูจน์ถึงความสามารถในความเข้าใจที่สูงมากเท่านั้น

แต่แน่นอนว่าอันตรายย่อมมากตาม หากกล่าวตามจริง ความเข้าใจของการขยับเคลื่อนจากเต๋าแห่งกระบี่ที่ลึกล้ำของคนธรรมดานั้นไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเท่าไร แต่แตกต่างกันก็ตรงความเข้าใจที่ต่างกันของการขยับเคลื่อนกระบี่จากเต๋าแห่งกระบี่ที่หลากหลายนั้นต่างหากที่ยากยิ่ง ท้ายที่สุดเต๋าแห่งกระบี่ลึกล้ำเหล่านี้ก็ได้ถูกผู้บ่มเพาะและเซียนกระบี่ละทิ้งไว้ แม้แต่เต๋าแห่งกระบี่แต่ละชนิดก็ต่างกัน การพยายามทำความเข้าใจการขยับเคลื่อนกระบี่แค่สองสามชิ้นในระยะไม่นาน สามารถทำให้ปราณภายในของคนบางคนถึงกับปั่นป่วน ภาวะจิตพังทลายและต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาวะปราณหักเหด้วย

ด้วยพื้นที่บริเวณศิลาสำนึกกระบี่เป็นเขตหวงห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร จึงมีแต่ชายหนุ่มและหญิงสาวเท่านั้นที่มาเข้าร่วมในบททดสอบความเข้าใจ ส่วนคนในตระกูลและองครักษ์จะไม่ได้รับอนุญาตให้เฉียดเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว

บรรดาผู้อาวุโสและองครักษ์ของศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีพลังบ่มเพาะที่ลึกล้ำ แน่นอนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีคนที่มีความสามารถในความเข้าใจสูงเป็นพิเศษ หากคนพวกนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเกิดการเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่สูงสุดที่ลึกล้ำบนศิลาสำนึกกระบี่เข้าจะเกิดอะไรขึ้น

แม้แต่เฉินซีเองก็อยากจะรู้เรื่องศิลาสำนึกกระบี่เช่นกัน ทว่าเพื่อมิให้เกิดข้อครหา ชายหนุ่มจึงปฏิเสธที่จะเข้าไปข้างในและปลอบใจมู่เหยากับมู่เหวินเฟยว่าอย่าได้กังวล ขอเพียงทั้งสองเข้าไปในนั้นเท่านั้น

ตำแหน่งที่ตั้งของศิลาสำนึกกระบี่อยู่บริเวณข้างภูเขา โดยมีกลุ่มผู้อาวุโสจำนวนมากคอยอารักขาสถานที่ ภายในมีค่ายกลใหญ่ที่ไม่ระบุจำนวน ซึ่งมีการป้องกันอย่างแข็งแกร่ง ศิษย์รุ่นเยาว์ที่ได้รับตราคำสั่งและผ่านการตรวจสอบจากผู้อาวุโสแล้วเท่านั้นจึงสามารถเข้าไปได้

ในขณะนี้แถวในลานเชิงเขา มีผู้อาวุโสและองครักษ์มากกว่าสองถึงสามพันคนมารวมตัว พวกเขาต่างพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนนั้น

ขณะที่เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ชายหนุ่มพลันหยุดชะงักพลางเขม้นมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาสังเกตเห็นตงฟางและหวังหว่านก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เขานึกในใจกับตัวเองว่าดูเหมือนพี่น้องหญิงชายคู่นั้นจะไม่ใช่คนอ่อนด้อยเชิงทักษะและความสามารถเป็นแน่ ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านบททดสอบเจตจำนงแล้วจริง ๆ…

เวลานั้นตงฟางและหวังหว่านก็สังเกตเห็นเฉินซีด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็พากันรีบมุ่งตรงมาทางชายหนุ่ม หลังจากค้อมกายแสดงการคารวะทักทายแล้ว เฉินซีสั่นศีรษะพลางนึกกับตัวเอง น่าขันที่พวกเขาเผลอเรียกข้าว่าบรรพจารย์อาต่อหน้าคนตั้งมากมาย ราวกับข้าเป็นชอบทำหน้าใหญ่ใจโตอย่างนั้นล่ะ

“ผลบททดสอบของพวกเจ้าสองพี่น้องเป็นอย่างไรกันบ้าง” เฉินซีถามพลางยิ้มน้อย ๆ

“ไม่เลวขอรับ โดยทั่วไปสองพี่น้องเป็นคนมีความสามารถพอตัว อาจซุกซนและยโสบ้าง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวาน บางทีเขาอาจจะรู้จักยับยั้งชั่งใจได้บ้าง และสามารถอุทิศตนทุ่มเทให้กับการฝึกบ่มเพาะเต๋าได้ขอรับ” ตงฟางเป็นคนตอบด้วยท่าทางนอบน้อม

“น้องของข้าก็เหมือนกันเจ้าค่ะ นางเป็นคนหยิ่งยโส อวดดี ชอบดูถูกทุกคน เมื่อวานนี้คงให้บทเรียนที่ดีกับนางบ้าง มิฉะนั้นเวลาที่นางออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์และขัดเกลาฝีมือ อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกฆ่าเพราะอะไร” หวังหว่านกล่าวทีท่าสงบเสงี่ยมเช่นกัน

เฉินซียิ้มและพูดเสียงเร็วว่า “พรุ่งนี้ข้าจะลงจากยอดเขาใจสัจธรรมเพื่อออกไปหาประสบการณ์และขัดเกลาฝีมือ คงใช้เวลาไม่น้อยกว่าห้าปี พวกเจ้าทุกคนฝึกบ่มเพาะพลังอยู่บนยอดเขาใจสัจธรรมให้สบายเถิด บรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงจะคอยดูแลพวกเจ้าเอง แต่อย่าได้สร้างปัญหาแก่เขา เมื่อใดที่ว่างจากการฝึก ก็จงไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสเสวียนจิงและผู้อาวุโสชิงชิวบ่อย ๆ เพราะทั้งสองเป็นมิตรกับข้า และสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าทุกคนได้อย่างแน่นอน”

ตงฟางและหวังหว่านชะงักนิ่งงัน ท่าทางอึกอักที่จะพูด

“อย่าได้ถามให้มากความ ยอดเขาใจสัจธรรมเป็นสถานที่ที่ข้าฝึกบ่มเพาะพลังอย่างหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเสร็จธุระแล้ว ข้าจะรีบกลับมาแน่นอน ยกเว้นเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าทั้งหมดไม่กลายเป็นคนโดดเดี่ยวและไร้ประโยชน์ ไม่มีใครต้องการหรอกหรือ” เฉินซีพูดยิ้ม ๆ

คำพูดนั้นส่งให้ความรู้สึกอบอุ่นพุ่งวาบขึ้นในหัวใจของตงฟางและหวังหว่านทันที ว่าที่จริงแล้วพวกเขาไม่อยากให้เฉินซีจากไป

นับตั้งแต่เข้าสู่ยอดเขาใจสัจธรรม กล่าวได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา ทั้งการที่พวกเขามีสถานะสูงขึ้นและได้รับการปฏิบัติที่เทียบเท่ากับศิษย์ชั้นสูงบางคนทีเดียว ยิ่งกว่านั้นเฉินซียังเป็นคนที่ดีมาก ชายหนุ่มไม่เคยบงการหรือออกคำสั่งกับพวกเขาเลย และไม่เคยทำกับพวกตนเยี่ยงผู้รับใช้ กล่าวได้ว่าการบ่มเพาะพลังบนยอดเขาใจสัจธรรมเพียงไม่กี่ปี สำหรับพวกเขาและศิษย์สายในอีกเจ็ดสิบคนเหมือนกับได้อยู่บนสรวงสวรรค์ทีเดียว พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ ไร้ซึ่งความกังวลใจใด ๆ มีเพียงการทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะพลังเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เมื่อนึกถึงความเป็นคนดีของเฉินซีมากเพียงใด พวกเขาย่อมไม่อยากให้ชายหนุ่มต้องไปจากที่นี่มากเพียงนั้น นี่เองสินะที่เรียกว่าการพึ่งพาอาศัย

เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ตงเซวียนหงกับหวังอวิ๋นฉือก้าวออกมาจากศิลาสำนึกกระบี่ ขณะนั้นทั้งสองมีท่าทีลำพองสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความยินดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้แสดงความสามารถในบททดสอบความเข้าใจอย่างเต็มที่

แต่เมื่อเหลือบมาเห็นเฉินซีซึ่งยืนอยู่เคียงข้างสองพี่น้อง สีหน้าที่แสดงความลำพองของคนทั้งคู่พลันจางหายวูบทันที จากนั้นก็รีบก้มหน้า หุบปากนิ่งสนิท ขณะที่กายสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัวราวกับหนูเห็นแมวทีเดียว

“พวกเจ้ากลับออกไปก่อน ข้าจะรอมู่เหยากับมู่เหวินเฟยที่นี่” เฉินซีไม่ปรารถนาจะเผชิญหน้ากับพวกคนยโสโอหังของกองกำลังทรงอำนาจอยู่เหมือนกัน เมื่อวานเขาเพิ่งให้บทเรียนคนเหล่านั้นอย่างดุเดือดไปหยก ๆ และตอนนี้กลับต้องมาเจอหน้ากันอีกครั้ง เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะสั่งสอนให้บทเรียนกับพวกมันอีกสักรอบ

ตงฟางและหวังหว่านก็อยากรู้ว่าน้องชายน้องสาวของพวกเขาบรรลุผลอย่างไรบ้างไว ๆ จึงไม่ปฏิเสธเมื่อได้ยินดังนั้นและพาตงเซวียนหงและหวังอวิ๋นฉือออกไปทันที

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เฉินซีก็ยังไม่เห็นทั้งมู่เหยาและมู่เหวินเฟยกลับออกมาสักคน ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ และบททดสอบผ่านเข้าสู่นิกายกำลังจะสิ้นสุดลงในวันนี้แล้ว

พวกเขาสองคนอาจประสบอุบัติเหตุอะไรสักอย่างอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ

ชายหนุ่มมองไปรอบข้างและพบว่าบริเวณลานโล่งมีคนในตระกูลสองสามคนเท่านั้นที่ยังคงรออยู่ ทว่าเพียงไม่นานบรรดาลูกหลานของพวกเขาก็ทยอยออกกันมาก่อนที่จะพากันกลับไป บัดนี้จึงมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่

ถึงตอนนี้เฉินซีก็ไม่อาจทนรออีกต่อไป จากนั้นจึงเดินตรงไปยังเชิงเขาที่เป็นทางเข้า

“หยุดอยู่ตรงนั้น สถานที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร…” เสียงทุ้มต่ำของศิษย์สายในคนหนึ่งตะโกนมา

ทว่าคนอย่างเฉินซีจะยังมีอารมณ์ฟังเสียงห้ามปรามเรื่องไร้สาระได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาดึงตราคำสั่งออกจากกระเป๋าและโยนออกไปทันที

ตราคำสั่งชิ้นนี้ทำจากวัสดุคล้ายเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยกและด้านหนึ่งสลักเป็นรูปกระบี่ ที่ดูราวกับของจริง อีกทั้งยังเปล่งประกายดั่งสายฟ้า เป็นตราที่ได้รับรองความน่าเชื่อถือซึ่งเฉินซีได้มาจากเป่ยเหิงตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน

ศิษย์สายในตรงหน้าตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนเขาจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตราคำสั่งชิ้นนั้นมีความหมายว่าอะไร จึงหันไปมองคนสวมชุดดำที่มีอาวุโสกว่าที่ยืนถัดไปอีกข้าง แต่เมื่อคนสวมชุดดำคนนั้นเหลือบสายตามองตราคำสั่ง สีหน้าที่เฉยเมยและการสงวนท่าทีของเขาพลันหายไป ฝ่ายนั้นขยับลุกขึ้นยืนพร้อมแสดงคารวะ “ศิษย์หลิวอั๋ง คารวะบรรพจารย์อาขอรับ!”

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส หลิวอั๋งเคยได้ยินเช่นกันว่าบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงได้มอบตราคำสั่งของตนให้กับน้องชายร่วมสาบาน ทันทีที่เขาเห็นตราคำสั่งและเมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเฉินซีแล้ว ทำให้พอที่จะเดาได้ว่าเป็นคนผู้นี้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือแห่งยอดเขาใจสัจธรรม

“บรรพจารย์อา!” เมื่อทุกคนเห็นว่าผู้อาวุโสหลิวอั๋งคารวะต่อชายหนุ่ม ผู้อาวุโสคนอื่นต่างรีบลนลานลุกขึ้นแสดงความเคารพ ในขณะเดียวกันพวกศิษย์สายในที่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรีบค้อมกายให้เฉินซีอย่างรวดเร็ว

“ขออภัยที่ทำให้พวกเจ้าทุกคนลำบากใจ ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าบททดสอบทักษะความเข้าใจเสร็จสิ้นลงแล้วหรือยัง” หลังจากที่ผงกศีรษะรับทราบ เฉินซีจึงเอ่ยถามถึงมู่เหยาและมู่เหวินเฟยด้วยสองคนเคยถูกผู้อาวุโสฮวาหงขัดขวางมาก่อนหน้านี้ หากคนทั้งสองประสบเหตุภายในศิลาสำนึกกระบี่ ก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อย

“เรียนท่านบรรพจารย์อา บททดสอบสิ้นสุดไปแล้วขอรับ” หลิวอั๋งตอบคำถามด้วยท่าทีนอบน้อม

เฉินซีขมวดคิ้วทันที “สหายของข้าอีกสองคนยังอยู่ข้างใน อย่างนั้นแล้วเจ้าจะบอกว่าจบลงแล้วได้อย่างไร หลีกทาง…ข้าจะเข้าไปดูเอง” กล่าวจบ เฉินซีก็ไม่รอช้าและขยับเข้าไปในบริเวณนั้นทันที

หลิวอั๋งและทุกคนนิ่งงันด้วยตกตะลึงแต่ไม่มีใครกล้าขัดขวาง อีกทั้งยังรีบเปิดเส้นทางที่ซับซ้อนของค่ายกลใหญ่ให้เฉินซีผ่านเข้าไปได้โดยสะดวก

เส้นทางถูกปกคลุมด้วยแสงที่เปล่งรังสีลึกลับออกมาตลอดทาง เฉินซีเคลื่อนที่ไปด้วยฝีเท้าที่เบาดั่งสายลมขณะทะยานวาบด้วยเวลาราวหนึ่งเค่อจึงก้าวเข้าสู่โถงใหญ่กว้างขวางที่ถูกสร้างในภูเขา

โถงใหญ่นี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดสี่ลี้ครึ่ง มีเสาขนาดใหญ่สี่ต้นแกะสลักเป็นรูปมังกรและหงส์ตั้งเด่นสูงขึ้นไปในท้องฟ้า พื้นหินปูนขัดเรียบเกลี้ยงเกลา และผนังสี่ด้านแขวนด้วยหินแสงจันทร์ ซึ่งมีขนาดเท่ากำปั้น หินแสงจันทร์เปล่งแสงอ่อนโยนและชัดเจนให้ความสว่างทั่วทั้งโถงใหญ่ทำให้ภายในมีแสงสว่างพร่างพราวยิ่ง

ลึกเข้าไปในโถงใหญ่มีผนังหินขนาดมหึมาเป็นเงาดั่งกระจก ส่วนบนมีแสงกระบี่กะพริบวิบวับ แสงสว่างดังสายรุ้งกับสายฟ้าสว่างแวบวาบพาดผ่านในบริเวณอย่างรุนแรง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

เห็นได้ชัดว่านี่คือศิลาสำนึกกระบี่ และแสงกระบี่ที่เคลื่อนอยู่รอบ ๆ ราวกับว่าพวกมันประจุด้วยสติปัญญา เต๋าแห่งกระบี่ที่ลึกล้ำซึ่งเซียนกระบี่ไร้ผู้เทียมทานของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรหลายคนทิ้งไว้ช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา

เวลานั้นมีผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจำนวนหกคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเบื้องหน้าศิลาสำนึกกระบี่ ส่วนบริเวณตรงกลางเป็นพวกมู่เหยาและมู่เหวินเฟย

‘พวกเขากำลังทำอะไร?’

ขณะที่เฉินซีมองด้วยความสงสัย เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้าง ๆ “เฉินซี ข้ากำลังช่วยศิษย์ทั้งสองคนชำระล้างร่างกายและพัฒนาใจแห่งกระบี่ ให้แก่พวกเขาจะใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ช่วงนี้เจ้าสามารถพิจารณาดู ศิลาสำนึกกระบี่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร บางทีอาจจะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างมาก”

บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน!

เฉินซีเงยหน้าขวับและแน่นอนว่าผู้อาวุโสที่ยืนหันหลังให้ก็คือบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนนั่นเอง!

เมื่อมาเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มค่อยถอนใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองดูมู่เหยาและมู่เหวินเฟยด้วยความแปลกใจ พลางนึกข้องใจอยู่ว่าบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนยอมยกเว้นและรับสองคนนี้เป็นศิษย์ อีกทั้งยังชำระมลทินในร่างกายและพัฒนาดวงจิตแห่งกระบี่ให้ทั้งคู่ นับว่าเป็นสิริมงคลแก่สองพี่น้องอย่างยิ่ง

เฉินซีส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่ศิลาสำนึกกระบี่ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพิจารณาดูอย่างใกล้ชิด ทว่าการจ้องมองนี้ทำให้เหมือนผู้มองถูกดึงดูดด้วยเต๋าแห่งกระบี่อันลึกล้ำหลากหลายที่ปรากฏอยู่ในศิลาสำนึกกระบี่ทันที

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท