บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 183 ออกจากช่องเขา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 183 ออกจากช่องเขา

บทที่ 183 ออกจากช่องเขา

“ท่านพี่จวิน เจ้าหนุ่มคนนี้โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ อีกทั้งยังทำลายแผนการของเราอีก เราควรทำอย่างไรต่อไปดี? เรายังคงจะฆ่าถันไถจื่อเซวียนอยู่หรือไม่?” การส่งเสียงผ่านกระแสปราณของเซี่ยวจวินเผยให้เห็นร่องรอยความหวาดกลัว

“ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก ท่านพ่อของข้าและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กำลังรอซุ่มโจมตีอยู่ที่ด้านนอกของช่องเขาเมฆามรกต และเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ในเวลานั้นพวกเขาจะฆ่าเจ้าหนุ่มคนนี้เช่นกัน” ใบหน้าของหานเหวินจวินมืดมนถึงขีดสุด และขณะที่เขานึกถึงท่าทางหวาดกลัวเฉินซีจนปัสสาวะราดตัวเองก่อนหน้านี้ ความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจของเขา เขาไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อนนับตั้งแต่เขายังเด็ก อีกทั้งความรู้สึกเช่นนี้ยังเจ็บปวดยิ่งกว่าการฆ่าตัวตายเสียอีก

“พี่จวินยังมีแผนสำรองอยู่หรือ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อนังจื่อเซวียนออกไปจากช่องเขาเมฆามรกต จะเป็นช่วงเวลาที่นางจะต้องตาย และจากนั้นข้าก็ไม่ต้องคอยรับใช้เคียงข้างนางอีกต่อไป” เซี่ยวจวินมองไปที่ หานเหวินจวินด้วยการแสดงความรัก และการจ้องมองของนางก็เป็นดั่งน้ำผึ้งขณะที่นางพูดด้วยความหลงใหล “เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะอยู่เคียงข้างและรับใช้พี่จวินไปตลอดชีวิต”

“เอาล่ะ แล้วเราค่อยมาคุยกันหลังจากที่เราจัดการเรื่องนี้แล้ว ตราบใดที่ข้าสามารถยึดตราคำสั่งเมฆามรกตมาได้ ทุกสิ่งภายในแดนสมบัตินี้จะกลายเป็นทรัพย์สินของตระกูลหาน และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นการล่มสลายครั้งใหญ่ของตระกูลถันไถ ดังนั้นการคว้าโอกาสนี้เพื่อกลืนกินตระกูลถันไถอย่างสมบูรณ์ จะทำให้ตระกูลหานของข้าสามารถครองเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ และอยู่เหนือกว่ากองกำลังทั้งหมดในเมือง” ยิ่งหานเหวินจวินพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น และดูเหมือนว่าเขาจะจินตนาการถึงฉากที่ตระกูลถันไถถูกทำลายล้างแล้ว

“แต่ท่านพี่จวิน บิดาของนังจื่อเซวียนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติ ข้าได้ยินมาว่าเขาอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะตลอดหลายปีมานี้ เพื่อเป้าหมายในการบรรลุขอบเขตจุติ หากถ้าเขารู้ว่าพวกเราฆ่าบุตรสาวของเขา…”

ก่อนที่เซี่ยวจวินจะกล่าวจบ หานเหวินจวินก็หัวเราะอย่างเย็นชาและขัดจังหวะนาง “ขอบเขตกึ่งจุติอย่างนั้นหรือ? ฮึ่ม! เขาก็ยังไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติในท้ายที่สุดอยู่ดี และไม่ต้องกล่าวถึงถันไถหง เจ้าคนโง่เขลาผู้นั้นที่น่าจะตายไปแล้ว”

“ท่านว่าอะไรนะ?” รูม่านตาของเซี่ยวจวินหดตัวลงอย่างกะทันหัน

“ฮึ่ม! มีอะไรให้แปลกใจ? ถ้าหากเราไม่ฆ่าเจ้าเฒ่าคนนั้นไปแล้ว เราจะกล้าฆ่าจื่อเซวียนในตอนนี้หรือไร” หานเหวินจวินหัวเราะอย่างพึงพอใจขณะมองไปยังเซี่ยวจวินซึ่งกำลังตกใจ และจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ท่านพี่จวิน บอกข้าได้ไหมว่าท่านทำได้อย่างไร? ถันไถหงเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติและเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินมานานแล้ว” เซี่ยวจวินกล่าวพร้อมกับสายตาที่ลุกโชนราวกับเปลวไฟ เพราะนางรู้เกี่ยวกับกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังของหานเหวินจวินเป็นอย่างดี คนเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรกับถันไถหงได้เพียงอาศัยความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง ดังนั้นการที่พวกเขาฆ่าถันไถหงได้สำเร็จ มันย่อมหมายความว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการขอความช่วยเหลือจากกองกำลังภายนอกที่น่าเกรงขามอย่างแน่นอน แต่นางไม่แน่ใจว่าความช่วยเหลือจากภายนอกนั้นมาจากกองกำลังที่นางรู้จักหรือไม่

“สิ่งนี้… เจ้าจะรู้เองในอนาคต” หานเหวินจวินตอบด้วยรอยยิ้ม

สายตาของเซี่ยวจวินสั่นไหว แต่นางก็หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ ราวกับว่านางรู้มาตั้งนานแล้วว่าหานเหวินจวินจะตอบกลับเช่นนี้

ในขณะนี้ ถันไถจื่อเซวียนและเฉินซีได้พูดคุยจนพอใจแล้ว และนางก็โบกมือให้กับผู้คุ้มกันขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิบกว่าคน ก่อนจะเดินไปที่ด้านนอกของช่องเขาเมฆามรกต

ช่องเขาเมฆามรกตมีขนาดใหญ่มาก ประกอบกับม่านพลังข้อจำกัดที่ปกคลุมโดยรอบ มีเพียงถันไถจื่อเซวียนที่มีตราคำสั่งเมฆามรกตเท่านั้นที่สามารถนำทุกคนออกไปได้

เฉินซีเดินตามหลังกลุ่มของถันไถจื่อเซวียน และตลอดทาง เขาก็พบว่าคนเหล่านี้ล้วนมาจากเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ ยกเว้นชายหนุ่มในชุดขาว หานเหวินจวินแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิบกว่าคนล้วนเป็นผู้คุ้มกันของตระกูลถันไถ

สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ผู้คุ้มกันของตระกูลนี้มีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำแล้ว อาจถือได้ว่ากองกำลังดังกล่าวเหนือกว่ากองกำลังทั้งหมดของเมืองหมอกสนอย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวที่ชื่อเซี่ยวจวิน ซึ่งเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของถันไถจื่อเซวียนนั้น เฉินซีไม่แน่ใจว่ามันเป็นความเข้าใจผิดของเขาเองหรือเปล่า แต่เฉินซีก็ยังคงรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ดูแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย และกลิ่นอายที่นางปล่อยออกมานั้นกลับรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก

“เฉินซี เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่ากลิ่นอายของหญิงสาวคนนี้ผิดปกติเล็กน้อย” หลิงไป๋พูดผ่านกระแสปราณว่า “หรือว่าเจ้าลืมศิษย์ทั้งสามสิบสองคนของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ที่เจ้าได้สังหารขณะเข้าร่วมการจัดอันดับมังกรซ่อนไปแล้ว?”

หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้านและเขาก็ตระหนักได้ในทันที กลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากเซี่ยวจวิน มีความคล้ายคลึงกับคนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก และมีร่องรอยของกลิ่นอายที่มืดมนและแปดเปื้อนเลือดอยู่จาง ๆ

นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้น ครั้งหนึ่งเคยก่อให้เกิดฝนเลือดไปทั่วทั้งราชวงศ์ซ่งเมื่อสามพันปีก่อน และตั้งใจที่จะรุกรานสวรรค์และโลก เพื่อเป็นผู้ปกครองอาณาเขตทั้งหมดของราชวงศ์ซ่ง ในเวลานั้น นิกาย อสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตมีผู้อาวุโสขอบเขตเซียนปฐพีที่น่าเกรงขามถึงสามสิบหกคน และศิษย์ภายใต้นิกายของพวกเขามีจำนวนนับล้าน หากไม่ใช่เพราะในเวลานั้น จักรพรรดิซ่งได้รวบรวมผู้บ่มเพาะทั้งหมดในราชวงศ์ซ่ง ในตอนนี้อาจกลายเป็นสวรรค์และโลกของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตไปแล้ว!

เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร เฉินซีได้เห็นกับตาตัวเองว่าครั้งหนึ่งมีการพูดถึงการปรากฏขึ้นอีกครั้งของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ใบหน้าของผู้นำตระกูลตู้ ผู้นำตระกูลซ่ง ผู้นำตระกูลต้วนมู่ และบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนต่างก็มืดมนและการแสดงออกของพวกเขาก็รุนแรงและจริงจัง ดังนั้นความน่าสะพรึงกลัวของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจึงสามารถเห็นได้จากสิ่งนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขากลับฆ่าศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตทั้งสามสิบสองคนในระหว่างการจัดอันดับมังกรซ่อน และทำลายแผนการที่จะพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ของพวกมัน จึงอาจสรุปได้ว่าเขาทำให้นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตขุ่นเคืองโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ เมื่อเขาคาดเดาว่าเซี่ยวจวินอาจเป็นศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต หัวใจของเฉินซีก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เราควรแจ้งให้คนอื่นทราบหรือไม่”

“ฮ่า ๆ ยังไม่ถึงเวลาหรอกเฉินซี เจ้าต้องคอยระวังตัว อาจมีฐานทัพของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตตั้งอยู่ในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะนี้ก็เป็นได้” หลิงไป๋กล่าวอย่างขบขัน

เฉินซีจะมีอารมณ์มากล่าวเรื่องไร้สาระกับหลิงไป๋ได้อย่างไร? เขาเพียงอยากรู้เท่านั้น ถ้าเซี่ยวจวินเป็นศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจริง แล้วเหตุใดนางถึงต้องซ่อนตัวอยู่ข้างถันไถจื่อเซวียน? หรือว่านางกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่?

ไม่นานหลังจากนั้น กำแพงหินสีดำสนิทที่สูงร้อยยี่สิบจั้ง และมีความยาวที่ทอดออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ก็ตั้งอยู่ที่เบื้องหน้าของทุกคน

เฉินซีสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีอำนาจข้อจำกัดบนกำแพงหินสีดำสนิทนี้อยู่หนาแน่น มันเหมือนกับเส้นเลือดบนต้นไม้และเมล็ดข้าวบนก้อนหิน เกาะแน่นหนาอยู่ทุกพื้นที่ และมันก็ปล่อยกลิ่นอายที่คลุมเครือไม่ชัดเจน แต่ก็เผยให้เห็นมวลพลังที่ทำให้ใจของผู้คนต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว ด้วยความรู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีในปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะสามารถแยกแยะได้ว่าการสร้างข้อจำกัดนี้มันต้องใช้ทักษะเลิศล้ำเพียงใด แต่ความสามารถของเขาก็ยังห่างไกลจากสร้างมันขึ้นมาอยู่ดี

“ในที่สุดเราก็ออกมาได้แล้ว” จื่อเซวียนยิ้มบาง ๆ นางถือตราคำสั่งที่มีสีเขียวขจีขณะที่นางโบกมือไป พลันมีลำแสงสีเขียวหมุนรอบตัวนางก่อนจะเปิดประตูที่นำไปสู่ด้านนอก

ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากประตูนี้ เฉินซีก็เห็นเทือกเขาขนาดมหึมา ช่องเขาที่ถูกทิ้งร้าง และมีหมอกสีดำน่าสยดสยองที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งดูเหมือนกับประตูที่นำไปสู่โลกใต้พิภพอันไกลโพ้น

“ปราณเป็นพิษรุนแรงอะไรเช่นนี้!” นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของเฉินซี เมื่อเขาเดินออกมาจากข้อจำกัดภายในช่องเขาเมฆามรกต และเห็นภาพตรงหน้าของเขา หมอกสีดำที่ฟุ้งกระจายในอากาศเป็นปราณพิษที่แฝงไปด้วยพิษร้ายแรง จนทำให้ร่างกายของเขารู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูก

“นี่คือพื้นที่ด้านนอกของช่องเขาเมฆามรกต หมอกดำนี้มีพิษอยู่หลายพันชนิด และไม่มีผู้ใดสามารถอยู่รอดภายในนั้นได้ มีเพียงการบ่มเพาะขอบเขตจุติเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้ และผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปจะต้องตายหากพวกเขาเข้าไป มันเทียบเท่ากับเป็นปราการธรรมชาติของช่องเขาเมฆามรกต” จื่อเซวียนยิ้มขณะที่นางอธิบายให้แก่เฉินซี

ขณะที่นางกำลังพูด แสงหลากสีสองสามดวงก็ปรากฏขึ้นอยู่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้นนอกช่องเขา

ดวงแสงเหล่านี้พุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็วและมาถึงในพริบตา เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เฉินซีก็เห็นได้ว่า ผู้บ่มเพาะเหล่านี้นำโดยชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงและทรงพลัง ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีเลือด ร่างกายของเขาสูงใหญ่และดูองอาจ และใครก็ตามที่ได้สบตากับเขาจะต้องรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“หืม? ลุงหานมาที่นี่ทำไมหรือ? อีกทั้งยังพาผู้อาวุโสจำนวนมากติดตามมาด้วย ดูเหมือนว่าผู้บ่มเพาะของตระกูลหานทั้งหมดจะถูกเรียกตัวออกมา?” ถันไถจื่อเซวียนสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าชายวัยกลางคนที่สูงและทรงพลังนั้นคือ ‘หานกู่เยว่’ ผู้นำของตระกูลหานที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงที่น่าเกรงขาม ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสิบหกคนที่อยู่ข้างหลังเขา มีผู้บ่มเพาะสี่คนที่ได้บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นแล้ว และอีกสิบสองคนที่เหลือมีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ

“ท่านพ่อ!” ในขณะที่ถันไถจื่อเซวียนตกตะลึง หานเหวินจวินที่อยู่ใกล้เคียงก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะพาสาวใช้เซี่ยวจวินไปหาหานกู่เยว่

เฉินซีมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจทันทีเมื่อเขาเห็นฉากนี้ คนเหล่านี้… ล้วนมีเจตนาร้าย!

อันที่จริง ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้น ในขณะนี้ถันไถจื่อเซวียนและผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอีกสิบคน ก็ได้ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงต่างก็กังวลและสงสัย

นี่คือพื้นที่รอบนอกของช่องเขาเมฆามรกต เหตุใดผู้นำตระกูลหานจึงมาที่นี่โดยไม่มีเหตุผล? และเขายังนำผู้บ่มเพาะมากมายจากตระกูลของเขามาด้วย?

“เซี่ยวจวิน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รีบกลับมาเร็ว!” เมื่อนางเห็นสาวใช้ตัวน้อยของนางจากไปอย่างกะทันหัน และเดินตามหานเหวินจวินไป ถันไถจื่อเซวียนเองก็ขมวดคิ้วขณะที่เอ่ยตำหนิ

เซี่ยวจวินแย้มยิ้ม แต่ไม่ได้สนใจถันไถจื่อเซวียนเลย และหันกลับไปมองหานกู่เยว่ ก่อนที่จะถือถุงร้อยสมบัติด้วยมือทั้งสองข้างและพูดว่า “ท่านลุงหาน นี่คือวัตถุดิบต่าง ๆ ที่รวบรวมจากช่องเขาเมฆามรกตในครั้งนี้ กรุณาตรวจสอบและรับมันด้วย”

“ฮ่า ๆๆ! ดี! ดี! ดี!” หานกู่เยว่หัวเราะเสียงดังขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นเขาก็รับมันมาก่อนจะชมเชย “เซี่ยวจวิน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีและถือได้เป็นผลงานครั้งใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้าอย่างแน่นอนเมื่อเรากลับไป”

เซี่ยวจวินยิ้มหวานและมองไปที่หานเหวินจวินก่อนจะพูดว่า “ท่านลุงหานช่างใจกว้างยิ่งนัก ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของท่านพี่จวิน และเซี่ยวจวินก็ไม่กล้าอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเอง”

ทันทีที่พูดคำเหล่านี้เข้าหู มันทำให้หานกู่เยว่หัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

เมื่อถันไถจื่อเซวียนเห็นฉากนี้ นางก็เข้าใจในทุกอย่างทันที และใบหน้างดงามของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธ ดูเหมือนนางจะไม่อยากเชื่อ แต่ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางกลับบอกนางอย่างไร้ความปรานีว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง และปราศจากความเท็จโดยสิ้นเชิง!

“พวกเจ้าทุกคน… พวกเจ้าวางแผนกันมานานแล้วหรือ? ลุงหานเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าไม่กลัวที่จะทำให้ท่านพ่อของข้าต้องขุ่นเคือง และทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างสองตระกูลของเรา” ถันไถจื่อเซวียนโกรธจนหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เฉินซีที่อยู่ใกล้เคียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สิ่งนี้ยังจำเป็นต้องถามอีกหรือ? ในเมื่อเขาเตรียมการมา เขาคงจัดการทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าเป็นไปตามที่เฉินซีคาดไว้ หานกู่เยว่หัวเราะในขณะที่เขากล่าวว่า “หลานสาวที่ดีของข้า เจ้าคงไม่มีโอกาสได้เจอพ่อเจ้าอีกแล้ว เจ้าควรส่งมอบตราคำสั่งเมฆามรกตมาแต่โดยดี มิฉะนั้นก็อย่าได้โทษลุงที่ไร้ความปรานี”

“เจ้าหมายถึงอะไร?” หัวใจของถันไถจื่อเซวียนกระตุกวูบเมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านพ่อ? เป็นไปไม่ได้! เขามีการบ่มเพาะขอบเขตกึ่งจุติแล้ว ดังนั้นเขาจะถูกไอ้สารเลวเหล่านี้ทำร้ายได้อย่างไร?’

หานกู่เยว่ไม่สนใจถันไถจื่อเซวียนอีกต่อไป และเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิบกว่าคนที่อยู่ด้านข้างของถันไถจื่อเซวียน จากนั้นจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทุกคน ผู้นำตระกูลของเจ้าตายไปแล้ว และตระกูลถันไถจะถูกกำจัดให้สิ้นซากไปจากเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ แต่ข้ารู้สึกสงสารที่พวกเจ้าต้องฝ่าฟันความยากลำบากในการบ่มเพาะ ดังนั้นจะให้โอกาสแก่พวกเจ้าทุกคน คอยรับใช้ตระกูลหานของข้า มิฉะนั้นก็จงตายซะ!”

อะไรนะ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องจริง?

สีหน้าของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิบกว่าคนของตระกูลถันไถต่างก็ซีดเซียวราวกับไม่อยากจะเชื่อคำพูดที่ได้ยิน และหวาดกลัวต่อการสูญเสียเสาหลักของตระกูล

ถันไถจื่อเซวียนกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “ท่านลุงอย่าไปฟังคำไร้สาระที่เขาพูดมา ท่านพ่อของข้าจะตายด้วยน้ำมือของตระกูลหานอย่างง่ายดายได้อย่างไร? เจ้าเฒ่าหานกู่เยว่ประเมินตัวเองสูงส่งเกินไป!”

“ฮึ่ม! สาวน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะปฏิเสธที่จะส่งมอบตราคำสั่งสินะ เช่นนั้นข้าจะบอกความจริงกับเจ้า คนที่จัดการกับพ่อของเจ้าในครั้งนี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ ไหนลองบอกข้าที เป็นไปได้ไหมที่เขาจะอยู่รอดโดยอาศัยการบ่มเพาะเช่นนั้น?” หานกู่เยว่คำรามอย่างเย็นชา และความหมายที่แฝงมากับคำพูดของเขาก็เหมือนกับค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบลงบนหัวใจของผู้บ่มเพาะตระกูลถันไถทุกคนอย่างดุเดือด

“นี่…” ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของตระกูลท้านไท่ทั้งสิบคนต่างก็ลังเล

“ท่านพ่อ มีไอ้เจ้าเด็กคนนั้นด้วย ท่านต้องฆ่ามัน คนผู้นี้ได้รวบรวมสมบัติมากมายจากในช่องเขาเมฆามรกต ตราบใดที่ท่านฆ่าเขา สมบัติเหล่านั้นก็จะเป็นของเราทั้งหมด!” ทันใดนั้น หานเหวินจวินก็ชี้ไปที่เฉินซี ขณะที่เขากล่าวด้วยเสียงที่ดังสนั่น และดวงตาของเขาก็แสดงถึงความพอใจระคนขุ่นเคืองโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว ลุงหาน เจ้าเด็กคนนั้นเกือบจะฆ่าท่านพี่จวินไปแล้ว มันช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ท่านต้องล้างแค้นให้แก่ท่านพี่จวิน” เซี่ยวจวินแนะนำจากด้านข้างเช่นกัน

“เกือบฆ่าบุตรชายของข้าหรือ” หานกู่เยว่พึมพำ ใบหน้าของเขาพลันเย็นชาลง และตะโกนดังสนั่นราวกับระเบิดใส่เฉินซี “ไอ้หนู คุกเข่าลง! จงมอบสมบัติทั้งหมดมาด้วยความเต็มใจซะ! หากยินยอมแต่โดยดี เจ้าอาจมีโอกาสรอดชีวิตได้ มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดในสวรรค์และโลกที่จะสามารถช่วยเจ้าได้!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท