สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 3 ตอนที่ 6 ที่ต้องมีก็คือท่าทางนักเลงแบบนี้แหละ!
บทที่ 6 ที่ต้องมีก็คือท่าทางนักเลงแบบนี้แหละ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
น้ำแข็งในแก้วน้ำกระทบกันเป็นเสียงเบาๆ ขณะนี้เจ้าของสมาคมกำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้นอนริมหน้าต่างกระจกยาว ฟังเสียงพายุฝนเงียบๆ
พายุฝนที่ชายหาดกับในเมืองไม่เหมือนกัน
“เขาพยัคฆ์มังกร?”
โยวเย่ยืนข้างๆ ลั่วชิว กำลังตอบคำถามของเจ้านาย “ฉันแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสังคมนักพรตตะวันออกเลย จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเขตแดนบนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้นักค่ะ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเขาพยัคฆ์มังกรบ้าง อาจจะนับได้ว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว”
ลั่วชิวเขย่าน้ำแข็งในแก้ว พลางพูดด้วยเสียงเบาๆ “ตอนเด็กๆ ได้ยินชื่อเขาพยัคฆ์มังกรก็ไม่บ่อย ที่เล่าลือกันทั่วไปก็มีแต่เรื่องไล่ล่ากำจัดผีปีศาจ น่าจะมีชื่อว่าปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกรล่ะมั้ง”
โยวเย่ดูไม่ได้สนใจอะไรมาก พูดอย่างเฉยเมยว่า “ขอเพียงมั่วมั่วคนนี้ไม่ทำเรื่องไร้สาระ ก็ไม่มีอะไรค่ะ”
คุณสาวใช้พูดถึงตรงนี้ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือของลั่วชิวขึ้นมา ก่อนหน้านี้โทรศัพท์เครื่องนี้ได้เล่นเพลงแปลกๆ เพลงนั้นซ้ำไปซ้ำมาตลอด
เธอพูดเสียงแผ่วเบา “ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงบันทึกไว้ แต่กลับดูราวกับซึมซับเข้าไปในจิตใจได้ เหมือนว่าจะใช้จิตวิญญาณร้องเพลง…ปีศาจทะเล ไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน ในตำนานตะวันตก ปีศาจทะเลซึ่งมีเสียงร้องไพเราะงดงามก็มีอยู่พวกหนึ่งค่ะ”
ลั่วชิวพูดอย่างแปลกใจ “เธอเคยเจอปีศาจทะเลเหรอ?”
โยวเย่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “หากเป็นทางฝั่งทะเลแบเร็นตส์นั่นก็เคยพบไซเรนอยู่ตัวหนึ่งค่ะ เพียงแต่ปีศาจชนิดนี้ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว…ถ้าไซเรนตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่ บางทีน่าจะแก่มากแล้วค่ะ”
ลั่วชิวถาม “เสียงเพลงนี้เหมือนไซเรนไหม?”
โยวเย่ส่ายหน้าตอบ “ปกติไซเรนจะไม่ร้องเพลงเศร้าแบบนี้ค่ะ…”
เธอหลับตาลง ใช้หัวใจสัมผัสความหมายแฝงในบทเพลงนั้น ฉับพลันนั้นก็พูดขึ้นว่า “แต่ถ้ากำลังจดจ่อกับบางอย่าง ก็อาจจะร้องเพลงนี้นะคะ”
คุณสาวถือคติ ‘ตอบคำถามของนายท่าน’ เป็นอันดับแรก “สภาพอากาศแบบนี้ สำหรับปีศาจทะเลแล้วเป็นช่วงเวลาที่ดีในการออกมาสูดอากาศ นายท่านคะ โยวเย่จะลองไปดูที่ชายฝั่งทะเลสักหน่อย บางทีอาจจะพบอะไรก็ได้นะคะ”
ลั่วชิววางแก้วน้ำ มือหยุดค้างกลางอากาศราวกับกำลังใคร่ครวญอะไรอยู่ แล้วถึงได้โบกมือ “ไม่ต้อง…ให้มันโชว์ต่อหน้าพวกเราเองเถอะ ไม่อย่างนั้นการค้นหาก็หมดสนุกน่ะสิ”
สำหรับลั่วชิวในเวลานี้แล้ว เขาไม่อยากใช้อายุขัยไปแลกความสามารถด้านข้อมูลถ้าไม่จำเป็น
เจ้าของสมาคมคว้ามือของคุณสาวใช้ขึ้นมา แล้วเปลี่ยนเพลงในมือถือเป็นเพลงที่ค่อนข้างเบาและนุ่มนวล แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ในเมื่อมาแล้วก็ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวสักครั้ง พักผ่อนให้เต็มที่กันเถอะ”
โยวเย่หัวเราะน้อยๆ
สายตาของเธอกวาดมองไปตรงประตูบ้านพักเงียบๆ และไม่ได้ตกใจกับดวงตาที่กำลังสอดแนมคู่หนึ่งซึ่งแอบซ่อนอยู่ด้านนอกตรงซอกของประตู
ดวงตาที่สอดส่องอยู่นั้นเป็นของรองบรรณาธิการเริ่น
เธอกำลังมองดูสองคนขยับในบ้านพักนั้นตามเสียงเพลง เริ่นจื่อหลิงดูเหมือนจะสบายใจแล้ว ก็เขย่งเท้าย่องถอยหลังไปเงียบๆ
“เจ้าเด็กนี่ โรแมนติกจริงๆ …โอ๊ย! รีบร่างต้นฉบับ รีบร่างต้นฉบับ!”
…
…
พายุฝนริมทะเลมาเร็วและไปเร็ว ตื่นขึ้นมาในวันถัดมา ก็ได้เห็นน้ำทะเลสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาภายใต้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้ว
ได้ยินหลี่ว์อีอวิ๋นบอกว่า ลูกค้าเมื่อคืนวานคนนั้นค้างแค่คืนเดียว พอรุ่งเช้าก็เช็กเอาท์จากไปแล้ว
สาวน้อยไม่ได้ดีใจกับการทำธุรกิจชั่วคราวแบบนี้ และยามนี้สีหน้าก็ดูกังวลอยู่บ้าง
เพราะหลังจากที่เถ้าแก่หลี่ว์ไห่ออกไปเมื่อวานตอนบ่าย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับมาเลย
สาวน้อยลองโทรศัพท์ไปหา แต่กลับปิดเครื่องตลอด
“พ่อแกโกรธกระฟัดกระเฟียดทีไรก็หนีหายไปแบบนี้ตลอด เห๊อะ! คนไม่เอาถ่านนั่น ไม่ต้องกลับมาก็ดี! ฉันจะได้ไม่หงุดหงิดอีก!” หลัวอ้ายอวี้ยังด่าต่ออีกชุดราวกับว่ายังไม่หายโกรธ…ขณะเดียวกันพวกลั่วชิวที่เพิ่งออกมาจากบ้านพักรวมก็ได้ยินเข้าพอดี
เห็น ‘แขกพิเศษ’ สามสี่คนตื่นขึ้นมา เถ้าแก่เนี้ยก็รีบปั้นหน้ายิ้มทันที “คุณเริ่น พวกคุณตื่นแล้ว! ฉันจะรีบไปเตรียมอาหารเช้าให้พวกคุณสักหน่อยนะคะ”
เริ่นจื่อหลิงพูด “ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกเราว่าจะไปที่อื่นดูสักหน่อย”
หลัวอ้ายอวี้พูดราวกับไม่ค่อยพอใจ “คุณเริ่น นี่…ไม่ใช่ว่าจะช่วยบ้านพักตากอากาศของฉัน…”
ไม่ทันพูดจบ เริ่นจื่อหลิงก็พูดอย่างคุ้นเคยและเข้าใจดีว่า “เถ้าแก่เนี้ย คุณอยากให้คนมาเที่ยวทางฝั่งนี้ก็ต้องให้คนอื่นรู้ว่าที่นี่นอกจากสถานที่พักแล้วยังมีอะไรพอเที่ยวเล่น หรือเที่ยวชมได้อีกบ้างใช่ไหม? ถ้าไม่แนะนำสถานที่บางแห่งที่อยู่รอบๆละก็ นักท่องเที่ยวเขาจะมาทำไม ไม่สู้พักโรงแรมอื่นดีกว่าเหรอ?”
หลัวอ้ายอวี้รีบพูดขึ้นทันที “ก็จริงค่ะๆ คุณเริ่นพูดถูกแล้ว…เอาอย่างนี้ไหมคะ? ฉันให้สาวน้อยของฉันคนนี้นำทางพวกคุณแล้วกัน! พวกคุณไม่คุ้นเคยแถวนี้ มีสักคนตามไปด้วยดีกว่า”
เริ่นจื่อหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
หลัวอ้ายอวี้ดึงลูกสาวตนเองมาอีกด้านหนึ่ง แล้วพูดกำชับอย่างระมัดระวัง “จับตาดูคนพวกนี้ไว้ให้ดีนะ ถ้าพวกเขาแค่เที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยเฉยๆ ไม่ได้ทำงานอย่างที่พูดไว้ดิบดี ก็ให้รีบบอกแม่นะ…ค่าโฆษณานี้ เราจะเสียไปเปล่าๆ ไม่ได้!”
ควรจะพูดว่ายังไงดีล่ะ?
เด็กสาวได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ฟังแม่พูดจนจบ…ถึงแม้หลัวอ้ายอวี้ทำหน้าทำตาแบบนี้ตลอด แต่ตั้งแต่ต้นจนจบสาวน้อยก็ไม่ได้เอาแม่กับแม่หลิวยายเว่ย*ในบทความที่เคยอ่านในหนังสือเรียนมาปนกัน
“งั้นแม่ หนูออกไปแล้วนะคะ แล้วก็ปู่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า…”
“ได้ๆ แม่จัดการได้ เขาไม่หิวตายหรอก” หลัวอ้ายอวี้กลับโบกไม้โบกมือพูดขัดอย่างรำคาญ
แม้ว่าน้ำเสียงพูดไม่ดี แต่ก็ผ่านมาหลายปีมาขนาดนี้แล้ว สาวน้อยเองก็คุ้นชินแล้วล่ะ
…
สำหรับสาวน้อยแล้ว เธอมีกจะรู้สึกกดดันเวลาอยู่กับพวกคนเมืองสามสี่คนนี้…โดยเฉพาะในบรรดาคนพวกนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝีมือทำอาหารดีมาก และยังสวยมากกว่าดาราดังในทีวีหลายเท่า
หลี่ว์อีอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ไปเลย
“โถ่เอ๊ย ลำบากเธอจริงๆ แม่เธอน่ะ ส่งเธอมาจับตาดูพวกเราไว้ ว่าพวกเรามาเที่ยวเล่นหรือเปล่าสินะ?”
เริ่นจื่อหลิงที่กำลังขับรถอยู่พลันพูดอย่างตรงไปตรงมา
หลี่ว์อีอวิ๋นที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ตอนนี้ก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะอ้าปากยังไงแล้ว “ไม่ใช่นะคะๆ แม่แค่กลัวว่าพวกคุณไม่รู้จักทางแล้วจะเจอเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นก็เลย…”
“เอาล่ะๆ” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้า “ฉันรับเงินของพวกเธอมาแล้ว ก็ต้องตั้งใจทำงานแน่ๆ ฉันไม่ยกยอพวกเธอ และก็ไม่มีเจตนาจะให้ร้ายพวกเธอ ควรจะเขียนยังไงก็จะเขียนอย่างนั้น”
“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ! คุณเริ่น!”
ไม่ใช่คู่ปรับของเริ่นจื่อหลิงสักนิดเลยนะ…สาวน้อยใสซื่อแบบนี้ น่าจะเป็นพวกที่ถูกคนอื่นรังแกได้ง่ายมากเลยสินะ?
ลั่วชิวไม่ยอมให้สาวน้อยอึดอัดแบบนี้จึงเอ่ยปากถาม “ฝั่งนี้มีจุดชมวิวอะไรบ้างไหมครับ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูดด้วยท่าทางกระตือรือร้นทันที “ถ้าเป็นฝั่งนี้จุดชมวิวหลักๆ ที่จริงก็ไม่มีอะไรค่ะ เพียงแต่สถานที่เล็กๆ ก็มีอยู่บ้างหลายแห่งค่ะ…เอ้อ! ข้างหน้าก็มีผาฟังเสียงทะเล ฉันพาพวกคุณไปที่นั่นแล้วกันค่ะ!”
…
มั่วมั่วผมสีทองทั้งหัวแต่งตัวทันสมัย กำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง
แต่ก็ไม่อาจเทียบกับแบบสมาร์ตที่เคยนิยมที่นี่เมื่อหลายปีก่อนได้ ดังนั้นแม้ว่าคนในหมู่บ้านจะชำเลืองตามอง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ทำให้คนไม่พอใจ
ถ้าพูดอีกอย่างหากเป็นนักท่องเที่ยวล่ะ?
ทั่วทั้งหมู่บ้านหลี่ว์ต่างก็ทำธุรกิจบ้านพักตากอากาศ
“คุณผู้ชายครับ พักค้างแรมไหมครับ พวกเรามีบริการครบครัน! ก็อย่างที่คุณรู้!”
“คุณเป็นเจ้าของที่นี่? คนท้องถิ่น?”
“ใช่น่ะสิครับ! คุณวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย! ที่ผมปลอดภัยแน่นอน” เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนแต่งตัวฟู่ฟ่า รอยยิ้มเจิดจ้า…เพราะว่าฟันเหลืองเต็มปาก
มั่วมั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “งั้นก็ได้ คุณช่วยผมหาคนแก่คนหนึ่งมาให้ผม”
“คน…คนแก่?” เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนนิ่งตะลึง แล้วก็สังเกตมั่วมั่วอย่างแปลกใจตั้งแต่หัวจรดเท้า…หลังจากนั้นเขาถึงถามขึ้นด้วยความลังเล “ลูกค้าท่านนี้ คุณต้องการหาคนแก่จริงๆ เหรอครับ? น่าจะอายุประมาณเท่าไร? ถ้าแก่เกินไป ผมเกรงว่าจะหาให้ไม่ได้นะครับ”
มั่วมั่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนว่ายิ่งแก่ยิ่งดี คุณหาคนอายุมากที่สุดคนไหนมาให้ผมก็ได้ ขอแค่พูดจารู้เรื่อง ความจำดี ไม่เลอะเลือนก็พอ”
เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนกลืนน้ำลายแล้วพูดขึ้น “นี่…หญิงชราที่อายุมากที่สุดของพวกเรา มีคนหนึ่งอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าเธอจะยินยอมหรือเปล่านะ?”
มั่วมั่วขมวดคิ้ว สะบัดมือไปมา ก่อนเหวี่ยงธนบัตรฟ่อนหนึ่งออกไป ยิ้มพูดอย่างสง่างาม “ไม่มีปัญหา เรียบร้อยแล้ว จะให้รางวัลอย่างงาม”
กล้าได้กล้าเสียแบบนี้ เขาเรียนรู้จากตอนที่ลงจากเขามา
ที่ต้องมีก็คือท่าทางนักเลงแบบนี้แหละ!
*แม่หลิว ยายเว่ย ตัวละครสองตัวในผลงานเรื่อง ‘อวยพร’ ของหลู่ซิ่น