บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 196 เซียนสวรรค์ผู้กลับมาเกิดใหม่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 196 เซียนสวรรค์ผู้กลับมาเกิดใหม่

บทที่ 196 เซียนสวรรค์ผู้กลับมาเกิดใหม่

“ไอ้เด็กสกปรกอยู่นี่เอง!” เผยจงและเซวี่ยเฉินก็สังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน ในขณะที่เผยจงนิ่วหน้า เซวี่ยเฉินกลับทำเสียงหัวเราะหึอย่างเย็นชา “คราวก่อนข้าปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ คราวนี้ข้าจะดูสิว่าเจ้าหนีไปได้ไหม!”

ขณะที่ผู้พูดกล่าวดังนั้น เซวี่ยเฉินก็สะบัดมือออกครั้งหนึ่ง ภาพวาดสีน้ำเงินทั้งเก้าพลันพุ่งออกไปทันที บนพื้นผิวภาพทุกภาพเต็มไปด้วยลวดลายที่แตกต่างกัน บ้างเป็นหมอกและเมฆ เนินเขา สัตว์อสูรรวมทั้งอักขระโบราณโค้งงอ แต่โดยส่วนใหญ่จะมีนกกระเรียนสีขาวราวหิมะปกคลุมทั้งหมด ปีกเรียวยาวของมันดั่งใบมีด ส่วนหัวปรากฏมงกุฎสีแดงซึ่งเปล่งประกายสุกใสราวกับลูกไฟลุกโชน ในภาพเหล่านกกระเรียนขาวกำลังทำท่ากระพือปีกขณะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกมันเชิดหัวขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงร้องและมีบางส่วนที่แปลงร่างเป็นอักขระโบราณโค้งงอจึงยิ่งทวีความลี้ลับให้แก่ภาพวาดมากขึ้น

สิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือกึ่งกลางภาพวาดทั้งเก้า เป็นร่างของชายชราผมขาวทว่ามีใบหน้าอ่อนเยาว์เคลื่อนไหวแวบไปแวบมา ซึ่งมันก็คือคู่ต่อสู้จากจินตนาการนั่นเอง ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของมันทั้งทรงพลังและรวดเร็วเหมือนกระเรียนขาวกระพือปีก ทุกครั้งที่เขาซัดกำปั้นจะมีนกกระเรียนขาวจำนวนมากถลาร่อนออกมา ดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์นัก

ทันทีที่ภาพวาดทั้งเก้าลอยออกมาจากเซวี่ยเฉิน พวกมันก็เคลื่อนที่หมุนรอบเสมือนวิถีวงโคจรของดวงดาว จากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็กระจายเข้าหาเฉินซีทันที

“ภาพฝูงกระเรียนเก้าภูต!”

“สมบัติวิเศษระดับสูงสุดที่ก่อร่างเป็นค่ายกลใหญ่ด้วยสมบัติวิเศษระดับปฐพีที่เก้า!”

“นี่คือสมบัติวิเศษที่สืบทอดกันมาของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์แห่งที่ราบตอนกลาง ซึ่งเป็นการแปรสภาพที่จัดว่ายากที่สุด แม้แต่นิกายกระเรียนพิสุทธิ์เองก็ยังมีน้อยคนที่จะบรรลุผลสำเร็จในการแปรสภาพได้เช่นนี้ เขาลือกันว่าในการวาดภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตชิ้นนี้ คนวาดจะต้องใช้แก่นแท้ของโลหิตและวิญญาณของนกกระเรียนขอบเขตตำหนักอินทนิลผสานลงไปนับหมื่นตัว เมื่อการแปรสภาพสำเร็จ จิตวิญญาณของนกกระเรียนทั้งฝูงจะกลั่นอยู่ภายในภาพวาดจนเกิดเป็นพลังไร้ขีดจำกัด!”

“แม้ว่าภาพเหล่านี้อาจไม่ถึงกับเป็นสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ แต่เป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นสุดยอดทุกภาพ! พูดถึงพลังของภาพน่าเกรงขามยิ่งกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ทั่วไป หากมีสมบัติวิเศษชิ้นนี้มาใช้งาน คนผู้นั้นจะสามารถข้ามขอบเขตพลังของตนเอาชนะต่อสู้ที่พลังเหนือกว่าได้อย่างแน่นอน!”

“น่าเกรงขามนัก! สหายคนนั้นน่าจะเป็นศิษย์สายหลักของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์แห่งที่ราบตอนกลางเป็นแน่ เขาจึงได้มีภาพฝูงกระเรียนเก้าภูต น่าอัศจรรย์จริง ๆ!”

เวลานั้นมีผู้ฝึกบ่มเพาะพลังมาซื้อกระบี่ที่หอแสดงกระบี่หลายคน ทุกคนมัวสนใจเรื่องธุระของตน แต่พอเซวี่ยเฉินเผยภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตออกมา ทันใดนั้นเสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังขึ้นภายในหอแสดงกระบี่ทันที

‘ไม่แปลกใจเลยที่จนถึงตอนนี้ศิษย์น้องเซวี่ยเฉินจะยังไม่บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ เท่าที่ทราบส่วนตัว เขามีพรสวรรค์ไม่ด้อยกว่าข้า แต่กลายเป็นว่าเสียเวลาฝึกฝนการแปรสภาพภาพวาดฝูงกระเรียนเก้าภูตเหล่านี้ เพราะสมบัติล้ำค่าที่เขาครอบครองชิ้นนี้เอง อาจจะทำให้เขามีที่ยืนในการชุมนุมดาวรุ่งที่จะมีขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า’ ขณะนั้นเผยจงที่อยู่ไม่ห่างออกไปกำลังมองอีกฝ่ายพลางครุ่นคิด

“เจ้าเด็กน้อย ยังพอมีเวลาส่งแก่นของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกมา! จากนั้นก็โขกศีรษะขอขมาข้าเสียดี ๆ และข้าก็จะไว้ชีวิตให้เจ้า มิฉะนั้นต่อให้ผู้พิทักษ์หอขุมทรัพย์สวรรค์จะออกมา ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้!” ภายหลังจากสะบัดภาพวาดฝูงกระเรียนเก้าภูตออกมา ท่าทางภายนอกของเซวี่ยเฉินเปลี่ยนไป ผ้าคลุมนักพรตเต๋าสะบัดพลิ้วไปตามสายลม เสียงพูดที่ดังกังวานอย่างเฉพาะเจาะจงมุ่งไปที่เฉินซีแต่ผู้เดียว

“นิกายกระเรียนพิสุทธิ์เป็นนิกายขนาดใหญ่แห่งที่ราบตอนกลาง และพวกศิษย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่คนดี ต่อไปถ้าพบเจอพวกมันอีกเห็นทีต้องระวังตัวให้มาก”

“เจ้าหนุ่มขอบเขตเคหาทองคำคนนี้เห็นทีคงจบสิ้นแล้ว แต่หากต้องตายด้วยวาดภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตก็น่าภูมิใจแล้ว เพราะคู่ต่อสู้ของเขาเป็นศิษย์สายหลักแห่งขอบแขตแกนทองคำหยินหยางของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์แห่งที่ราบตอนกลางซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมาก เรียกว่าผู้ฝึกพลังขอบเขตเคหาทองคำคนนั้นห่างชั้นจนเทียบไม่ติดทีเดียว”

“จริง นิกายกระเรียนพิสุทธิ์เป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่มากเสียด้วย ทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยวัตถุ ทรัพยากรและกรุสมบัติมหาศาล หอขุมทรัพย์สวรรค์ไม่น่าจะเห็นแก่เจ้าเด็กหนุ่มพลังขอบเขตเคหาทองคำธรรมดา ๆ คนนั้น”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบข้างดังขึ้นด้วยความสนุกปาก ขณะแววตาที่มองไปยังเฉินซีกลับเต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา พวกเขาต่างพากันส่ายหน้าแสดงความหนักใจ

“แก่นของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกข้ากลืนเข้าไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องจะให้โขกศีรษะขอขมานั้น… มีแต่คนงั่งไร้สมองเท่านั้น จึงพูดจายโสโอหังออกมาเช่นนี้” เฉินซีโต้ตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย ทว่าในใจกระตุกวูบด้วยจับสังเกตได้ว่าบัดนี้ตนถูกพลังอำนาจของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตจนขยับไม่ได้!

“ไอ้เด็กเหลือขอ การบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอย่างเจ้ากล้ามาหาว่าข้าเป็นเจ้างั่งไร้สมองอย่างนั้นหรือ เจ้ามันรนหาที่ตายแล้ว!” ยามนี้อารมณ์ของเซวี่ยเฉินเดือดจัด ฉับพลันปรากฏแสงพุ่งวาบออกมาจากร่างกาย จากนั้นก็เอื้อมมือขยุ้มลงกลางศีรษะของเฉินซีอย่างรุนแรง “ภายใต้อำนาจของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตอย่างนี้ เจ้าหนีไม่รอดหรอก ตายเสีย!”

ขวับ!

เซวี่ยเฉินพลันตะปบด้วยกรงเล็บเสมือนนกกระเรียนศักดิ์สิทธิ์พุ่งจากสวรรค์ทั้งเก้า ทะลวงผ่านอากาศลงมา ยิ่งกว่านั้นตรงปลายนิ้วทุกนิ้วประจุไว้ด้วยพลังเต๋ารู้แจ้ง ซึ่งเป็นลวดลายอักขระโบราณหลากสีสันวูบวาบ เมื่อถูกจู่โจมตีด้วยกรงเล็บเช่นนี้ แทบจะทำให้เฉินซีหมดหนทางที่จะหลบเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง!

พลังยิ่งใหญ่ของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตนั้นเหลือเชื่อนัก ทั้งกดดันเฉินซีจนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้แม้จะพยายามดิ้นรนสุดชีวิตแล้วก็ตาม หากไม่มีภาพวาดเขาเชื่อแน่ว่าจะใช้พลังกายที่น่าเกรงขามของตนหลบหลีกการโจมตีได้ไม่ยากนัก แต่พอมีภาพวาดทั้งเก้าซึ่งเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นสูง ทั้งยังก่อร่างเป็นค่ายกลใหญ่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัว พลังกดดันที่สามารถดำเนินการได้ไม่ยากนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติ

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เฉินซีจะต้านทานได้อย่างไร

เป็นใครก็ต้องคิดว่าเฉินซีถูกยับยั้งไว้ได้อย่างสิ้นเชิง อีกไม่ช้า เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน

แต่ในฐานะคนที่กำลังเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ สีหน้าท่าทีของเฉินซีกลับสงบนัก อีกทั้งยังมีร่องรอยของความเยือกเย็นเจือความขรึมเคร่งในแววตาด้วยซ้ำ เวลานั้นฝ่ามือขนาดมหึมาที่แผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินซี ก่อนที่เซวี่ยเฉินจะตวัดกรงเล็บจู่โจมลงไปที่หน้าของชายหนุ่มทันที

โอม!

ประกายไฟพุ่งจากหอแสดงกระบี่ขึ้นสู่ท้องฟ้า ประหนึ่งว่ากระบี่เหล่านั้นรับรู้ถึงภยันตรายตรงหน้า จนบังเกิดเสียงกระหึ่มดังออกมา ฝ่ามือใหญ่มหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ในขณะนี้แผ่รังสีโอ่อ่าตระการตาขึ้นไปบนท้องฟ้า มันได้ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างอันหนาแน่นและกลิ่นอายเร้นลับออกมา นั่นคือฝ่ามือมหาดารา

ขณะนั้น แม้ความยิ่งใหญ่ของฝ่ามือมหาดาราจะครอบคลุมพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งหมู่ แต่พลังของมันก็แข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับพลังพิเศษของมหาหยิน มหาหยาง วายุและปราณจ้าววิญญาณสายฟ้า ทันทีที่ฝ่ามือปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าได้ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือกน่าสะพรึงกลัว สั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบจนแหลกกระจัดกระจาย แม้แต่พลังรุนแรงของแผนภาพฝูงกระเรียนเก้าภูต ยังแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อฝ่ามือมหาดาราคว้าหมับที่ช่องอากาศว่างเปล่า มันได้จู่โจมเข้าที่เหนือศีรษะของเซวี่ยเฉิน ตามด้วยเหวี่ยงแรงเคลื่อนไหวออกไปด้วย!

เปรี้ยง!

กรงเล็บจู่โจมของเซวี่ยเฉินพลันสลายหายไปในทันที ส่วนตัวคนก็ต้องพลังฝ่ามือมหาดาราโดยตรง ถ้าไม่ใช่เพราะการตอบสนองที่ว่องไวของเขา มีหวังคงถูกทุบจนแหลกเหลวไปแล้ว

“พลังอิทธิฤทธิ์!”

“เจ้าหนุ่มนั่นมันมีทักษะขัดเกลากายาเทพอย่างนั้นหรือ”

“พลังอิทธิฤทธิ์คืออะไรกัน มีลายเส้นปรากฏบนฝ่ามือเหมือนวงโคจรดวงดาว! น่ากลัวเหลือเกิน!”

การเอาตัวรอดหลีกพ้นความตายของเฉินซี และยังโจมตีโต้กลับเซวี่ยเฉินด้วยการระเบิดจนฝ่ายนั้นต้องทะยานหนี ผู้คนโดยรอบถึงกับส่งเสียงเอะอะโกลาหล สีหน้าของพวกเขาบอกว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง

แต่เป็นใครก็มองออกว่าเป็นเพราะฝ่ายเซวี่ยเฉินประมาทเกินไป เขาคิดว่าการใช้ภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตจะสามารถยับยั้งเฉินซีได้อย่างสิ้นเชิงและเมื่อนั้นชะตากรรมของเฉินซีจะขึ้นอยู่กับความปรานีของตน ถ้าเพียงเขาเพิ่มระมัดระวังขึ้นสักนิด ขณะที่ใช้พลังภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตอย่างเต็มที่ ป่านนี้คงสามารถทำลายเฉินซีไปนานแล้ว

เปรี๊ยะ!

กระนั้นฝ่ามือมหาดารายังไม่อาจต้านอำนาจของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตได้อยู่ดี และในที่สุดมันก็สลายตัวไปกลายเป็นความว่างเปล่า จนทำให้เฉินซีถึงกับในใจกระตุกวูบไปเช่นกัน

เขารู้ดีว่าการจู่โจมครั้งนี้หากไม่อาจสังหารเซวี่ยเฉินได้แล้ว คงจะไม่มีโอกาสครั้งต่อไปแน่ เหนือสิ่งใด การถูกภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตยับยั้งได้ทำให้เขารับรู้ถึงพลังที่แข็งแกร่งของมัน ในขณะนั้นทั้งชิงซิ่วอี้และเผยจงต่างจับตามองดูอยู่ไกล ๆ ซึ่งบอกได้เลยว่าเวลานี้สถานการณ์ของชายหนุ่มกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง!

‘ข้าฝึกบ่มเพาะพลังแปรสภาพร่างกายและแปรสภาพปราณไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำแล้ว เดิมทีเคยคิดว่าครั้งนี้จะสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะพลังขอบแขตแกนทองคำได้ง่ายดาย แต่ไม่เคยคิดว่าจะถูกสมบัติวิเศษพวกนั้นยับยั้งจนขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นนี้ น่าขันนัก น่าสงสัยเสียแล้วว่า ผู้บ่มเพาะพลังขอบแขตแกนทองคำรุ่นเยาว์ที่มายังห้วงทะเลทรายมรณะนี้จะพกเอาสมบัติวิเศษน่าเกรงขามเช่นนี้มาเหมือนกับเซวี่ยเฉินหรือไม่…’ เวลานี้เฉินซีได้ตระหนักถึงความสำคัญของสมบัติวิเศษแล้ว และในใจของชายหนุ่มก็เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ครอบครองศัสตราที่ท้าทายสวรรค์เหล่านั้น

แน่นอน ตอนนี้เขายังไม่ได้นำเคียวแห่งการสังหารออกมาใช้ด้วยซ้ำไป ด้วยเคียวแห่งการสังหารมีความเฉียบคมอันยากจะหาใดเหมือนของมัน การจะเจาะภาพวาดฝูงกระเรียนเก้าภูตให้ทะลุก็น่าจะทำได้ไม่ยาก แต่เคียวแห่งการสังหารเป็นของล้ำค่าหายากที่ใช้เพื่อขัดเกลาสมบัติอมตะ และบรรจุเจตนาสังหารแห่งสวรรค์และโลกเอาไว้ จึงนับเป็นศัสตราที่มีเจตนาสังหารรุนแรงดุจคลื่นทะเล จึงเหมาะที่จะใช้เป็นไม้ตายเท่านั้น มิฉะนั้นเมื่อเปิดเผยมันออกมา อาจทำให้หลายคนเกิดความละโมบที่จะได้ครอบครองและเริ่มต่อสู้แย่งชิงกัน

“ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเจ้าจะซุ่มซ่อนความแข็งแกร่งไว้มิดชิดถึงเพียงนี้ ที่แท้เจ้าก็เป็นแปรสภาพร่างกายเหมือนกัน แต่ก่อนหน้าข้าใช้ความแข็งแกร่งไปเพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น และครั้งนี้ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าอีก!” สีหน้าของเซวี่ยเฉินหมองคล้ำขณะกัดฟันพูด

คำพูดมิทันจบประโยค แขนข้างหนึ่งของเขาก็สั่นเล็กน้อย จากนั้นหมอกควันสีขาวพลันพวยพุ่งออกมาจากภาพวาดฝูงกระเรียนเก้าภูต มีกระทั่งเสียงร้องแหลมอันกังวานและรุนแรงของฝูงกระเรียนออกมาด้วย จนคนที่ได้ยินรู้สึกราวกับถูกใบมีดเจาะทะลวงเข้าไปในแก้วหูจนแทบจะระเบิด

พลังกดดันบนร่างกายของเฉินซีเพิ่มมากขึ้นกว่าสองเท่าทันที ประหนึ่งกำลังถูกภูเขาทั้งลูกโถมทับลงมาบนร่าง ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้พลังบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายได้สำเร็จขอบเขตเคหาทองคำไปเมื่อนานละก็ ป่านนี้ร่างของเขาอาจจะแหลกสลายเพราะพลังแรงกดดันไปแล้วก็เป็นได้

‘ให้ตายสิ! วันนี้เห็นทีข้าจะต้องแย่แน่ ถ้าไม่รีบทำลายภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตน่าเกลียดพวกนี้เสียก่อนละก็!’ แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาววับและขยับทำท่าจะเคลื่อนไหว

ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังกระหึ่มออกมาจากบริเวณหอแสดงกระบี่ แม้เสียงที่ดังออกมาจะฟังดูเป็นเสียงธรรมดาทว่ากลับมีพลังมหาศาล ยิ่งใหญ่และสั่นสะเทือน พาให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับโลหิตทะลักออกทุกทวารและปราณปั่นป่วน ในขณะที่เซวี่ยเฉินเองถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งกาย ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดเช่นกัน จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตกลับคืน และไม่เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าอีก

“ศิษย์ของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์กล้ามาทำอวดดีในหอขุมทรัพย์สวรรค์ของข้าตั้งแต่เมื่อไร หากไม่ใช่เพราะข้าให้ความเคารพต่อประมุขนิกายของเจ้า ข้าจะทำลายเจ้าไปนานแล้ว” ขณะที่เสียงพูดทุ้มต่ำดังขึ้น ร่างของชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในหอแสดงกระบี่ ใบหน้าของเขาผอมตอบ ท่าทางองอาจและบนศีรษะสวมหมวกกลมสีดำ แม้การแต่งกายจะดูเรียบง่าย แต่ร่างกายกลับเปล่งรังสีแห่งอริยะออกมาอย่างชัดเจน คนผู้นี้ต้องเป็นเฝิงจวิ้นเหอ ประมุของหอขุมทรัพย์สวรรค์อย่างแน่นอน

“เฒ่าปีศาจเฝิงถูกรบกวนจนทนไม่ไหวจึงต้องปรากฏตัวแล้วจริง ๆ ไหนว่าเขาเก็บตัวฝึกเพื่อจะบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีไม่ใช่หรือ”

“เฒ่าปีศาจเฝิงอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แน่ นักพรตเฒ่าที่เข่นฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเมื่อหลายปีก่อน ผู้อาวุโสของตระกูลหนึ่งที่ชื่อหมานคู่ จากทุ่งหญ้าพเนจรเข้ามาก่อปัญหาในหอขุมทรัพย์สวรรค์ และได้ถูกเฒ่าปีศาจเฝิงออกตามล่าในทุ่งพเนจรเพียงลำพัง จากนั้นเฒ่าปีศาจเฝิงก็จัดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนนับหมื่น เหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้นโหดเหี้ยมไร้ความปรานีสิ้นดี น่าสยดสยองจนทนดูไม่ได้ทีเดียว”

เมื่อพวกเขาเห็นเฝิงจวิ้นเหอปรากฏตัว ผู้บ่มเพาะพลังบางคนค้อมกายคารวะ และไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างกัน จึงได้แต่สื่อสารผ่านกระแสปราณเท่านั้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบงันทันที

“กลับเถอะ” ถึงกระนั้นท่ามกลางบรรยากาศที่นิ่งเงียบ ชิงซิ่วอี้ที่เฝ้าดูอยู่เฉย ๆ พลันโพล่งขึ้นมา จากนั้นสตรีนางนี้ก็หันหลังกลับออกไป ราวกับไม่เห็นเฝิงจวิ้นเหออยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

นางจากไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่คู่ควรแก่การที่นางจะจดจำหรือใส่ใจ ทำให้กลายเป็นความลึกลับและสูงส่งขึ้นอีก

สิ่งนี้เป็นการพิสูจน์แน่ชัดว่าเฝิงจวิ้นเหอจะไม่มีทางขัดขวางนางได้

ยโสโอหังอย่างนั้นหรือ

ไม่มีใครคิดเช่นนั้น แต่ที่แน่ ๆ สตรีผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา เหมือนนางฟ้าจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ที่ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้

‘นางมีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว!’ ขณะมองตามร่างของชิงซิ่วอี้ที่ลับสายตาไป ความเคร่งเครียดซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนพุ่งวาบเกิดขึ้นในใจของเฉินซีอย่างไร้สาเหตุหรือคำอธิบาย และรู้สึกได้ราง ๆ ว่าถ้าเขาเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง นางจะต้องเป็นหนึ่งในคู่แข่งที่น่ากลัวของเขาอย่างแน่นอน!

“ข้าขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านก่อนหน้านี้ ชิงซิ่วอี้เป็นเซียนสวรรค์ที่เวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่และนางมีผู้เกื้อหนุนเป็นนิกายกระเรียนพิสุทธิ์และตระกูลชิง ตัวข้าก็สู้นางไม่ได้และหวังว่าท่านจะให้อภัยแก่ข้าด้วย”

เสียงพูดของเฝิงจวิ้นเหอดังเข้าในโสตประสาท ทำให้เฉินซีถึงกับสั่นสะท้านทันทีประหนึ่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงกลางใจ อะไรนะ? เซียนสวรรค์ที่เวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท