บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 199 การรวมตัว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 199 การรวมตัว

บทที่ 199 การรวมตัว

“เซียวหลิงเอ๋อร์ ในที่สุด เจ้าก็มาแล้ว” เมื่อเขาเห็นหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงเพลิง ถันไถหงก็แย้มยิ้มด้วยความยินดี และส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเฉินซีว่า “คนผู้นี้คือเซียวหลิงเอ๋อร์ ศิษย์สายหลักของนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้าจากที่ราบตอนกลาง และเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง นอกจากนี้การบ่มเพาะของนางก็ไม่ยากที่จะหยั่งถึง ตัวตนของนางก็อยู่ในระดับเช่นเดียวกับหลินโม่เซวียน”

“ข้าได้พบกับชิงซิ่วอี้ของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ และต้องการทดสอบฝีมือกับนาง แต่น่าเสียดายที่นางเอาแต่หลีกเลี่ยงและไม่ต้องการสู้กับข้า” เซียวหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงมองไปโดยรอบ เมื่อสังเกตเห็นเฉินซี นางก็ตกตะลึงเล็กน้อยแต่ก็ไมได้กล่าวอะไรออกมา

แต่เฉินซีสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีแรงกดดันที่ทำให้เขายังต้องรู้สึกเกรงกลัว นอกจากนี้ รอบตัวนางก็มีกลิ่นอายจาง ๆ ที่มีพลังรุนแรงดั่งเปลวไฟ หนักแน่นเหมือนหม้อกลั่นยา ซึ่งสามารถระงับสรรพสิ่งในโลกได้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่านางน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

“อะไรนะ? เจ้าได้พบกับชิงซิ่วอี้ด้วยหรือ? นางก็มาห้วงทะเลทรายมรณะด้วยหรือนี่” หลินโม่เซวียนตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวอย่างร้อนรน “ผู้หญิงคนนั้นเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดและได้รับการชื่นชมจากผู้นำของนิกายต่าง ๆ เดิมทีข้าคิดว่านางได้ทะลวงไปสู่ขอบเขตจุติมาตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะระงับการบ่มเพาะของนางไว้เช่นกัน และกำลังรอการชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีข้างหน้า เพื่อทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะต้องประหลาดใจด้วยความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมในคราเดียว!”

“กล่าวถึงการระงับการบ่มเพาะ ศิษย์พี่หลินก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ท้ายที่สุด ยิ่งหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งภายในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งเสริมต่อการทะลวงสู่ขอบเขตสถิตกายามากขึ้นเท่านั้น ส่วนขอบเขตจุตินั้น… ฮึ! มันก็แค่ทางผ่าน ด้วยความสามารถของข้า ตราบใดที่ข้ามีปราณหยินและปราณหยางเพียงพอ ข้าก็จะสามารถพิชิตอารมณ์ทั้งเจ็ดของขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย” เซียวหลิงเอ๋อร์ชำเลืองมองหลินโม่เซวียนด้วยนัยน์ตาอันลึกล้ำ จากนั้นนางก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ใดได้บรรลุ​​ขอบเขตจุติแล้ว คนผู้นั้นย่อมไม่มีสิทธ์เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ซึ่งจะเท่ากับสูญเสียโอกาสในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล และไม่สามารถต่อสู้กับอัจฉริยะที่เก่งกล้าของราชวงศ์อื่น ๆ

หลินโม่เซวียนคำรามอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเซียว เจ้าไม่ได้ระงับการบ่มเพาะของเจ้าเช่นกันหรือ”

เซียวหลิงเอ๋อร์ยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

พวกเขาระงับการบ่มเพาะหรือ??!

ปรากฏว่าผู้คนเหล่านี้มีคุณสมบัติที่จะทะลวงสู่ขอบเขตจุติมาตั้งนานแล้ว ตามที่เซียวหลิงเอ๋อร์กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการและสะสมความแข็งแกร่งให้เพียงพอ เพื่อหลังจากที่พวกเขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติแล้ว จะสามารถทะลวงไปถึงขอบเขตสถิตกายาในครั้งเดียว!

เมื่อเฉินซีได้ยินสิ่งนี้ เขากลับรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเทียบกับพวกเขาได้หรือไม่ แต่หลังจากที่เขาได้ลองเปรียบเทียบดูแล้ว เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนย่อมมีคน’ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนก็ตาม ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสมอ

ในขณะนี้ เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า การบ่มเพาะของเขาล่าช้าเป็นอย่างยิ่งและมันไม่เพียงพออีกต่อไป ทำให้เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากได้เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งแล้ว คนเหล่านี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เขาต้องเผชิญ และถ้าเขาไม่รีบทุ่มเทบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียร ก็อาจจะไม่มีวันได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬไปตลอดชีวิตของเขา…

ที่ด้านข้าง สีหน้าของถันไถหงกลับไม่น่าดูเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินเซียวหลิงเอ๋อร์กล่าวว่า ‘ส่วนขอบเขตจุตินั้น… ฮึ! มันก็แค่ทางผ่าน’ ใบหน้าของเขากลับยิ่งหดหู่ลง

เพราะก่อนหน้านี้เขาอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะเพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติ และเกือบจะถูกศัตรูลอบฆ่าในช่วงเวลานั้น ดังนั้น คำกล่าวของเซียวหลิงเอ๋อร์ได้ตอกย้ำความทรงจำอันน่าเจ็บปวดในใจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย และมันทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก

แคร๊ก! แคร๊ก!

ในขณะนี้ เสียงของอากาศที่กำลังแตกกระจายดังก้องไปทั่ว

เมื่อเฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่ามีคนทั้งสามกำลังทะยานอยู่บนท้องฟ้า และทุกย่างก้าวของพวกเขา ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นระลอกในพื้นที่ที่พวกเขาก้าวไป ซึ่งมันได้เผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งของพวกเขา

คนทั้งสามนี้นำโดยชายหนุ่มที่สวมมงกุฎขนนกและอาภรณ์มังกร ซึ่งเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่สง่าและไม่มีใครเทียบได้ ที่ด้านข้างของเขามีฝาแฝดสองคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันและสวมเสื้อผ้าเหมือนกัน ดวงตาลึกล้ำของพวกเขามีกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม นอกจากนี้ คนทั้งสามเองก็ไม่ได้ด้อยกว่าหลินโม่เซวียนและเซียวหลิงเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย

โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เป็นผู้นำ แรงกดดันที่เขาแผ่มาถึงเฉินซีนั้นมหาศาลกว่าคนอื่น ๆ และน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามาก ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มผู้สวมมงกุฎขนนกคนนี้ ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือรุ่นเยาว์เหล่านี้

อย่างไรก็ตาม ความสนใจของเฉินซีกลับถูกดึงดูดโดยพี่น้องฝาแฝด เพราะเขาสัมผัสได้อย่างรุนแรงเลยว่า กลิ่นอายของสองคนนี้แทบจะเหมือนกับเซี่ยวจวินของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต!

“พวกเจ้าก็มาแล้วหรือ” ถันไถหงยิ้มไปถึงใบหูเมื่อเขาเห็นสามคนนี้

แน่นอนว่าเขาได้ส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเฉินซีในเวลาเดียวกัน “เฉินเค่อ ในบรรดาสามคนนี้ ฝาแฝดคู่นี้มีนามว่าเถิงหัวจีและเถิงหัวซวี่ พวกเขาเป็นศิษย์ของผู้บ่มเพาะหญิงลึกลับที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ในระหว่างที่ข้าพยายามทะลวงสู่ขอบเขตจุติเมื่อสองสามวันก่อน ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางนั้นมีนามว่า ‘หวงฝู่ฉงหมิง’ และเขาเป็นองค์ชายน้อยของตำหนักจ้าวปัญญาแห่งราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นพระญาติของจักรพรรดิที่มีสถานะที่น่านับถือและมีอำนาจที่มากล้น อีกทั้งความแข็งแกร่งของเขาเองก็ยากหยั่งถึง นอกจากนี้ เคล็ดวิชาเก้าพญาอสรพิษแปลงมังกร เป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงยอดของราชวงศ์ซ่งที่มีอานุภาพเป็นอย่างมาก ดังนั้น เจ้าไม่ควรล่วงเกินชายคนนี้เป็นอันขาด!”

จากคำพูดของถันไถหง เฉินซีสัมผัสได้ถึงความกลัวที่ซ่อนอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่า หวงฝู่ฉงหมิงคนนี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับถันไถหงอย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะตอนนี้เขาสามารถยืนยันเรื่องหนึ่งได้แล้วว่า พี่น้องฝาแฝดคู่นั้นจะต้องเป็นศิษย์ของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตอย่างแน่นอน!

นอกจากนี้ จะมีผู้บ่มเพาะหญิงลึกลับคนใดที่จะมาช่วยชีวิตถันไถหงในช่วงเวลาวิกฤตได้อีก? ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นแผนการของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่จัดเตรียมไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเข้าใกล้ถันไถหง จากนั้นอาศัยแผนที่ที่เขาครอบครองเพื่อเข้าสู่ขุมทรัพย์ของเฉียนหยวน ดังนั้น เฉินซีจึงพอจะคาดเดาได้ว่าผู้บ่มเพาะหญิงลึกลับคนนั้นอาจเป็นฟ่านอวิ๋นหลานที่เซี่ยวจวินเคยกล่าวถึง

เหตุผลที่เฉินซีมั่นใจนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เป็นเพราะเซี่ยวจวินนั้นเป็นเบี้ยของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่ถูกส่งให้มาติดตามถันไถจื่อเซวียน และเมื่อนางค้นพบแผนที่ขุมทรัพย์ซึ่งถันไถหงครอบครองอยู่ นางจึงรายงานเรื่องนี้แก่ฟ่านอวิ๋นหลาน หลังจากนั้นพวกมันจึงใช้ตระกูลหานโจมตีเข้าใส่ตระกูลถันไถ และฉวยโอกาสช่วยถันไถหงในยามวิกฤต เพื่อให้ได้มาซึ่งความไว้วางใจจากถันไถหง

‘ช่างเป็นแผนการที่ลึกซึ้ง! การใช้ประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ และเล่ห์กลที่เชื่อมโยงกันเป็นชั้น ๆ ถึงแม้ตระกูลหานจะถูกสังเวยจนล่มสลาย ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม’ ดังนั้น เฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมอยู่ในใจของเขา เนื่องจากแผนการของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นโหดเหี้ยมและลึกซึ้งเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น และจะยังไม่บอกแก่ถันไถหงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ก่อนจะได้รับการยืนยัน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีเจตนาคิดไม่ซื่อและถูกจับตามองจากศัตรูทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เฉินซีไม่เข้าใจ นั่นคือเหตุใดหวงฝู่ฉงหมิงถึงอยู่กับฝาแฝดคู่นี้ อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า หวงฝู่ฉงหมิงได้บรรลุข้อตกลงบางอย่างกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตแล้ว?

ทันใดนั้น ความคิดนับไม่ถ้วนได้แวบผ่านเข้ามาในจิตใจของเฉินซี ถึงแม้จะมีไม่มากและไม่เป็นระเบียบนัก แต่เขากลับแยกแยะความคิดเหล่านี้ได้อย่างเป็นระเบียบ นี่คือความแข็งแกร่งของศาสตร์แห่งการอนุมานเต๋าแห่งยันต์อักขระ ยกตัวอย่างเช่น คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ ซึ่งเป็นวิชากระบี่ที่ฝึกฝนได้ยากที่สุดในโลก ก็ถูกเขาค่อย ๆ อนุมาน ดังนั้น หากต้องการอนุมานถึงเหตุและผลของบางสิ่งจึงเป็นเรื่องง่ายดายไปโดยปริยาย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อศาสตร์แห่งการอนุมานประเภทนี้บรรลุถึงขีดสุดแล้ว ไม่เพียงแต่สามารถอนุมานถึงการเปลี่ยนแปลงในวัฏจักรของสวรรค์เท่านั้น ยังสามารถอนุมานถึงจิตใจ ความคิด ชะตากรรม ดวงชะตา และโชคชะตาของผู้คน ซึ่งทำให้สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงอันไร้ขอบเขตระหว่างสวรรค์ โลก และมนุษย์ได้

อย่างไรก็ตาม เฉินซียังห่างไกลจากระดับนี้มาก แม้แต่ผู้เป็นเซียนสวรรค์เองก็ยังไม่อาจบรรลุได้ และเท่าที่ทราบมา มีเพียงผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังแห่งยุคบรรพกาลเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจแก่นแท้ของมันได้อย่างถ่องแท้

“เหตุใดถึงมีเด็กที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำอยู่ด้วย?” หวงฝู่ฉงหมิงสังเกตเห็นเฉินซี และปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าหลินโม่เซวียนเสียอีก เขาขมวดคิ้วและตะคอกออกมาอย่างเย็นชา จึงทำให้กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวราวกับภูเขาและท้องทะเลของเขาถาโถมเข้าใส่เฉินซีอย่างดุเดือด

เฉินซีรู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทุกทางในทันที และดูเหมือนมันต้องการให้เขายอมศิโรราบ ทว่าดวงจิตแห่งเต๋าของเขาเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงรวบรวมสมาธิและจิตวิญญาณเพื่อต้านทานแรงกดดันที่มีต่อเขา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแรงกดดันจะมีมากมายสักเพียงใดก็ไม่อาจทำให้เฉินซีขยับเขยื้อน นอกจากนี้กลิ่นอายของเฉินซียังเสมือนกับพระภิกษุชราที่ทำสมาธิอย่างแผ่วเบา

แต่ในหัวใจของเขากลับโกรธเกรี้ยวจนสุดขีด และเจตนาฆ่าของเขาก็เพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว ‘คนผู้นี้ช่างหยิ่งยโสและไร้ยางอาย สักวันหนึ่งข้าจะทำให้มันต้องศิโรราบที่แทบเท้าข้าบ้าง!’

“องค์ชายหวงฝู่ คนผู้นี้เป็นผู้เยาว์ที่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับข้า และข้าขอรับรองว่า เขาจะไม่สร้างปัญหาในระหว่างการเดินทางครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น ข้าหวังว่าท่านจะกรุณาปล่อยเขาไป” เมื่อถันไถหงเห็นหวงฝู่ฉงหมิงกำลังคุกคามเฉินซีอย่างรุนแรง เขาจึงรีบอธิบายและออกหน้าแทนเฉินซี

“โอ้? ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้าเพื่อเห็นแก่หน้าผู้อาวุโสถันไถ” ท่าทางหวงฝู่ฉงหมิงผ่อนคลายลงในทันที และกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่อยู่รอบตัวเขาก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาก็ฟื้นคืนสู่ภาพลักษณ์ที่ทรงเกียรติและสง่าผ่าเผยอย่างเช่นเคย

หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อเขาตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้ว คนผู้นี้ไม่ได้หยิ่งยโสและไร้เหตุผลอย่างที่ได้เห็นภายนอก แต่กลับดูเหมือนแสร้งทำเป็นเช่นนั้นเพื่อต้องการทดสอบตัวเขา

นอกจากนี้ เฉินซียังสังเกตเห็นว่า เมื่อหวงฝู่ฉงหมิงปรากฏตัวขึ้น หลินโม่เซวียนกับเซียวหลิงเอ๋อร์ได้ยับยั้งตัวเองเป็นอย่างมาก และไม่พูดจาใด ๆ ราวกับว่าพวกเขาเกรงกลัวหวงฝู่ฉงหมิง

“ข้าได้ยินมาว่าขุมสมบัติของเฉียนหยวนนั้น ถูกทิ้งไว้โดยเซียนสวรรค์ที่ไร้ผู้ต้านเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ไม่เพียงแต่มีสมบัติวิเศษ และเม็ดยาจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ภายในนั้น มันอาจมีสมบัติอมตะในตำนานและโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่ถูกกลั่นโดยเซียนสวรรค์ แม้ว่าสมบัติอมตะนั้นอาจเป็นเพียงภาพมายา และการที่เราจะได้พวกมันมานั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น แต่โอสถทิพย์กำเนิดเต๋าเหล่านั้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่กลั่นขึ้นจากมนุษย์อย่างแท้จริง และหากผู้ใดโชคดีได้รับมันมาละก็ จะทำให้คนผู้นั้นเชี่ยวชาญเต๋าแห่งการรู้แจ้งประเภทหนึ่งได้ในทันที โอ้ มันช่างเป็นผลงานที่น่าอัศจรรย์ของมนุษย์ ที่ต้องการท้าทายกับสวรรค์อย่างแท้จริง ท่านผู้อาวุโสถันไถ ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าข่าวลือทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่” หวงฝู่ฉงหมิงถามอย่างสบาย ๆ

โอสถทิพย์กำเนิดเต๋า?!

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและข้อมูลบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขาทันที หากผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ที่ทรงพลังบางคนได้กลั่นความเข้าใจต่อเต๋าแห่งสวรรค์ให้กลายเป็นเม็ดยา ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ ถ้าเกิดมีผู้โชคดีได้รับยาเม็ดเหล่านี้ คนผู้นั้นจะสามารถเชี่ยวชาญเต๋าแห่งการรู้แจ้งได้ในเวลาอันสั้น และมันช่างมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม โอสถทิพย์กำเนิดเต๋าจะมีเพียงเต๋ารู้แจ้งอยู่หนึ่งประเภทเท่านั้น นอกจากนี้ มันยังต้องใช้แก่นโลหิตของเซียนสวรรค์ในการกลั่น ดังนั้นอาจถือได้ว่ามันมีค่ามหาศาล

ในโลกแห่งการบ่มเพาะในปัจจุบัน การปรากฏตัวของโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าทุกเม็ดจะทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ และมันก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ทุกคนต่างก็เฝ้าใฝ่ฝันถึง

ถันไถหงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข่าวลือนี้มีเค้ามูลอยู่จริง และไม่ควรเป็นเรื่องปั้นแต่ง”

หลังจากที่พวกเขาได้รับการยืนยันจากถันไถหง ไม่เพียงแต่หวงฝู่ฉงหมิงเท่านั้นที่เผยให้เห็นร่องรอยของความปรารถนาอันแรงกล้า แม้แต่หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ เถิงหัวจี และเถิงหัวซวี่ก็แสดงออกมาเช่นเดียวกัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท