บทที่ 210 ยึดครอง
บทที่ 210 ยึดครอง
หลังจากเผชิญกับการเข่นฆ่าอย่างทารุณไร้ความปราณี ฝูงสัตว์อสูรที่ยั้วเยี้ยเต็มท้องฟ้าก็เกิดความระส่ำระสายกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง เวลานี้พวกมันเหมือนกับเศษผ้าขี้ริ้วขาดวิ่นเต็มไปด้วยรูพรุนเป็นที่น่าสยดสยองนัก
จากนั้นก็ไม่มีสัตว์อสูรโผล่ออกจากพายุที่โหมกระหน่ำรอบข้างอีก สัตว์อสูรภายในซากปรักหักพังห้าธาตุก็ดูเหมือนจะถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด บัดนี้พวกมันไม่ใช่ภัยคุกคามต่อเหล่าผู้บ่มเพาะอีกต่อไป
เฟี้ยว! เฟี้ยว! เฟี้ยว!
เสียง ‘เฟี้ยว’ ดังมาจากท้องฟ้า จากนั้นกลุ่มผู้บ่มเพาะทะยานมาจากทุกทิศตรงเข้าล้อมกรอบเฉินซีอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มคนที่มา พวกที่นำหน้าคือชิงซิ่วอี้ หวงฝู่ชงหมิง หลินโม่เซวียน เซี่ยวหลิงเอ๋อร์…คนเหล่านี้เคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้า แต่ละคนทิ้งระยะห่างจากผู้บ่มเพาะที่ตามมาข้างหลังพอสมควร ถึงกระนั้นคนที่ตามมากลุ่มใหญ่ดูแล้วไม่ธรรมดาทั้งสิ้น พวกเขามีทั้งชายและหญิงล้วนรูปโฉมโนมพรรณสะดุดตาเข้าขั้นหล่อเหลา สวยงาม ลักษณะท่าทีเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้วยห็นได้จากรังสีน่าเกรงขามที่ปลดปล่อยออกมาภายนอก อย่างน้อย ๆ พวกเขาต้องมีพลังขอบเขตแกนทองคำ
คนทั้งกลุ่มทะยานวูบวาบเข้ามาทุกทิศทุกทางแต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา แววตาร้อนรุ่มด้วยความกระหายที่แผดเผาอยู่ภายในกันทุกคนไม่มากก็น้อย อย่างที่หลิงไป๋บอกนั่นแหละทุกคนมาด้วยเจตนาร้าย!
พวกมันคงเห็นว่าข้าสยบระเบียนแดนมรณะไม่ได้สินะ จึงคิดที่จะใช้โอกาสช่วงที่ข้ากำลังลำบากงั้นหรือ ฉับพลันนั้นเฉินซีก็มองความคิดของพวกเหล่านั้นออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นสีหน้าท่าทีที่แสดงออกค่อยเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที มือข้างที่กำระเบียนแดนมรณะกระชับแน่นเข้าขณะที่กัดฟันแน่นพร้อมผลักพลังทั้งหมดในกายระเบิดพลังรุนแรงทันที
โอม! โอม!
พลันระเบียนแดนมรณะชะงักหยุดกระพือพะเยิบพะยาบอยู่กลางอากาศ แต่ยังดิ้นรนหวังให้หลุดออกจากมือเฉินซีอย่างแรงกล้า เหมือนม้าป่าดื้อด้านที่พยศไม่เลิกรา จนคนต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามันจะไม่ทะยานหลุดมือไปได้ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เฉินซีหันไปใช้พลังจัดการกับคนที่เหลือไม่ถนัด
พูดอีกนัยหนึ่งคือที่เฉินซีวุ่นอยู่กับการจัดการระเบียนแดนมรณะทำให้ลดทอนความแข็งแกร่งของเขาไปเกือบหมด และเวลานี้ถ้าหากผู้บ่มเพาะอื่นรวมหัวกันจู่โจมเขาคนเดียว เป็นไปได้ว่าสถานการณ์ของเขาต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแนอน อีกทั้งเจ้าตัวเองแทบไม่เหลือพลังที่จะต้านทานอีกต่อไป!
ภายใต้สถานการณ์คับขันท่ามกลางอันตรายนี่เอง ในหัวใจของเฉินซีรับรู้ถึงภยันตรายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการณ์ ข้าควรทำอย่างไร หรือว่าข้าควรปล่อยให้ระเบียนแดนมรณะหลุดมือไปจริง ๆ แต่ถึงข้าจะปล่อยมันไป มันก็หนีไม่รอดเพราะจะถูกคนอื่นจับได้อยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าไม่ปล่อยข้าเองจะตกที่นั่งลำบาก…
“บ้าชิบ! ถ้าเจ้าได้ยินที่ข้าพูดก็เชื่อฟังข้าหน่อยสิวะ มิฉะนั้นต่อให้เจ้าหนีรอดจากข้า แต่อย่างหวังว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือของคนชั่วพวกนั้นไปได้! อีกอย่างข้ารู้นะว่าเจ้าต้องการเสริมพลังความแกร่งกล้าให้มากขึ้น ถ้าเจ้ายอมร่วมมือกับข้าฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ข้ารับรองว่าจะช่วยให้เจ้าได้ทุกอย่างที่ต้องการ!” สีหน้าของเฉินซีสงบแต่ภายนอกทว่าภายในใจร้อนรนขณะกำลังสื่อสารทางกับระเบียนแดนมรณะทางความคิด ยามนี้เขาต้องพยายามทุกวิถีทางขณะอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านท่ามกลางสถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ ราวกับเด็กที่ไม่ประสาและทำในสิ่งไร้สาระ ไม่นึกว่าจะได้ผลด้วยซ้ำคิดแค่ว่าต้องลองดูเท่านั้น
“เฉินเค่อ คงเห็นแล้วสินะว่าตอนนี้เจ้าถูกล้อมไว้หมดทุกด้านไม่ต่างจากสุนัขจนตรอก เร็วเข้า! ส่งของล้ำค่าของเจ้ามาแต่โดยดี แล้วข้าจะรับประกันความปลอดภัยให้!” ทันใดนั้นเสียงของคนคนหนึ่งพูดดังเข้าโสตประสาทของเฉินซี เป็นหวงฝู่ชงหมิงที่พุ่งวาบเข้ามาก่อนใคร
หวงฝู่ชงหมิงนั้นว่องไวอย่างแท้จริง ทักษะเก้าพญาอสรพิษแปลงมังกรที่เจ้าตัวบ่มเพาะพ่นกระแสลมขนาดมโหฬารออกมารอบตัว จากนั้นกระแสลมที่ว่าได้แปรสภาพเป็นอสรพิษซึ่งมีลูกนัยน์ตาประดุจหยกถึงเก้าตัว ลำตัวของพวกมันใหญ่โตเหมือนถังยักษ์ มีความยาวกว่า 100 จั้ง ขณะนั้นมันส่งเสียงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าแววตาที่มองมาทั้งเยือกเย็นและดุร้าย ทั้งเสียงหัวเราะแสนประหลาดและพ่นลมหายใจดังฟืดฟาดรุนแรง…พวกมันล้วนมีชีวิตขณะที่พุ่งทะลวงฟ้าจนแตกกระจายเป็นเสี่ยง ส่งให้ความรวดเร็วของหวงฝู่ชงหมิงยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดเหนือกว่าคนอื่นหลายเท่านัก
“ไอ้โง่ ยืนเฉยอยู่ทำไม อยากให้ข้าลงมืองั้นหรือ ส่งมา!” มองจากระยะไกลราว 40 จั้ง หวงฝู่ชงหมิงสังเกตเห็นว่าเฉินซียังนิ่งเฉย ทีทางไม่แยแสแม้สักน้อย ฝ่ายนั้นถึงกับเดือดดาลขณะพูดก็เอื้อมมือมาคว้าที่ว่างตรงหน้าอย่างแรง เก้าอสรพิษยักษ์คำรามดังสนั่นพร้อมกับพุ่งตัว พวกมันบิดตัวไปมากลางอากาศขณะที่อ้าปากกว้างอย่างน่ากลัวทะยานเข้าเฉินซีหมายจะขย้ำให้จมเขี้ยว
พวกมันจู่โจมโดยไม่รีรอหรือลังเลแม้แต่น้อย หวงฝู่ชงหมิงเป็นคนใจคอแน่วแน่ทว่าโหดร้าย สมแล้วกับสถานะองค์ชายของเขา
“ฮึ่ม! เจ้าอยากจะจับเขางั้นหรือ ขออนุญาตนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของข้าหรือยัง” เมื่อหวงฝู่ชงหมิงทำท่าจะลงมือ ทันใดนั้นเรือนร่างอ่อนโยนของใครคนหนึ่งทะยานวูบเข้ามา ร่างนั้นบางเบาดั่งกลุ่มควันและสายหมอก ขณะที่ปลายแขนเสื้อโบกสะบัดตามแรงลม มองดูราวกับเทพธิดานางฟ้ากำลังเหินทะยานอยู่เหนือคลื่นลมทะเล สิ้นเสียงพูดร่างนั้นได้ทะยานมาอยู่ที่ด้านข้างเฉินซีแล้ว ที่แท้นางคือชิงซิ่วอี้…เซียนสวรรค์อวตารแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์นั่นเอง
เปรี้ยง!
ทันทีที่ออกมาปรากฏตัว นางใช้มือขาวเรียบบางกดลงเบา ๆ ที่อากาศว่างเปล่าตรงหน้าส่งพลังถล่มทลายระเบิดออกทันที จากนั้นอสรพิษยักษ์ทั้งเก้าซึ่งเฉินซีเห็นอยู่ว่าเข้ามาใกล้เต็มทีก่อนหน้ากลับถูกบดขยี้จนแหลกสลายไปในความว่างเปล่าด้วยพลังถล่มทำลายในช่องอากาศที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำลายการจู่โจมของหวงฝู่ชงหมิงลงอย่างง่ายดาย!
สตรีผู้นี้น่ากลัวเหลือเกิน! หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ ด้วยเวลานั้นเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ยากหยั่งถึงของชิงซิ่วอี้
“ชิงซิ่วอี้…คิดดีแล้วหรือจึงได้คุกคามตำหนักจ้าวปัญญาของข้า” สีหน้าของหวงฝู่ชงหมิงดำคล้ำเคร่งเครียดพลันก้าวออกไปข้างหน้า อำนาจบารมีแห่งราชันพื้นพิภพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหนักแน่นและลึกล้ำแผ่วาบออกจากกาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นชิงซิ่วอี้ เขาจึงไม่คิดที่จะออมมือเช่นกัน
“คุกคามตำหนักจ้าวปัญญางั้นหรือ คิดว่าสูงส่งมากสินะ ตำหนักจ้าวปัญญามีถึง 13 องค์ชาย เจ้ามันฝีมือชั้นธรรมดาที่สุดคนหนึ่งในหมู่พวกเขาเท่านั้น ถึงแม้หวงฝู่ฉางเทียน มาอยู่ตรงนี้เขายังไม่กล้าเอ่ยวาจาอย่างนี้กับข้า” เสียงของชิงซิ่วอี้กังวานใสราวกับธารน้ำตกในป่าทึบที่มืดมิด ด้วยมีเสน่ห์ชวนให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มทำให้จิตใจสงบลงได้อย่างน่าประหลาด ประกอบกับรังสีองอาจและสูงส่งของนาง ทำให้ดูราวกับเทพธิดาจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ ที่มองได้แต่เพียงไกล ๆ หากมิอาจดูแคลนกระนั้น
วาจาและท่าทีของหวงฝู่ชงหมิงส่อเค้าลางไม่สู้ดีเสียแล้ว หวงฝู่ฉางเทียนซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของเขา คนผู้นั้นบรรลุขอบเขตแกนทองคำขั้นสมบูรณ์มานานกว่า 10 ปี เสียงเขาคำรามอย่างทรงอำนาจดังมาจากฟากฟ้าขณะที่มองลงมายังพื้นพิภพเบื้องล่าง แม้แต่เชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ซ่งยังยกให้เขาเป็นยอดฝีมือที่น่ายกย่องในฐานะผู้สืบทอดตำหนักจ้าวปัญญาคนต่อไป และดำรงตำแหน่งเป็นราชครูคอยชี้แนะทักษะการต่อสู้ให้แก่จักรพรรดิชูคนปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นเกียรติยศอย่างหาที่สุดมิได้ ดังนั้นเขาจึงเปรียบได้ดั่งดวงอาทิตย์ที่ลอยเด่นกลางเวหากระนั้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนเป็นพี่ชายใหญ่ หวงฝู่ชงหมิงทำได้เพียงก้มหน้าพลางกล่าววาจาแสดงออกถึงความภักดีเท่านั้น แต่เมื่อเปรียบเทียบปฏิกิริยาของชิงซิ่วอี้ที่มีต่อหวงฝู่ฉางเทียนกับตนเอง เห็นได้ชัดว่านางหาได้สนใจไม่ หวงฝู่ชงหมิงลอบชำเลืองด้วยสายตาเคร่งเครียด ซึ่งแน่นอนเขาย่อมรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น
ในขณะที่ชิงซิ่วอี้กล่าวดังนั้น คนหลายคนก็รุดเข้ามาพอดี
หลินโม่เซวียน เซี่ยวหลิงเอ๋อร์และถันไถหงตามมาประกบด้านหลังหวงฝู่ชงหมิง ขณะเดียวกันเผยชงและเซวี่ยเฉิน เข้าไปอยู่ข้างหลังของชิงซิ่วอี้ กลุ่มคนอื่น ๆ ราว 2 ถึง 5 คนหยุดล้อมเฉินซีอยู่ที่มุมอื่น สายตาที่พวกเขาจ้องมองมายังชายหนุ่มเต็มไปด้วยความกระหายใคร่ได้ แต่เมื่อยังมีการเผชิญหน้าระหว่างกัน ทำให้บรรยากาศตึงเครียดและเงียบงันไปทันที
ไม่มีใครกล้าลงมือก่อนใคร ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครยอมถอนตัว จึงเปิดโอกาสให้เฉินซีพอที่จะหายใจหายคอได้บ้าง
ครืนนนน!
ตอนนี้ในบริเวณโดยรอบปราการพายุโหมกระหน่ำซัดซากปรักหักพังห้าธาตุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนั้นดูเหมือนจะสูญเสียแหล่งพลังและเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงก่อนที่จะพังโครม
แสงสว่างแผดเผาอย่างไร้จุดสิ้นสุด ขณะที่ภายใต้แสงสว่างซากปรักหักพังห้าธาตุเสมือนภาพลวงตาเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับพราวพรายก่อนที่จะหายวับไปในท้องฟ้า!
ในที่สุดพายุมรสุมห้าธาตุและซากปรักหักพังห้าธาตุก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาทุกคนที่กำลังจับจ้องอยู่ ณ ที่นั้นราวกับระเหยเป็นไอไปเสียเฉย ๆ