บทที่ 215 แหล่งน้ำธรรมชาติ
บทที่ 215 แหล่งน้ำธรรมชาติ
ส่วนลึกของห้วงทะเลทรายมรณะ เป็นดั่งอีกโลกหนึ่งที่ยังไม่มีผู้ใดเคยย่างกรายเข้าไป มันลึกลับ อันตราย และกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต ทำให้ไม่มีผู้ใดรู้ถึงขนาดที่แท้จริงของมันได้อย่างชัดเจน
แหล่งน้ำธรรมชาตินั้นมีอยู่ในทะเลทรายทุกหนทุกแห่ง แต่แหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ตรงเบื้องหน้าเขาเป็นเหมือนป่าโบราณที่เต็มไปด้วยดินสีดำที่อุดมสมบูรณ์และต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านไปยังท้องฟ้า เถาวัลย์หนาเหมือนถังไม้ ซึ่งเลื้อยพันรอบยอดไม้เสมือนงูเหลือมจำนวนมากที่เกาะก่ายอยู่ตามต้นไม้
ซึ่งมันแตกต่างจากป่าทั่วไปโดยสิ้นเชิง พืชที่เจริญเติบโตอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมเทาและมีรูปร่างคล้ายร่ม ซึ่งดูเหมือนกับเห็ดขนาดใหญ่ที่บานอย่างเต็มที่ มีใบไม้เพียงไม่กี่ใบกระจายอยู่บนต้นไม้เท่านั้น นอกจากนี้ พวกมันก็เปล่งแสงอันอ่อนโยนออกมาปกคลุมโดยรอบ
สภาพอากาศในสถานที่นี้ค่อนข้างชื้นและร้อนอบอ้าว แหล่งน้ำธรรมชาตินี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ และหมอกพิษหลากสีสัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตก็ปรากฏให้เห็นภายในความงามของพวกมัน
หากขุดดินสีดำบนพื้นและทลายชั้นหินที่หนาถึงยี่สิบสี่ชุ่นให้แตกออก ก็จะพบแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ เช่น ผลึกหมึก, ศิลาเงินม่วง, เหล็กกล้าสุริยัน ผลึกคลื่นมรกต, ทองคำสายรุ้ง และสมบัติอื่น ๆ อีกมากมายที่หาได้ยากในโลกภายนอก ทั้งหมดนี้เป็นวัสดุที่ยอดเยี่ยมสำหรับการขัดเกลากระบี่บินและสมบัติวิเศษ นอกจากนี้ พวกมันยังสามารถช่วยในการบ่มเพาะได้อีกด้วย
แต่แหล่งน้ำธรรมชาติแห่งนี้ดูราวกับว่ามันถูกแยกออกจากโลก และแทบไม่มีร่องรอยของมนุษย์ปรากฏอยู่ภายในนั้นเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ภายในป่ารบทึบที่เติบโตด้วยพืชแปลก ๆ นี้ กลับมีสัตว์มีพิษและสัตว์อสูรนานาชนิดพเนจรไปมา นอกจากนี้ ยังเต็มไปด้วยหมอกพิษและอากาศที่ปนเปื้อน หากมีใครหลงเข้าไปภายในป่านี้ คนผู้นั้นจะต้องตายโดยไม่เหลือแม้แต่ซากศพหรือกระดูกไว้เลยสักท่อน
ตูม!
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้กลับมีคนทำลายความเงียบสงบของป่าแห่งนี้ เนื่องจากร่างสีดำร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าและตกลงบนผืนดินสีดำที่ชื้นแฉะ อ่อนนุ่มโดยตรง จึงทำให้กองดินปลิวว่อนไปทุกทิศทาง
คนผู้นี้อยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง เขานอนแผ่หลาอยู่ที่นั่นโดยไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เขามีใบหน้าหล่อเหลาที่มีโครงร่างที่มั่นคง แต่ในขณะนี้ สีหน้าของเขากัยขาวซีดราวกับแผ่นกระดาษ และดวงตาของเขาก็ปิดสนิทโดยสิ้นเชิง
ชู่ว!
ทันใดนั้น คนตัวเล็กในชุดสีขาวที่มีความสูงเพียงสี่ชุ่น บินออกมาและมองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงค่อยจ้องมองไปยังชายหนุ่มบนพื้นดินหลังจากที่เขาสังเกตเห็นว่าไม่มีอันตรายใด ๆ อยู่ในรอบข้าง ด้วยการตรวจสอบเพียงเล็กน้อย เขาก็พบว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายและมีเพียงลมปราณปั่นป่วนเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ผลข้างเคียงจากการใช้ร่างกายของเจ้าควบคุมเจตจำนงของตัวตนที่ยิ่งใหญ่นั้นยอดเยี่ยมมาก ว่ากันว่าผู้บ่มเพาะที่มีร่างกายค่อนข้างอ่อนแออาจทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและ รากฐานแห่งเต๋าได้รับความเสียหาย โชคดีที่การบ่มเพาะทักษะแปรสภาพร่างกายของเฉินซี นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดังนั้น เขาน่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาหลังผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง หลิงไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิที่เบื้องหน้าของเฉินซี และสายตาของเขากวาดไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังในขณะที่เขาคอยคุ้มกันให้กับเฉินซี
สภาพของเฉินซีนั้นย่ำแย่มาก ชั่วขณะหนึ่ง ร่างกายของเขาเย็นเฉียบไปถึงกระดูก ราวกับว่าเขาตกลงไปในบ่อน้ำแข็งที่แสนเยือกเย็น แต่ครู่ต่อมา อุณหภูมิในร่างของเขากับร้อนแรงดั่งอยู่ในเตาหลอม ทำให้สติของเขาแตกกระเจิงและสับสนอลหม่าน
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้สีแดงเข้มเหมือนเลือด และโลกรอบ ๆ ก็เป็นสีแดงเข้มเช่นกัน ดอกปารามิตาจำนวนมากที่แสดงถึงความหายนะ การพลัดพราก และความงดงาม ดูเหมือนจะส่งเสียงคร่ำครวญอย่างพร้อมเพรียงและปรารถนาที่จะดึงดูดดวงวิญญาณของเขา
“ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรยเป็นวัฏจักรหมุนวนไป แต่ใบและดอกกลับไม่เคยได้บรรจบกัน เมื่อสิ่งหนึ่งนำมาซึ่งจุดจบของอีกสิ่ง เช่นเดียวกับคู่รักที่ข้ามดวงดาวและนำทางดวงวิญญาณข้ามไปยังยมโลกที่อยู่อีกฝาก นี่คือ เส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟแห่งปารมิตา เพื่อชักนำวิญญาณของสรรพสัตว์ในสวรรค์และพิภพให้สงบลง ยมโลกจะรักษาเส้นทางทั้งหกของการเวียนว่ายตายเกิด…” ร่องรอยของการรู้แจ้งได่ก่อขึ้นในใจของเฉินซี ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความคิดมากมายที่หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสำนึกของเขา และความรู้มากมายเกี่ยวกับเต๋ารู้แจ้งแห่งปารามิตาก็หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของเขา…
กาลเวลาได้หมุนเวียนไปอย่างไม่หยุดหย่อน เฉินซีได้เริ่มเคลื่อนไหวภายในทะเลแห่งดอกปารมิตาที่เป็นดั่งเปลวไฟ และทุกแห่งหนที่เขาก้าวผ่านไป ดอกไม้จำนวนมากมายจะแกว่งไกวไปมาราวกับว่าพวกมันกำลังแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิสูงสุดอย่างจริงใจ
ครืนนนน!
คลื่นสีดำสนิทซัดสาดขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ในขณะที่ท้องทะเลอันมืดมิดที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา กระแสน้ำทะเลเริ่มจะที่เชี่ยวกราก ซึ่งมีพลังในการปราบปรามที่หาที่เปรียบมิได้
ทะเลแห่งความทุกข์นั้นไร้ขอบเขต หากเป็นผู้ที่มีกรรม เมื่อหันหลังกลับก็จะไม่พบฝั่ง เพราะมันจะฉุดลากผู้กระทำความชั่วและวิญญาณชั่วร้ายไปสู่การลืมเลือน ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าหรือพระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม หากเจ้าได้กระทำความชั่ว เจ้าก็ควรถูกฝังอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์เพื่อชำระล้างบาปของเจ้า เพื่อรักษาเส้นทางทั้งหกของการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งนี่คือ เต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน ทะเลแห่งความทุกข์อันไร้ขอบเขต! เฉินซียืนอยู่เหนือทะเลแห่งความทุกข์ เสื้อผ้าและเส้นผมปลิวไสวไปตามสายลม ดวงตาของเขากะพริบราวกับว่าเขาเป็นจ้าวแห่งสังสารวัฏ ขณะที่เขาท่องผ่านคลื่นไปยังทุกสารทิศ
ทิวทัศน์ที่เบื้องหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันเป็นฉากในตอนพลบค่ำ ที่เหล่าทวยเทพกำลังต่อสู้ อสูรกำลังทำสงคราม เลือดที่แปดเปื้อนไปทั่วทั้งพิภพราวกับพลังของพวกมันกำลังสั่นสะเทือนจักรวาล แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถหนีการมาถึงของยามสนธยาได้ พวกเขาทั้งหมดเปรียบเสมือนตะวันลับขอบฟ้า ซึ่งไร้พลังที่จะหวนคืนสู่สวรรค์ และทำได้เพียงแตกดับไปพร้อมกับความเกลียดชังในจิตใจ เมื่อความมืดมิดย่างกรายเข้ามา
ยามสนธยา? จุดจบ? เฉินซี กำลังจะครุ่นคิดอย่างระมัดระวังและพยายามเข้าใจเต๋าที่อยู่ในฉากนี้ ทันใดนั้น เกิดเสียงที่เยือกเย็นและเศร้าหมองก้องกังวาลอยู่ในหูของเขา “เต๋านี้ได้ท้าทายสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น เทพเจ้าจากสวรรค์และพิภพก็ไม่ยอมรับมัน ดังนั้นจึงต้องทนทุกข์กับการกล่าวร้ายของภพจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสวรรค์ เจ้าหนูน้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า จะเป็นการดีกว่า หากเจ้าจะละเว้นจากการทำความเข้าใจจากมันชั่วคราว จงอย่าลืม จงอย่าลืม…”
“หลังจากผ่านการหลับใหลมาอย่างยาวนาน ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้พบพานกับผู้สืบทอดของสหายเก่า หลังจากเรื่องนี้ ข้าจะหายไปจากสวรรค์และพิภพเสียที ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เสียงหัวเราะที่เยือกเย็นและเศร้าหมอง ซึ่งดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความโกรธและความเศร้าอย่างไร้ขอบเขตต่อภพมากมายในสวรรค์ แต่ในวาระสุดท้าย เสียงนั้นกับดูเหมือนจะเป็นอิสระจากความรู้สึกดังกล่าว และมันก็เฉยเมยเหมือนสายน้ำที่กลับคืนสู่ความสงบนิรันดรและเงียบงันไปตลอดกาล
เฉินซีตกตะลึง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ท่ามกลางป่า อากาศร้อนชื้นและอบอ้าวเผยให้เห็นกลิ่นหอมที่ชัดเจนของพืชพรรณ ซึ่งมันได้พุ่งเข้าสู่จมูกของเขา ทำให้จิตใจที่สับสบวุ่นวายของเขาหวนคืนสู่ความสงบนิ่ง แต่ก่อนที่เขาจะตอบสนองต่อสิ่งใด ๆ ร่างกายของเขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงเสมือนถูกกระแสน้ำที่ซัดสาดไปทุกส่วน
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส!
ทั่วทั้งร่างกายของเขารู้สึกราวกับถูกใบมีดเชือดเฉือนอย่างรุนแรง มันเจ็บปวดจนถึงขั้นที่มีเพียงต้องตายจึงจะหลุดพ้น นอกจากนี้ เส้นลมปราณและจุดชีพจรต่าง ๆ ในร่างกายของเขา ดูเหมือนพวกมันจะถูกกัดกินโดยหนอนตัวเล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้เฉินซีรู้สึกเจ็บปวดและทรมานเสมือนกับวถูกใบมีดนับเชือดเฉือน
เขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นอยู่ ในเวลาเดียวกันกับที่เจตจำนงของเสียงสูงวัยกำลังควบคุมร่างกายของเขา พลังงานมหาศาลที่เสียงสูงวัยนำพามานั้นสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของเขาอย่างไม่อาจต้านทานได้ และผลข้างเคียงของมันก็กำลังแตกสลายในตอนนี้
เฉินซีพยายามเป็นอย่างมากที่จะประคับประคองสติ เขาสังเกตเห็นว่าปราณแท้ภายในตำหนักอินทนิลของเขาได้แห้งเหือดไปหมดสิ้น อีกทั้งเส้นลมปราณในร่างกายของเขาก็เสียหายจนอ่อนนิ่มเหมือนสำลี และปราณจ้าววิญญาณภายในเนื้อและกระดูกของเขาดูเหมือนว่าจะถูกรีดออก ทำให้เนื้อและกระดูกของเขามัวหมองและเหี่ยวเฉาลง เสมือนกับพลังชีวิตทั้งหมดของเขาได้แตกสลายไปอย่างมากมาย
แม้แต่ตัวเฉินซีเองก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จะต้องใช้เวลานานสักเพียงใด ก่อนที่ร่างกายของข้าจะซ่อมแซมและฟื้นฟูสู่สภาพปกติ? เฉินซีกัดฟันแน่นขณะที่พยายามต้านทานความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกายของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่าตัวเองไม่สามารถแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นมาแม้แต่นิ้วเดียว
“เฉินซี เจ้าได้สติแล้วหรือ” ในขณะเดียวกัน หลิงไป๋สังเกตเห็นว่าเฉินซีตื่นขึ้นมาแล้ว และร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว เราอยู่ที่ไหนกันหรือ?” เสียงที่ดังออกมาจากปากของเฉินซีเสมือนกับใบมีดที่กำลังเลื่อยไม้ และมันแหบพร่าจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่คาดว่ามันน่าจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติภายในห้วงทะเลทรายมรณะ” หลิงไป๋กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับส่ายศรีษะ“อย่าเพิ่งสนใจเรื่องพวกนี้ก่อน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นบ้าง? เจ้าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการฟื้นฟู?”
“คิดว่าจะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก” เฉินซีตรวจสอบความเสียหายในร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง และกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “ข้าคงไม่สามารถต่อสู้ได้อีกอย่างน้อยสิบถึงสิบห้าวัน และทำให้ข้าอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำ”
หลิงไป๋รู้สึกตกตะลึงและกำลังจะกล่าวออกไป แต่ทันใดนั้น ปรากฏเสียงแผ่วเบาและไม่แยแสค่อย ๆ ดังขึ้นจากท้องฟ้าเหนือป่า “อย่างที่ข้าคาดไว้ ตอนนี้เจ้าไม่มีตราวิญญาณของตัวตนที่ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว และได้กลายเป็นคนพิการ”