บทที่ 219 กลิ่นหอมอันสดชื่นและกลมกล่อม
บทที่ 219 กลิ่นหอมอันสดชื่นและกลมกล่อม
พลังทำลายล้างที่เสมือนกับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีนั้น มาจากการสำแดงพลังของยันต์หยกเซียนปฐพีนี้ มันสามารถทำให้จักรวาลสั่นสะท้าน อวกาศแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ และบดขยี้ผู้บ่มเพาะทุกคนที่มีฐานการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตเซียนปฐพี
“เจ้าคิดหนีหรือ?” เงาร่างที่สวมเสื้อคลุมสีดำหรูหราตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่แยแส จากนั้นมือของมันก็ประสานเข้าหากันเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังถือลูกบอล และแรงดูดที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ถาโถมออกไป ทำให้บรรดาต้นไม้และหินก้อนใหญ่บนพื้นไม่สามารถต้านทานจากการถูกดูดขึ้นไปยังอากาศ เฉินซีสังเกตเห็นว่าพื้นดินในบริเวณรอบ ๆ เขาถูกดูดขึ้นไปและแตกออกจากกันก่อนที่จะลอยขึ้นสู่มือเงาร่างนั้น
ภายใต้พลังของฝ่ามือคู่นี้ที่ดึงดูดทุกสิ่งภายในโลก ประกายแสงสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วไปยังทุกทิศทุกทาง กลับถูกแรงดูดที่ไร้รูปร่างคว้าจับไว้ในทันที ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไร้ประโยชน์ และค่อย ๆ ถูกลากดึงเข้าหามือขนาดใหญ่แทน
ปัง
ฝ่ามือของร่างที่สวมชุดสีดำค่อย ๆ ดิ่งลงไปขณะที่มันฟาดออกไป จังหวะของการเปลี่ยนแปลงระหว่างการดูดและการฟาดสอดคล้องกันอย่างยอดเยี่ยม ทำให้แสงสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ดูเหมือนกับพวกมันกำลังเคลื่อนตัวไปปะทะกับมือขนาดใหญ่
“คิดที่จะทำลายล้างข้าอย่างหมดจดหรือ? ฝันไปเถอะ!” เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น หนึ่งในแสงสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนดวงหนึ่งก็ระเบิดออกไปอย่างโครมครามอีกครั้ง และมันก็พยายามดิ้นรนให้พ้นจากแรงดูดนี้อย่างหวุดหวิดก่อนที่จะทะยานออกไป
และทิศทางที่มันบินออกไปนั้น มุ่งตรงไปยังเฉินซี!
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนอง แสงสีเลือดนี้ได้เปลี่ยนร่างเป็นฟ่านอวิ๋นหลานที่ปกปิดใบหน้าในชุดคลุมสีดำอย่างรวดเร็ว นางยกมือขึ้นเพื่อยกเฉินซีซึ่งนอนอยู่บนพื้นขึ้น ก่อนที่จะถีบปลายเท้าของนางไปยังพื้น และสมบัติวิเศษวงล้อโลหิตก็พุ่งเข้ามาใต้เท้าของนาง ก่อนที่จะบินอย่างรวดเร็วไปยังส่วนลึกของป่า ความเร็วของนางรวดเร็วจนเกินขอบเขตของความเร็วเสียงไปแล้ว
ครืน!
เมื่อ ฟ่านอวิ๋นหลานทำสิ่งนี้เสร็จ ฝ่ามือของเงาร่างในชุดคลุมสีดำที่หรูหรา ได้กดลงบนพื้นอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดหลุมขนาดมหึมาซึ่งขยายออกไปถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้งบนพื้นทันที หลุมนั้นไร้ก้นบึ้งราวกับว่ามันเป็นเหวที่ก่อตัวขึ้นเองตามธรรมชาติ และมันก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ชิงซิ่วอี้เจ้ากล้าทำร้ายข้าจริง ๆ! ฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วสักวันข้าจะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน!” เสียงของ ฟ่านอวิ๋นหลานลอยออกมาจากส่วนลึกอันไกลโพ้นของป่าทึบ และมันเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังอย่างลึกล้ำ
ชิงซิ่วอี้ขมวดคิ้วขณะที่มองไปที่ส่วนลึกของป่า แม้แต่ยันต์หยกเซียนปฐพีก็ยังไม่สามารถปลิดชีวิตของหญิงสาวผู้ชั่วร้ายคนนี้ได้ และมันทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ
แต่ร่องรอยของความประหลาดใจกลับส่องประกายเพียงแวบเดียวก่อนที่มันจะหายไป นางไม่แม้แต่จะเหลือบมองภาพในชุดสีดำหรูหรากลางเวหาที่ค่อย ๆ อ่อนแรงลง จนกระทั่งหายไป เพราะใช้พลังงานจนหมดสิ้น และปลายเท้าของนางแตะพื้นก่อนที่ร่างของนางจะพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของป่าเหมือนสายฟ้าแลบ
ในใจของชิงซิ่วอี้นั้น การใช้ยันต์หยกเซียนปฐพีนั้นไม่มีอะไรให้น่าเสียดาย และมันสมควรแล้วตราบใดที่ฟ่านอวิ๋นหลานบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นนางจึงต้องไล่ตามพวกเขา เพื่อที่จะสามารถฆ่าฟ่านอวิ๋นหลานได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเฉินซียังอยู่ในเงื้อมมือของฟ่านอวิ๋นหลาน และนางจะไม่ยอมให้ใครมาฉวยโอกาสจากเหยื่อของนางอย่างแน่นอน ตราบใดที่นางสามารถฆ่าฟ่านอวิ๋นหลาน และแย่งชิงสมบัติต่าง ๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซี มูลค่าที่จะได้รับกลับมานั้น ก็จะมากมายมหาศมากจนเกินกว่ามูลค่าของยันต์หยกเซียนปฐพีเพียงแผ่นเดียว ดังนั้นนางจึงสามารถแยกแยะเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน
ชู่ว!
ในเวลาไม่นาน ร่างของนางก็หายลับเข้าไปภายในส่วนลึกของป่าแล้ว
…
ป่าแห่งนี้เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่กว้างใหญ่ภายในส่วนลึกของห้วงทะเลทรายมรณะ อากาศร้อนชื้นของป่ามีกลิ่นอายของความเน่าเปื่อยปะปนอยู่ภายใน และกลิ่นอายนี้ได้หมักหมมไปทั่วทั้งป่า
ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบสองจั้ง สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในป่าแห่งนี้ เถาวัลย์และกิ่งก้านของมันหนาพอ ๆ กับถังไม้ นอกจากนี้ พวกมันล้วนเลื้อยเลาะขึ้นสู่ยอดไม้ เพื่อบดบังแสงแดดที่แผดเผาลงมาจากท้องฟ้าไปจนหมดสิ้น ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ตกอยู่ในความมืดมืดและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของป่าแห่งนี้ คือมันถูกปกคลุมหนาแน่นด้วยหมอกควันพิษหลากสีสันที่เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายสุดแสนอันตราย จนถึงขั้นทำให้ใจสั่นด้วยความกลัว
ชู่ว!
ร่างของเฉินซีถูกอุ้มไว้ในมือของฟ่านอวิ๋นหลาน ในขณะที่นางบินอย่างรวดเร็วไปยังส่วนลึกของป่า
เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามดิ้นรนต่อไปและคอยสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง เพื่อที่หวังว่าจะสามารถพบโอกาสรอดชีวิตเพียงเล็กน้อยในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้
การสังเกตนี้กลับทำให้เขาต้องแอบตกตะลึงในทันที เพราะตลอดทางที่ผ่านมา กลับพบโครงกระดูกที่น่ากลัวมากมาย บางตัวสวมชุดเกราะขาดรุ่งริ่ง บ้างก็เหลือเพียงครึ่งตัว บ้างก็สูงเกินสิบสองจั้งหรือใหญ่โตเหมือนภูเขา บ้างก็เสียศีรษะ บ้างก็ถูกแทงด้วยอาวุธนานาชนิด เช่น หอก ขวานใหญ่ ดาบบิน และแม้แต่สายไข่มุกสีดำขนาดกำปั้น โครงกระดูกนี้ถูกเจาะด้วยอาวุธมากมาย และสภาพการตายที่น่าสยดสยองของเขา ทำให้เฉินซีไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป
ทั้งหมดนี้เป็นโครงกระดูกของสัตว์อสูร!
เฉินซีจะคาดเดาไม่ผิดอย่างแน่นอน แม้ว่าศพจำนวนมากเหล่านั้นจะมีรูปร่างแปลกประหลาดพิสดาร แต่ก็ไม่แตกต่างจากศพของมนุษย์มากนัก ดูเหมือนว่าจะเคยเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เขย่าสวรรค์และพิภพครั้งหนึ่งภายในป่าแห่งนี้ และสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขามจำนวนนับไม่ถ้วนได้ล้มตายลงที่นี่
“หรือว่าสถานที่นี้จะมีลักษณะเช่นเดียวกับซากปรักหักพังห้าธาตุ และเป็นสนามรบของการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างอสูรและเทพเจ้าที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน?” เฉินซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็วและตั้งใจจะถามหลิงไป๋ แต่ทันใดนั้น เขากลับพบว่าหลิงไป๋ไม่ได้ติดตามเขามาด้วย ทำให้เขาตกตะลึงอยู่ในใจทันทีและมองไปรอบ ๆ ตัวเขา แต่ก็ไม่พบหลิงไป๋อยู่ดี!
หลิงไป๋เห็นข้าถูกพาตัวไป เขาจะต้องไล่ตามมาแน่ บางทีตอนนี้เขาอาจจะรีบไล่ตามมาอยู่ก็เป็นได้ ในขณะนี้ เฉินซีได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
ความเร็วของฟ่านอวิ๋นหลานนั้นรวดเร็วมหาศาลและดูเหมือนนางจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้นางพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มที่โดยไม่คิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาทะยานลึกเข้าไปในป่า ความเร็วของนางกลับยิ่งเร็วยิ่งขึ้น จนเหมือนประกายแสงที่ลอดผ่านป่า กระแสลมที่เย็นยะเยือกซึ่งเกิดจากความเร็วของนางนั้น เหมือนกับใบมีดที่เฉือดเฉือนดวงตาของเฉินซีจนปวดแสบ และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะหลับตาลง
ฮืม? เฉินซีสูดลมหายใจเข้าไป ซึ่งดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมอันสดชื่นและกลมกล่อมที่เหมือนกับสุรารสเลิศ แม้ว่ากลิ่นหอมจะจางหายไปจนแทบไม่มีแล้ว แต่มันก็ยังทำให้กระดูกในร่างกายของเขารู้สึกอ่อนระทวยและมันก็เหมือนกับมือเล็ก ๆ ที่เย้าหยอกกำลังเกาหัวใจของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกแสบร้อนที่ไม่อาจระงับได้ โผล่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ
เขาถูกอุ้มไว้ในมือของฟ่านอวิ๋นหลาน และในขณะที่พวกเขากำลังทะยาน ร่างกายของเขาได้สัมผัสกับร่างของฟ่านอวิ๋นหลานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในขณะนี้ เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เอวที่บางและเรียวเล็กของฟ่านอวิ๋นหลานนั้นอ่อนนุ่มถึงเพียงใด ทำให้เขาไม่ปรารถนาต่อสิ่งใดมากไปกว่าการฝังหัวของเขาไว้ในนั้น และลิ้มรสความมหัศจรรย์ของพวกมันอย่างสุดหัวใจ
“ไม่ได้การ! เหตุใดข้าคิดถึงสิ่งเหล่านี้ในเวลาเช่นนี้?” เฉินซีตกตะลึงในหัวใจของเขาทันที และเขาก็ได้สติจากความคิดลามกเหล่านี้ เขารู้สึกอย่างครุมเคลือว่า ต้นเหตุต้องมาจากกลิ่นหอมที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ และดูเหมือนว่ามันจะมีพลังวิเศษที่ปลุกเร้าความคิดตัณหาในใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจจนถูกตัณหาควบคุมโดยมิรู้ตัว
เฉินซีลืมตาขึ้น ทันใดนั้น ก็เห็นกลุ่มหมอกสีฟ้าขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วอย่างไร้ขอบเขต และ ทำให้มองเห็นพืชและดอกไม้ในได้เพียงลาง ๆ เสมือนอยู่ในความฝันหรือภาพลวงตา และมันช่างดูคล้ายกับแดนสุขาวดีของเหล่าเซียน
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้มันมากขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นหอมอันสดชื่นและกลมกล่อมก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่มันเหมือนกับกลิ่นของสุราชั้นเลิศ แม้ว่าเฉินซีจะหยุดสูดลมหายใจเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงคลื่นแห่งความอ่อนแอและความมึนงงจากจิตวิญญาณของเขา และดูเหมือนเขาจะจมดิ่งลงไปในมหาสมุทรอันไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยสุรารสเลิศ!
ฟ่านอวิ๋นหลานดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน แต่นางลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในหมอกสีฟ้าที่ล่องลอยไปรอบ ๆ ป่าเหมือนทะเลเมฆ
ปัง
เฉินซีรู้สึกว่าวิญญาณของเขากำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่าเขาได้เข้าสู่อีกมิติหนึ่ง