บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 220 ท่วงทำนองที่เล้าโลม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 220 ท่วงทำนองที่เล้าโลม

บทที่ 220 ท่วงทำนองที่เล้าโลม

หมอกสีฟ้าหนาทึบจนเสมือนกับน้ำผึ้งที่เหนียวข้น ทันทีที่พวกเขาเข้าไปภายในหมอก ฟ่านอวิ๋นหลานก็รู้สึกเหมือนติดอยู่ในบ่อทรายดูด ไม่ว่านางจะใช้พละกำลังสักเท่าใด นางก็ไม่อาจสลายหมอกสีฟ้าที่อยู่รอบ ๆ ตัวนางได้

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? แม้ว่าข้าจะเหลือพลังเพียงแค่หนึ่งส่วน แต่เหตุใดข้าถึงไม่อาจสลายหมอกเหล่านี้?” หัวใจของฟ่านอวิ๋นหลานบีบเค้นยิ่งขึ้น เมื่อนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

หมอกที่อยู่โดยรอบนี้ไร้ขอบเขตราวกับทะเลเมฆสีฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด และมันส่งผลกระทบต่อบริเวณโดยรอบจนทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันที่เต็มไปด้วยภาพลวงตา ยิ่งไปกว่านั้น มันยังส่งกลิ่นหอมสดชื่นและกลมกล่อมที่เหมือนกับสุราชั้นเลิศที่ถูกบ่มไว้เป็นเวลานาน ทำให้จิตใจย่อมรู้สึกมึนเมาหากสูดดมเข้าไป

ตั้งแต่ฟ่านอวิ๋นหลานฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้ นางเคยประสบกับสถานที่เต็มไปด้วยอันตรายอยู่มากมาย แต่นี้เป็นครั้งแรกที่นางได้พบเจอกับสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกเสมือนภาพลวงตา แต่นางกลับไม่พบร่องรอยของความผันผวนของพลังวิญญาณใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันงดงามดั่งแดนสุขาวดีของเหล่าเซียน แต่ก็เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาดจากทั่วทุกมุม

กริ๊ง~ กริ๊ง~

ท่วงทำนองอันแผ่วเบาเสมือนเสียงจากสวรรค์ ดังกังวาลออกมาจากส่วนลึกของหมอกสีฟ้าราวกับกับมันเป็นสายน้ำที่หลั่งไหล และทันใดนั้นเอง ท่วงทำนองอันไพเราะเช่นนี้ ก็ส่งเสียงดังไปทั่วท้องฟ้าและผืนดินเสมือนต้องการขับขานไปสู่สรวงสวรรค์

มันคล้ายกับเสียงร้องของความหรรษา เสมือนเทพธิดากำลังร่ำร้องบทเพลงที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองที่บริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางสวรรค์และพิภพ ทำนองที่แผ่วเบาของมันก็ดูคล้ายกับเสียงกระซิบอันเย้ายวนของเทพธิดาผู้เลอโฉม ทำให้ผู้ที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมัวเมาจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

ท่วงทำนองที่ดังกังวาลอยู่ตอนนี้ คล้ายกับมือของคนรักที่กำลังเล้าโลมไปทั่วร่างกาย มันให้ความรู้สึกซาบซ่านเสมือนกับเป็นคู่รักหนุ่มสาวกำลังเสพสมกันและกัน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ส่งเสียงครางกระเส่าอยู่บนเตียง และเติมเต็มตัณหาจนเหลือล้นเมื่อเสพสุขกันจนหนำใจ

ท่วงทำนองนี้แตกต่างจากเสียงเกี้ยวพาราสีและคำหยาบโลน ซึ่งมันไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูเหมือนว่ามันถูกถักทอจากความปรารถนาที่อยู่ในก้นบึงของหัวใจของทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ มันคอยแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้คนอย่างไร้สุ้มเสียง และทำให้ไฟราคะลุกโชนอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว

“ท่วงทำนองนี้คือสิ่งใดกัน และมันดังมาจากที่ไหน?” ฟ่านอวิ๋นหลานรู้สึกได้ถึงเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่ลุกโชนอยู่ภายในส่วนลึกของหัวใจของนาง ทำให้ร่างกายของนางร้อนรุ่ม และอ่อนระทวยเสมือนน้ำ

ตั้งแต่นางบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยรู้สึกถึงความใคร่เลยสักครั้ง เนื่องจากอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกนั้น เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับศิษย์ของนิกายอสูร และมันไม่อาจส่งผลกระทบต่อดวงจิตแห่งเต๋าของนางได้อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ แม้นางจะปิดประสาทสัมผัสทั้งหกและปิดกั้นจิตใจของตัวเองจากสิ่งภายนอก แต่นางก็ไม่อาจหยุดยั้งท่วงทำนองนี้ไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี

ท่วงทำนองนั้นดูเหมือนมวลพลังที่ไร้รูปร่างที่จู่โจมเข้าสู่หัวใจโดยตรง และมันทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของนางเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย

ยิ่งไปกว่านั้น นางตระหนักได้ว่า ท่ามกลางท่วงทำนองที่ดังกังวาลอยู่ในตอนนี้ กลับมีกลิ่นหอมที่ฟุ้งออกมาจากหมอกสีฟ้าแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านรูขุมขนของนางอย่างไร้สุ้มเสียง ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นหอมอันกลมกล่อมที่แฝงอยู่ในหมอกนั้น ก็เป็นเหมือนกับยาปลุกกำหนัดที่มีฤทธิ์เข้มข้นที่สุดในโลก ทำให้เลือดลมของนางพุ่งพล่านอย่างรุนแรงท่ามกลางเปลวไฟแห่งความปรารถนา

ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองหรือกลิ่นหอมที่กลมกล่อม พวกมันล้วนมีพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่าง และทำให้ไม่อาจต้านทานได้ เพียงชั่วพริบตา ภาพลวงตาต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของฟ่านอวิ๋นหลาน

นี่คือสัญญาณเตือนที่เกิดจากมารในใจและเสี่ยงต่อลมปราณเบี่ยงเบน!

“แฮ่ก… แฮ่ก…” ในขณะนี้ หูของฟ่านอวิ๋นหลานได้ยินเสียงหายใจที่หนักหน่วงและรวดเร็ว เมื่อนางก้มลงไปมอง นางก็พบกับเฉินซีที่กำลังหลับตาสนิทอยู่ในอ้อมแขนของนาง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง และร่างกายของเขากำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ก็มีอาการเช่นเดียวกับนาง ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาได้รับผลกระทบจากการกัดกร่อนจากท่วงทำนองและกลิ่นหอม ทำให้มันเกิดความปรารถนาที่พลุ่งพล่านภายในหัวใจของเขา และเขาพยายามที่จะต่อต้านพลังงานลึกลับนี้อย่างเต็มที่

“หมอกนี้มีบางอย่างไม่ปกติ ไปให้ไกลจากข้าซะ! ไปซะ!” เสียงที่แหบแห้งของเฉินซีเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและร้อนรน เสมือนกับสัตว์ร้ายที่พยายามยับยั้งความคิดกระหายเลือดของมัน เมื่อรวมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา ก็ทำให้เขาดูดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เมื่อพวกเขาเข้าไปในหมอกสีฟ้า เฉินซีก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับฟ่านอวิ๋นหลาน เขาเองก็ไม่สามารถต้านทานท่วงทำนองและกลิ่นหอมที่กำลังพรั่งพรูเข้าสู่ส่วนลึกของหัวใจของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน

ยิ่งไปกว่านั้น สภาพของเขาก็ไม่เหมือนกับฟ่านอวิ๋นหลาน เพราะร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ปราณแท้ของเขาเหือดแห้งไปจนหมด และร่างกายของเขาก็ไม่มีพละกำลังเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น การยั่วยวนที่เขาเผชิญอยู่จึงรุนแรงและส่งผลมากขึ้น หากไม่ใช่เพราะดวงจิตแห่งเต๋าของเขาได้รับการขัดเกลาจนแข็งแกร่งดุจหินมานานแล้ว สติของเขาคงถูกควบคุมโดยเปลวไฟแห่งความปรารถนา และต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการลมปราณปั่นป่วน จนกลายเป็นสัตว์ป่าที่เต็มไปด้วยต้องการ

“เจ้าเองก็ไม่อาจหลบหนีจากหมอกนี้ได้เช่นกัน ดังนั้น ข้าจะปล่อยเจ้าไปชั่วคราว!” ฟ่านอวิ๋นหลานรู้ว่าสถานการณ์กำลังคับขันเช่นกัน และนางไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป นางจึงปล่อยมือจากเฉินซี ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิที่ด้านข้าง เพื่อใช้พลังทั้งหมดของนางต้านทานเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่กำลังแผดเผาอยู่ในหัวใจของนาง

เฉินซีที่นอนอยู่บนพื้น ก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะตอนที่เขาถูกโอบอยู่ในอ้อมแขนของฟ่านอวิ๋นหลานก่อนหน้านี้ มันไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการที่ร่างกายของเขาจะถูเข้ากับเรือนร่างของฟ่านอวิ๋นหลาน และเมื่อรวมกับความต้องการทางเพศที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในใจของเขา เปลวไฟแห่งความปรารถนาที่กำลังลุกแผดเผาอยู่ในตัวเขา เกือบทำให้สติของเขาต้องพังทลาย

“พวกเจ้าก็อยู่ที่นี้ด้วยหรือ? เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่หนีไป?” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะยับยั้งสติและจิตวิญญาณของเขาเพื่อต้านทานความต้องการที่ก่อตัวขึ้นภายใน เสียงที่ไม่แยแสและเย็นชาของชิงซิ่วอี้ก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเขา และเมื่อเขาลืมตาขึ้นเพื่อมองดู เขาก็พบว่าชิงซิ่วอี้ก็อยู่ในหมอกสีฟ้าเช่นกัน!

“เจ้าเองเหรอ ชิงซิ่วอี้! หรือว่าเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของหมอกสีฟ้านี้? เหตุใดเราถึงไม่พักการต่อสู้กันก่อน? ไว้เราหลบหนีออกจากหมอกสีฟ้านี้ได้ แล้วค่อยมาสู้กันอีกครั้ง เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง” ฟ่านอวิ๋นหลานยืนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเสื้อผ้าของนางกระพรือ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความจริงจัง

“หมอกสีฟ้านี้แปลกประหลาดจริง ๆ แต่ถ้าข้าฆ่าเจ้าทิ้งซะ ข้าก็จะออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน ดังนั้น เหตุใดข้าต้องปล่อยให้เจ้าได้พักหายใจเล่า? หากข้าจำไม่ผิด หลังจากที่เจ้าโดนโจมตีจากยันต์หยกเซียนปฐพีแล้ว ตอนนี้เจ้าคงมีพละกำลังเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งส่วน ถ้าข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ฆ่าเจ้าซะ มันจะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ?” ก่อนที่ชิงซิ่วอี้จะกล่าวจบ นางก็ลงมือโจมตีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ร่างของนางเปล่งประกายราวกับสายฟ้าฟาด หมัดของนางดูเหมือนมังกร ในขณะที่นางทะยานขึ้นไปในอากาศดั่งนกกระเรียนที่พุ่งตรงไปยังฟ่านอวิ๋นหลาน การกระทำของนางตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม ซึ่งเผยถึงความมุ่งมั่นที่จะเข่นฆ่าของนาง

จิ๊บ จิ๊บ

พลังของกำปั้นที่พลุ่งพล่านนั้นคล้ายกับเสียงร้องของนกกระเรียน ซึ่งเผยให้เห็นถึงความว่องไวและความลื่นไหลภายในพลังงานที่หนักหน่วงของมัน นอกจากนี้ เงากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกไปนั้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ของนกกระเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบินมาบรรจบกันจนกลายเป็นก้อนเมฆและต้นสนจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังโค้งทำความเคารพ

“กระบวนยุทธระดับเต๋าของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ หมัดกระเรียนสนทลายเอกภพ?เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวจริง ๆ หรือ” ฟ่านอวิ๋นหลานดูเหมือนโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก และนางได้หยุดยับยั้งเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในใจอย่างยากลำบาก จากนั้น ร่างของนางก็ทะยานออกไป แล้วชกหมัดออกไปด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงและทรงพลัง

เมื่อเทียบกับหมัดกระเรียนสนทลายเอกภพของชิงซิ่วอี้ที่มีทั้งความว่องไวและความหนักแน่น หมัดของนางดูเหมือนจะทรงพลังและรุนแรงยิ่งกว่ามาก อีกทั้งยังดูคล้ายกับค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบใส่สวรรค์และพิภพ ทำลายล้างทุกสิ่งไปยังทุกทิศทาง เมื่อมันทุบไปยังท้องฟ้าก็เกิดเสียงดังครืนครืน ราวกับระฆังใหญ่ระเบิดออก

สิ่งนี่คือ หมัดค้อนศึกเงาโลหิตที่เลื่องลือของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต และเป็นกระบวนยุทธระดับเต๋าเช่นเดียวกัน ยามที่ชกออกไปด้วยกระบวนท่านี้ ก็เหมือนกับค้อนศึกที่ฟาดออกไป และมันเน้นไปที่ความเร็วและพลังทำลายที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้อาณุภาพของมันรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ปัง ปัง ปัง!

หญิงสาวทั้งสองเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง กระบวนท่าที่พวกนางใช้ออกมานั้น ไร้ความปรานี เฉียบขาดและไม่มีการยั้งมือเลยแม้แต่น้อย ทุกการโจมตีต่างก็มุ่งไปยังจุดตายของอีกฝ่าย เนื่องจากพวกนางต่างก็มีความคิดที่ต้องการจะกำจัดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ฟ่านอวิ๋นหลานเหลือพละกำลังน้อยกว่าหนึ่งส่วนเท่านั้น แต่ในยามที่นางต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด นางกลับสามารถระเบิดศักยภาพที่ไร้ขอบเขตออกมาได้ ทำให้พลังต่อสู้ของนางอยู่ในระดับเดียวกับชิงซิ่วอี้ และสามารถต่อสู้ต่อไปได้

เฉินซีนอนอยู่บนพื้นดินโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และในขณะที่เขาเฝ้าดูหญิงสาวทั้งสองกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไฟตัณหาและราคะภายในใจของเขากลับไม่ลดลง แต่มันกลับเพิ่มขึ้นแทน และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ในขณะที่ฟ่านอวิ๋นหลานและชิงซิ่วอี้ต่อสู้กัน พลังของกำปั้นของพวกนางปะทะเข้าใส่กัน จนทำให้เสื้อผ้าของพวกนางขาดวิ่นเป็นหย่อม ๆ เผยให้เห็นถึงผิวที่ขาวราวกับหิมะและเรียบเนียนดั่งหยกอย่างคลุมเครือ

ซึ่งมันปลุกเร้าอารมณ์เป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะฟ่านอวิ๋นหลานที่สวมหมวกปกปิดใบหน้าของนางอยู่ตลอดเวลา หมวกของนางก็ถูกชิงซิ่วอี้ฉีกทำลายไปตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้ จึงเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่งดงามจนทำให้ผู้พบเห็นแทบจะหยุดหายใจ คิ้วของนางดำขลับเหมือนน้ำหมึก จมูกเป็นสันและมีริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาของนางเป็นดั่งน้ำพุลึกล้ำที่หลั่งไหลด้วยสายน้ำใสกระจาง ผิวที่ขาวราวหิมะและเรียบเนียนของนางแวววาวเหมือนผิวน้ำ และด้วยการหยิกบนผิวของนางเพียงเล็กน้อยก็ดูเหมือนจะมีน้ำหยดออกมา

แต่ในขณะนี้ เผ้าผมของนางกลับยุ่งเหยิง ผิวหนังของนางเต็มไปด้วยรอยสีแดงราวกับกลีบกุหลาบ เสื้อผ้าของนางขาดวิ่น ทำให้รูปร่างที่สง่างามและเย้ายวนของนางเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ปลุกเร้าหัวใจ

ชิงซิ่วอี้ก็เช่นเดียวกัน ในสายตาของผู้คน นางดูเหมือนเทพธิดาที่เหาะเหินออกมาสายฝนที่โปรยปราย ใบหน้าของนางเสมือนภาพวาดและงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ เรือนร่างของนางชดช้อย สูงส่ง และไม่อาจล่วงเกินได้ นางเป็นดั่งเทพธิดาที่ไม่อาจล่วงละเมิดอยู่ในใจของทุกคน แต่ในขณะนี้ เผ้าผมของนางกลับยุ่งเหยิง เสื้อผ้าของนางขาดวิ่น ใบหน้ารูปไข่ที่วิจตรงดงามของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวนใจ นอกจากนี้ นางยังปลดปล่อยกลิ่นอายที่มีเสน่ห์อย่างสุดจะพรรณา

เห็นได้ชัดว่าพวกนางทั้งสองได้รับผลกระทบจากท่วงทำนองและกลิ่นหอมภายในหมอกสีฟ้าที่ปลุกเร้าเปลวไฟแห่งความปรารถนาในใจของพวกนางขณะต่อสู้ และมันส่งผลกระทบต่อพวกนางอย่างรุนแรง

นี่เป็นเพราะพวกนางทั้งสองกำลังต่อสู้อย่างเต็มที่ และไม่ได้ยับยั้งราคะในใจหรือปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหกอีกต่อไป ทำให้พลังชีวิตในร่างกายของพวกนางไม่มีสิ่งขวางกั้นระหว่างหมอกสีฟ้าเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ท่วงทำนองและกลิ่นหอมของหมอกสีฟ้า ฉวยเอาโอกาสนี้รุกเข้าสู่ร่างกายของพวกนาง ทำให้ไฟราคะในจิตใจของพวกนางพวยพุ่งขึ้นในระดับความเร็วที่น่าตกตะลึง

แม้ว่าทั้งสองจะรู้ว่าการกระทำเช่นนี้จะส่งผลร้ายเป็นอย่างยิ่ง แต่เพื่อที่จะฆ่าอีกฝ่าย พวกนางยอมฝืนกัดฟันและต่อสู้อย่างไม่ลดละ อีกทั้งยังไม่มีความคิดที่จะประนีประนอมเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น เสื้อผ้าของชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานก็ยิ่งขาดวิ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเผยให้เห็นถึงผิวที่ขาวราวกับหิมะและแดงระเรื่อเสมือนกลีบกุหลาบอยู่เป็นหย่อม ๆ ทำให้มันให้ความรู้สึกที่เย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง

ภาพที่เห็นตรงหน้านี้เสมือนอยู่ในความฝันและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ แต่มันก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของการฆ่าฟัน เนื่องจากพวกนางยังคงต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง และการต่อสู้ของพวกนางก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เดิมที เฉินซีไม่ค่อยรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมากสักเท่าไหร่นัก ตั้งแต่บ่มเพาะจนถึงตอนนี้ เขามีจิตใจบริสุทธิ์และไร้ซึ่งความปรารถนาใด ๆ มาโดยตลอด และเขาไม่เคยลุ่มหลงในกิเลสตัณหาเลยสักครั้ง แต่ในขณะนี้ เมื่อเขาเห็นเรือนร่างที่เย้ายวนของหญิงสาวทั้งสอง จิตใจของเขาก็ดูเหมือนกับมีเปลวไฟแห่งความปรารถนาขนาดใหญ่กำลังลุกโชนอยู่ในทันที และมันกำลังจะแผดเผาร่างของเขาให้สิ้นซาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาจะไม่สามารถยับยั้งความต้องการของตนเองได้ในอีกไม่ช้า

กริ๊ง~ กริ๊ง~

ในม่านหมอกสีฟ้า ท่วงทำนองแผ่วเบาที่ทำให้คนมึนเมาและถูกครอบงำกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ เสมือนว่ามันดังก้องอยู่ในส่วนลึกของจิตใจและต้องการปลดปล่อยกิเลสตัณหาในใจทั้งหมดออกมา ในขณะที่กลิ่นหอมสดชื่นในหมอกนั้นทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้รู้สึกมึนเมาเมื่อสูดดมเข้าไป

ครืนน! ครืนนน!

เสียงแปลก ๆ สองสายดังออกมาจากชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานที่อยู่ในระหว่างการต่อสู้ และดูเหมือนว่าพลังในร่างกายของพวกนางจะถูกดึงออกไปอย่างหมดสิ้น ทำให้พวกนางรู้สึกอ่อนแรงและไร้พลังจนล้มลงไปที่พื้นในที่สุด และไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็ตาม พวกนางก็ไม่สามารถลุกยืนขึ้นได้

เหมือนโชคจะเข้าข้างเฉินซีที่นอนอยู่ระหว่างหญิงสาวทั้งสอง ทำให้เขาสามารถเห็นความเย้ายวนอย่างไร้ขีดจำกัดที่เปิดเผยอยู่ด้านหน้าของพวกนางได้อย่างชัดเจน และแม้กระทั่งได้กลิ่นหอมหวานแปลก ๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของพวกนาง

“อืมมมม. . . .” ฟ่านอวิ๋นหลานดูเหมือนจะสูญเสียเหตุผลทั้งหมดในขณะที่นางครางออกมาเบา ๆ สายตาของนางจับจ้องไปยังเฉินซีที่อยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่ดวงตาของนางลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่แผดเผาจนเกือบทำให้ของเหลวไหลออกมาจากร่างกายของนาง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท