บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 228 กระบี่แห่งความเที่ยงธรรม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 228 กระบี่แห่งความเที่ยงธรรม

บทที่ 228 กระบี่แห่งความเที่ยงธรรม

แผ่นศิลาที่อยู่ตรงใจกลางของสุสานอสูรร้าย ตั้งตระหง่านจนสูงเสียดฟ้า มันเปล่งรัศมีแห่งความเที่ยงธรรมอันเก่าแก่และรกร้างออกมา และมันก็เหมือนเสาหินที่เชื่อมต่อกับสวรรค์ บนพื้นผิวของมันถูกสลักด้วยถ้อยคำแปลก ๆ ที่ดูเหมือนลูกอ๊อดอยู่นับไม่ถ้วน ทำให้มันเป็นเหมือนกับศิลาจารึก แต่เมื่อประสบกับการกัดเซาะจากสายลมและเม็ดทรายอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน ถ้อยคำที่อยู่บนนั้นจึงรางเลือนและไม่อาจแยกแยะได้

เมื่อมองจากระยะไกล แผ่นศิลานี้ดูราวกับเป็นแท่นบูชายัญที่ใช้สยบวิญญาณร้าย ทันทีที่ปราณปีศาจสีดำเข้าใกล้ภายในระยะสิบสองจั้งจากแผ่นศิลานี้ พวกมันทั้งหมดจะหลีกเลี่ยงแผ่นศิลาและไม่กล้ารุกไปข้างหน้า

ที่เบื้องหน้าของแผ่นศิลานี้มีกระบี่เหล็กฝังลงไปบนพื้น และเผยให้เห็นรูปร่างของกระบี่เพียงครึ่งเดียวเหนือพื้นดิน

‘หืม?’ ดวงตาของเฉินซีส่องประกาย เนื่องจากกระบี่นี้ได้ปล่อยพลังวิญญาณที่ผันผวนไม่ชัดเจน และเผยให้กลิ่นอายแห่งความเที่ยงธรรมที่สูงส่งอยู่เล็กน้อย นอกจากนี้ เขายังคุ้นเคยกับกลิ่นอายเช่นนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมันดูคล้ายกับเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมที่เฉินฮ่าวบ่มเพาะมา เพียงแต่ว่ากลิ่นแห่งความเที่ยงธรรมนั้นมาจากสื่อกลางที่แตกต่างกัน

เฉินซีใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานออกไป และเพียงชั่วครู่ เขาก็ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของแผ่นศิลาที่เสียหายแล้ว

เฉินซียื่นมือออกไปจับกระบี่เหล็กก่อนจะดึงอย่างแรง

โอม!

ปราณกระบี่อันเที่ยงธรรมพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและทะลุทะลวงผ่านสวรรค์ทั้งเก้า ทำให้ปราณปีศาจและหมอกชั่วร้ายภายในระยะร้อยยี่สิบจั้ง ดูเหมือนหิมะที่ละลายเป็นน้ำในทันที จากนั้นพวกมันก็หายไปในอากาศ

กระบี่เหล็กนี้มีสีดำสนิท ใบกระบี่ที่เผยให้เห็นประกายแสงสีน้ำเงินเข้มของมันมีความยาวราวสี่ฉื่อ บนพื้นผิวของมันถูกจารึกด้วยอักขระที่ลึกลับ ลวดลายของอักขระนั้นเรียบง่ายและชัดเจน เมื่อมองโดยรวมแล้ว กระบี่นั้นเปรียบเสมือนกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าราวกับน้ำท่วมขนาดใหญ่และมีคลื่นที่รุนแรงซัดสาดเข้าหาฝั่ง กลิ่นอายที่ต่อเนื่องของมันดูเหมือนจะสามารถรองรับสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ มันครอบคลุมทั้งการเกิดขึ้นและดับลง หรือการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างหมดจด ราวกับเป็นกระบี่แห่งประวัติศาสตร์ที่โอบรับการเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์!

‘ช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งนัก!’ เมื่อเฉินซีถือกระบี่เหล็ก เขารู้สึกราวกับว่าเขาได้สัมผัสกับความทรงจำต่าง ๆ ของโลกใบนี้ ‘ความผันผวนของชีวิต การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ การเหี่ยวเฉาและเจริญเติบโตของทุกสิ่ง การเกิดขึ้นและดับลงของชีวิตมนุษย์…’ สิ่งเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายแห่งความชอบธรรมที่ขยายตัวขึ้นในหน้าอกของเขา และเขาก็ไม่ปรารถนาถึงสิ่งใดมากไปกว่าการมอบหัวใจของเขาให้กับสวรรค์และพิภพ มอบชีวิตของเขาเพื่อผู้คนในแผ่นดิน และสืบทอดเคล็ดวิชาสุดยอดของปราชญ์ในอดีต เพื่อพัฒนายุคแห่งสันติภาพที่เฟื่องฟู!

‘กระบี่ที่ดี! กระบี่นี้น่าจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิขงจื๊อ และได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยกลิ่นอายของปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้ความเที่ยงธรรมของมันคงอยู่ชั่วนิรันดร์ มันทั้งยิ่งใหญ่ น่าประทับใจ และสูงส่งยิ่งนัก!’ เฉินซีชื่นชมอย่างไม่รู้จบ ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้ว่า เต๋ากระบี่เที่ยงธรรมที่เฉินฮ่าวเพิ่งได้รับการบ่มเพาะ มันสอดคล้องกับกลิ่นอายของกระบี่นี้ หากนำทั้งสองสิ่งมารวมกัน จะเป็นการส่งเสริมและขับดันจุดดีของทั้งสองสิ่งออกมา

‘กระบี่นี้ลึกล้ำยิ่งนัก แม้ว่ามันจะไม่ใช่สมบัติอมตะ แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ข้าควรมอบให้กับเฉินฮ่าว เพื่อให้เขาทำความเข้าใจและบางทีมันอาจจะช่วยให้เต๋ากระบี่เที่ยงธรรมของเขาดีขึ้น’ เฉินซีเก็บกระบี่เหล็กนี้ไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ทันที

ห่างออกไปไม่กี่ลี้ ศิษย์สองสามคนที่กระจายอยู่รอบ ๆ สังเกตเห็นว่ามีปราณกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป และสายตาของพวกเขาก็สั่นไหวขณะที่ทะยานออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

“มีคนมา!” หลิงไป๋ร้องเตือน

เฉินซีที่กำลังจะจากไปหยุดลงในทันที ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ศิษย์ห้าคนที่เป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์จากนิกายต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นรอบตัวเขา พวกมันทั้งหมดจ้องมองเฉินซีด้วยความโลภ ซึ่งเผยให้เห็นถึงเจตนาร้ายอย่างชัดเจน

“ไอ้หนู เมื่อครู่เจ้าได้เอาสมบัติไปหรือเปล่า?”

“ทิ้งกระบี่ซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

“ปราณกระบี่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า! กระบี่นี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และสมบัติเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะได้ไป ดังนั้นจงตัดแขนข้างหนึ่งของเจ้าทิ้งซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตอันต่ำต้อยของเจ้า!”

ท่ามกลางเสียงตะคอกอย่างเย็นชา คนทั้งห้าก้าวเข้ามาหาเฉินซีอย่างช้า ๆ และเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความคิดที่จะฆ่าเฉินซีเพื่อแย่งชิงสมบัติ

เฉินซีกลับมีท่าทางที่สงบนิ่ง เนื่องจากเขาสามารถระบุได้จากกลิ่นอายว่า พวกมันเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น อีกทั้งความแข็งแกร่งของพวกมันก็ด้อยกว่าสองพี่น้องสกุลเถิงอย่างเห็นได้ชัด

“ต้องการฆ่าข้าเพื่อแย่งชิงสมบัติหรือ? งั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าทุกคนจะแข็งแกร่งพอหรือไม่” เมื่อเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งห้าคน ใบหน้าของเฉินซีกลับสงบนิ่ง น้ำเสียงของเขาไม่แยแส ไม่มีแม้แต่เจตนาฆ่าหรือกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวใด ๆ และท่าทางของเขาก็สงบเป็นอย่างมาก

“ในเมื่อเจ้ากำลังรนหาที่ตาย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง!” ศิษย์ที่อยู่ใกล้กับเฉินซีที่สุด เหวี่ยงกำปั้นของเขาออกไปและปราณหมัดที่มีขนาดเท่ากับหินโม่ก็พุ่งไปทางเฉินซี

ปัง!

กระบี่ที่ส่องประกายด้วยแสงสีเงินปรากฏขึ้นในมือของเฉินซี และแทงออกไปด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ประกายอันเยียบเย็นปรากฏพร้อมกับส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า ปราณกระบี่ดูเหมือนสายฟ้าฟาดผ่าอากาศ ขณะที่มันบดขยี้ปราณกำปั้นเป็นเสี่ยง ๆ และเจาะลำคอของคนผู้นั้น!

ฟู่!

เลือดสีแดงสดอันร้อนระอุสาดกระเซ็นไปทั่ว เกิดเป็นภาพที่สวยงามและน่าสลดใจอย่างหาที่เปรียบมิได้

ตายในกระบวนท่าเดียว!

ในช่วงที่เขายังอยู่ในซากปรักหักพังห้าธาตุ เฉินซีกวาดล้างพี่น้องตระกูลเถิงด้วยตัวคนเดียว และฐานการบ่มเพาะของเขาในตอนนั้น ก็แค่ขอบเขตเคหาทองคำขั้นต้นเท่านั้น แต่ในตอนนี้ หลังจากผ่านการบ่มเพาะร่วมกับชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลาน และการส่งเสริมจากสมบัติเฉกเช่นกำยานสวรรค์ที่มีสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ การแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะปราณของเขาก็อยู่ห่างจากการบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเพียงก้าวเดียว และความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า ดังนั้นการฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำขั้นต้นจึงเป็นเรื่องง่ายดายนัก

“ไอ้เจ้าเด็กคนนี้รับมือยาก ทุกคน มาโจมตีด้วยกันเถอะ!” อีกสี่คนที่เหลือตกตะลึงและพวกเขาก็แสดงท่าทางดุร้าย เพื่อปกปิดความกลัวในใจขณะที่พวกเขาตะคอกออกไป

รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี จากนั้นจึงใช้เต๋ากระบี่พายุอัสนีของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบออกไป กระบี่ในมือของเขาหมุนไปโดยรอบ ทำให้ปราณกระบี่ฟาดฟันไปทั่วท้องฟ้าราวกับพายุหมุน

ผู้บ่มเพาะที่โจมตีเขาจากด้านข้างยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ปรากฏรูเลือดขึ้นที่ระหว่างคิ้วของเขา และกะโหลกของเขาก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีก

หลังจากสังหารผู้บ่มเพาะคนหนึ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เฉินซีก็ไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย ยามกระบี่ของเขากวาดออกไป มันได้กลายเป็นปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่ทะลวงใต้ซี่โครงของผู้บ่มเพาะอีกคนอย่างดุเดือด และผ่าร่างของผู้บ่มเพาะคนนั้นเป็นสองซีก จนเลือดเนื้อและอวัยวะภายในมีโลหิตกระจายไปทั่วพื้น

“รีบหนีเร็วเข้า! เจ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ทั่วไป มันได้สำเร็จวิชากระบี่ที่ยากสุดที่ในโลก!” เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์นี้ วิญญาณของผู้บ่มเพาะที่เหลืออีกสองคนแทบจะหลุดออกจากร่าง และพวกเขาก็ตกตะลึงด้วยความสับสนและเดือดดาล อีกทั้งตระหนักได้ว่า เฉินซีไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถจัดการได้ ดังนั้นจึงคิดที่จะหลบหนี

‘แต่การจะหลบหนีในตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว…’

หนึ่งในผู้บ่มเพาะเหล่านั้นเคลื่อนไหวช้ากว่าเล็กน้อย ศีรษะของมันจึงถูกทำลายโดยกระบี่ของเฉินซีเพียงครั้งเดียว

ส่วนผู้บ่มเพาะอีกคนที่หลบหนีห่างออกไปได้ราวร้อยยี่สิบจั้ง ก็ไม่มีโอกาสที่จะดีใจเลยด้วยซ้ำ เพราะมันรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ลำคอ เมื่อก้มหน้าลงไปดู ปราณกระบี่อันเยียบเย็นพลันพุ่งทะลุผ่านลำคอ จนเลือดสีแดงสดพวยพุ่งเสมือนน้ำพุไปทั่วท้องฟ้า

เพียงแค่พริบตา ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นทั้งห้าคนต่างก็เสียชีวิตหมดสิ้น และบริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยเลือดและเศษชิ้นส่วนอวัยวะต่าง ๆ อันน่าสยดสยอง!

เฉินซียังไม่ได้จากไป เขาไม่ได้ค้นหาคลังสมบัติมิติจากศพของคนเหล่านั้น แต่เขาหันหลังกลับมาทันทีและจ้องมองไปที่ด้านหลังของแผ่นศิลา “สหาย การแสดงได้จบลงแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าควรปรากฏตัว!”

ฟิ้ว!

เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาราวกับกลุ่มควัน และค่อย ๆ ร่อนลงมาที่ด้านข้างของแผ่นศิลา

“ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่เลวเลย เจ้าเป็นแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ แต่กลับสามารถก้าวข้ามขอบเขตและสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำขั้นต้นทั้งห้าคน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะต้องเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนโลกอย่างแน่นอน”

“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เจ้าย่อมสามารถแสดงศักยภาพในการชุมนุมดาวรุ่งได้ แต่ถ้าคนที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้าตายลง มันก็น่าเสียดายจริง ๆ และข้าเองไม่ต้องการที่จะให้เจ้าต้องลำบาก แต่เจ้าต้องมอบกระบี่ที่เจ้าได้มาก่อนหน้านี้ และเจ้าถือได้ว่ามันเป็นของรางวัลแก่ชัยชนะของข้า หวงอวี้หู่ ตกลงไหม?”

ชายหนุ่มที่ชื่อหวงอวี้หู่นี้มีรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ เขาสวมเสื้อลายปักที่หรูหรา สีหน้าของเขาเฉยเมยขณะที่เอามือไพล่หลัง แต่เขากลับมีกลิ่นอายแห่งความเหี้ยมโหดที่รุนแรงอยู่ภายในตัว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยกลิ่นอายของเขา ความแข็งแกร่งของเขาควรจะเทียบเท่ากับพี่น้องสกุลเถิง แต่ด้อยกว่าหลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฉินซีก็สรุปได้ว่าคนผู้นี้คล้ายกับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ ที่ได้รับการส่งเสริมโดยกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ซ่ง

“แล้วถ้าข้าไม่มอบให้ล่ะ” หากเป็นเมื่อก่อน เฉินซีคงไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเขาได้ แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป นับประสาอะไรกับคนเช่นหวงอวี้หู่ แม้ว่าเขาจะได้พบกับชิงซิ่วอี้อีกครั้ง เขาก็กล้าที่จะต่อสู้กับนาง

หวงอวี้หู่ยิ้มบาง ๆ แต่คำพูดที่เขากล่าวออกมานั้นไร้ความปรานียิ่งนัก “ถ้าเจ้าเปรียบเทียบข้ากับพวกเศษขยะก่อนหน้านี้ เจ้าคงต้องตายอย่างน่าอนาถใจ ดังนั้นข้าขอแนะนำว่าอย่าได้ยั่วยุให้ข้าต้องลงมือ”

ครืนนน!

เฉินซีสะบัดกระบี่ด้วยนิ้วของเขา และกระบี่ก็ส่งเสียงร้องอย่างชัดเจน “ข้าจะฟันศีรษะเจ้าให้ขาดภายในสามกระบวนท่า!”

“ฮ่า ๆ! อย่างที่ข้าคาดไว้ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้มักจะต้องตาย เนื่องจากประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปและไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังกึกก้อง ปลายเท้าของหวงอวี้หู่ได้กระทืบลงบนพื้นดิน ทำให้มันยุบและจมลง ขณะเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อทะยานเข้าหาเฉินซี

ฟิ้ว!

เขายังคงอยู่ระหว่างทาง แต่มีดาบโค้งสีขาวราวกับหิมะปรากฏขึ้นในมือของเขา และปราณดาบที่ดุร้ายก็พุ่งออกมาจากมัน ทำให้พื้นที่โดยรอบถูกฉีกออกเหมือนผ้าฝ้ายที่ขาดวิ่น จนเปิดออกเป็นรอยแตกนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น อานุภาพของมันช่างดุร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้

“เพลงดาบสะบั้นนภา!” หวงอวี้หู่ตะโกนออกไปอย่างกึกก้อง ในขณะที่ดาบของเขาเป็นเหมือนแสงแดดส่องประกายที่ฉีกผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนและฟันลงไปที่เฉินซี

“หนึ่ง!” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขาส่ายศีรษะเบา ๆ ดาบของเขาแทงออกด้วยพลังที่เสมือนกับภูเขาหลายลูก แต่ก็เหมือนกับหนองบึงที่ไหลเชี่ยว ภูเขาและหนองน้ำเชื่อมต่อกันทำให้เกิดความเฉื่อยชาและหนักอึ้ง มันคือเต๋ากระบี่หนองบึงและภูผาของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ

สัญลักษณ์เกิ้น เป็นตัวแทนของภูเขา

สัญลักษณ์ตุ้ย เป็นตัวแทนของหนองบึง

ภูเขาและหนองบึงหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้การโจมตีด้วยกระบี่หนักอึ้งเหมือนภูเขา แต่เชื่องช้าเหมือนหนองบึง ทันใดนั้น ทุกสิ่งรอบข้างดูเหมือนจะจมอยู่ใต้ภูเขาและหนองน้ำ ติดขัดและเชื่องช้า และการโจมตีด้วยกระบี่ก็ปล่อยพลังงานมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งในโลกติดขัดและเชื่องช้า

ร่างของหวงอวี้หู่ที่ทะยานผ่านท้องฟ้ากลายเป็นเชื่องช้าในทันที เขาราวกับเป็นแมลงขนาดใหญ่ที่ตกลงไปในใยของแมงมุม และแม้แต่ปราณดาบที่ฟันออกไปนั้น ความเร็วของมันก็เหมือนจะลดลงไปอย่างน้อยสามส่วน

“นี่มันปราณกระบี่แบบไหนกัน? แต่เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป หากคิดจะใช้สิ่งนี้เพื่อดักจับข้า เขตแดนเต๋าศิขรินธาร!” ดวงตาของหวงอวี้หู่หรี่ลง ขณะที่โคจรปราณแท้ของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ปราณดาบของเขากลายเป็นพายุสีม่วง และเมื่อโจมตีออกไปมากมายราวกับน้ำตกที่ถาโถมผ่านท้องฟ้าและกระแทกลงมาอย่างแรง

ฟิ้ว!

เฉินซีเข้าไปในอาณาเขตที่มีน้ำตกไหลบ่า และน้ำตกสีขาวราวกับหิมะเหล่านั้น ดูเหมือนทางช้างเผือกที่ถาโถมลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า น้ำทุกหยดมีเต๋ารู้แจ้งที่เกรี้ยวกราด ทำให้มันน่ากลัวอย่างยิ่ง

“กระบี่ข่านแห่งวารี!” ท่าทางของเฉินซีนั้นสงบและไม่แยแส ด้วยการชักนำของกระบี่ พลังอันมหาศาลของกระบี่นั้นเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ควบคุมมวลน้ำทั้งหมด ซึ่งอันที่จริง มันทำให้ความเร็วของปราณกระบี่นับพันที่ถาโถมลงมาเหมือนกับน้ำตกช้าลง ช้าลงเรื่อย ๆ!!

ฟู่!

เมื่อน้ำตกหยุดลงอย่างสมบูรณ์ เฉินซีชักกระบี่ของเขาและฟาดออกไป การเคลื่อนไหวของเขาราบรื่นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และน้ำตกโดยรอบก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนอย่างเงียบงัน ทำให้เขตแดนเต๋าศิขรินธารของหวงอวี้หู่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? เขตแดนเต๋าศิขรินธารของข้าจะถูกทำลายโดยเจ้าเด็กที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างไร” สีหน้าของหวงอวี้หู่ซีดลงอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่า เขาประเมินความแข็งแกร่งของเฉินซีต่ำไป

แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว

ในตอนที่เสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในอากาศ ปราณกระบี่ที่ไร้รูปร่างเหมือนกับท้องฟ้าโบราณอันไร้ขอบเขต ได้ปรากฏขึ้นจากอากาศ ก่อนจะฟันไปที่ลำคอของเขา

“กระบี่เฉียนแห่งนภาของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ!”

สัญลักษณ์เฉียนเป็นตัวแทนของท้องฟ้า กระบี่เฉียนแห่งนภานั้นไร้ตัวตนและไม่มีอยู่จริง มันถูกหลอมรวมอยู่ภายในท้องฟ้าตลอดเวลา และตราบใดที่เฉินซีต้องการ แม้แต่ท้องฟ้าก็สามารถกลายเป็นเจตจำนงกระบี่ในกำมือของเขา เพื่อสังหารศัตรูโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

ฟู่!

ศีรษะที่เปื้อนเลือดของหวงอวี้หู่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และยังคงมีร่องรอยของความตกใจอยู่บนใบหน้าของเขา ราวกับไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองจะต้องตายอย่างน่าอนาถ ด้วยน้ำมือของเด็กน้อยที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำ ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้น…

เคร้ง!

ดาบโค้งที่มีสีขาวราวกับน้ำแข็งตกลงสู่พื้นด้วยเสียงที่ไพเราะและชัดเจน เสมือนกับเป็นการไว้ทุกข์ให้แก่เจ้านายที่เสียไป

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท