บทที่ 235 เพลงหมัดมหาทำลายล้าง
บทที่ 235 เพลงหมัดมหาทำลายล้าง
‘ข้าได้อันดับที่สี่หรอกหรือ?’
ในใจของเฉินซีไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เพราะผู้บ่มเพาะทุกคนที่เข้าสู่ขุมสมบัติเฉียนหยวนในครั้งนี้ ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ และพวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแผ่นดินซ่ง เฉินซีสามารถได้อันดับที่สี่ ในขณะที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจได้แล้ว
แต่แน่นอนว่าเขาก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้างเช่นกัน กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าทั้งสิบสองวิชาที่เจ้าของขุมสมบัติเหลือทิ้งไว้นั้น ย่อมมีคุณภาพชั้นเยี่ยมอย่างแน่นอน ดังนั้น หากใครได้รับการจัดอันดับในสามอันดับแรก ก็จะสามารถเลือกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดได้โดยปริยาย และเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เหลือหลังจากนี้ก็อาจมีคุณภาพด้อยกว่าเล็กน้อย
ฟึ่บ!
ในขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิด แสงสีขาวโดยรอบก็แยกออกอย่างรวดเร็วเพื่อเผยให้เห็นถึงสิ่งของเก้าชิ้นที่เปล่งประกายแสงออกมา สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของเฉินซีนั้นเป็นแผ่นหยกสีทองเข้ม ซึ่งมีขนาดประมาณหัวแม่มือ และพื้นผิวของพวกมันได้ปรากฏความผันผวนของเต๋ารู้แจ้งจาง ๆ นอกจากนี้มันยังมีท่วงทำนองสวรรค์ล่องลอยออกมา จึงทำให้พวกมันดูน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
“หมัดวารีศักดิ์สิทธิ์ เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่แบ่งออกเป็นสามสิบหกกระบวนท่า กระบวนท่าของมันเหมือนกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พายุที่รุนแรง และคลื่นที่ซัดสาด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่สามารถบรรลุในระดับที่สูงจะสามารถหยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งวารีพิโรธได้…” เฉินซีเปิดแผ่นหยกแผ่นแรกที่บันทึกเพลงหมัดวารีศักดิ์สิทธิ์ แต่มันกลับมีข้อจำกัดที่ทรงพลังอยู่ในแผ่นหยกนี้ ทำให้เขาอ่านได้เพียงบทนำบางส่วนเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาที่อยู่เบื้องหลังได้
“เต๋ารู้แจ้งวารีพิโรธเป็นเพียงหนึ่งในเต๋ารองของมหาเต๋าแห่งวารี ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่เหมาะสมกับความแข็งแกร่งของข้า ดังนั้น หากข้าจะไม่บ่มเพาะมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร” เฉินซีทำความเข้าใจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็มองไปที่แผ่นหยกชิ้นที่สองในทันที
กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าเองก็ถูกแบ่งตามคุณภาพเช่นกัน และถ้าผู้ใดต้องการจำแนกคุณภาพของมัน ก็แค่พิจารณาเต๋ารู้แจ้งที่มีอยู่ก็พอแล้ว ส่วนมหาเต๋านั้นยอดเยี่ยมที่สุด มันอาจดูทรงพลังและน่าเกรงขาม แต่มันก็เป็นการฝึกฝนที่ยากที่สุดเช่นกัน แม้ว่าเต๋ารองจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่พวกมันก็ฝึกฝนได้ง่ายกว่า และตราบใดที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของมันได้อย่างถ่องแท้ อานุภาพของมันก็อาจจะน่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นตกตะลึงอยู่เช่นกัน
แท้จริงแล้ว หลักการของพวกมันนั้นง่ายดายมาก เมื่อพิจารณาและฝึกฝนแล้ว ผู้คนต่างก็ใช้เคล็ดวิชา และอานุภาพของมันก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะ
ดังนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะฝึกฝนกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ไม่เพียงแต่ต้องใส่ใจกับคุณภาพของมันเท่านั้น แต่ยังต้องดูว่ามันเหมาะสมกับการบ่มเพาะด้วยหรือไม่
“สะบั้นประกายแสงเทวะบงกชคราม เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ที่แบ่งออกเป็นสิบแปดขั้น ทุกขั้นล้วนทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม และเมื่อฝึกฝนจนถึงขีดสุด ดอกบัวนับไม่ถ้วนจะเบ่งบานปกคลุมโลก ผู้ที่ฝึกฝนจนบรรลุอย่างถ่องแท้แล้ว ก็จะสามารถหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งบงกชครามได้เช่นกัน…” เฉินซีส่ายศีรษะอีกครั้ง เต๋ารู้แจ้งบงกชครามเป็นเต๋ารองและเป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋าพฤกษา แต่เขาได้หยั่งรู้มหาเต๋าวายุแล้ว ดังนั้นการบ่มเพาะเต๋ารู้แจ้งบงกชครามนั้น จะเป็นการเสียเปล่า และเขามองไปที่แผ่นหยกชิ้นที่สามอีกครั้ง
“ฝ่ามือหยินทลายน้ำแข็ง…”
“ผลาญปฐพีเจ็ดวิถี…”
“ย่างก้าวไร้เงา…”
“เพลงกระบี่ทวนทิศอสูรน้อย…”
“เคล็ดวิชาดัชนีสลายสัตพิชาน…”
“เคล็ดวิชาราชสีห์หิมะคำราม…”
หลังจากที่เขาดูแผ่นหยกแปดแผ่นอย่างต่อเนื่อง หากจะว่าไปแล้ว เฉินซีก็ชื่นชอบเคล็ดวิชาเหล่านี้ทั้งหมด แต่มันกลับไม่มีเคล็ดวิชาใดที่พอจะทำให้หัวใจของเขาต้องสั่นไหวและทำให้เขารู้สึกไม่อาจทนที่จะต้องแยกจากพวกมันได้
อันที่จริง ชายหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าเขาค่อนข้างจู้จี้จุกจิกเกินไป หากกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าทั้งแปดนี้หลุดไปสู่โลกภายนอก ทุกเคล็ดวิชาล้วนทำให้ผู้บ่มเพาะต่างต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้ครอบครอง แต่จะว่ากระไรดี? อะไรที่ไม่เหมาะสมมันก็ไม่เหมาะสม และเฉินซีก็ไม่เต็มใจที่จะบังคับตัวเอง
หากเขายังตัดสินใจไม่ได้สักที เขาก็ทำได้เพียงละทิ้งเป้าหมายเดิมของตนเองและเลือกเคล็ดวิชาเต๋าที่เขาพอใจมากที่สุดก็พอ
แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถเลือกกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าได้เพียงเคล็ดวิชาเดียว และจำนวนตัวเลือกที่มีให้เขานั้น ช่างน้อยอย่างน่าสมเพช
‘ช่างเถอะ ถ้ามันใช้ไม่ได้จริง ๆ ข้าจะเลือกเคล็ดวิชาราชสีห์หิมะคำรามแทนละกัน อย่างน้อยข้าก็สามารถเข้าใจจังหวะของเต๋ารู้แจ้งนี้ ซึ่งจะทำให้ข้าสามารถเอาชนะศัตรูได้โดยไม่คาดฝัน และอานุภาพของมันก็ไม่เลวเช่นกัน…’ เฉินซีถอนหายใจขณะมองไปที่แผ่นหยกชิ้นสุดท้าย
“เพลงหมัดมหาทำลายล้างเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้น ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่ยังไม่สมบูรณ์ มันแบ่งออกเป็นสามระดับ ในเพลงหมัดนี้ หนึ่งหยิน หนึ่งหยาง เดี๋ยวรุก เดี๋ยวรับ และความแข็งแกร่งของมันถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว หยินและหยางปะทะกัน รุกและรับผลักกัน เมื่อสุดขั้วทั้งสองกระตุ้นกันและกัน อานุภาพทำลายล้างของมันจะมหาศาลถึงขั้นเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นผงธุลี… เฮ้อ แต่ด้วยความสามารถของข้าในตอนนี้ ทำให้ข้าเข้าใจเต๋าแห่งการทำลายล้างเพียงผิวเผิน และไม่สามารถบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์แบบได้”
กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้น ถูกเรียกอีกอย่างว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าเท็จ และในโลกการบ่มเพาะมักจะสื่อถึงกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ กล่าวอีกนัยหนึ่ง กระบวนยุทธ์ระดับเต๋านี้เป็นเพียงเคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่คนผู้นั้นจะฝึกฝนเคล็ดวิชาจนเชี่ยวชาญถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว มิฉะนั้น การจะทำให้มันสมบูรณ์แบบและเข้าใจเต๋ารู้แจ้งที่อยู่ในเคล็ดวิชา หลังจากที่ฝึกฝนมันมาอย่างยาวนานแล้วก็ตาม ก็จะไม่มีวันที่จะสำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่น เพลงหมัดมหาทำลายล้างนี้มีเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งการทำลายล้างอยู่เพียงผิวเผิน และสำหรับอัจฉริยะทั่วไป ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนสักเท่าใด พวกเขาจะไม่มีทางเข้าใจเต๋าแห่งการทำลายล้างที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้
ดังนั้น มันจึงไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดสนใจที่จะเลือกเคล็ดวิชานี้ เพราะมันเป็นเพียงกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้นที่สร้างขึ้นโดยเจ้าของขุมสมบัติ และเป็นเพียงเคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์…
ทว่าหัวใจของเฉินซีกลับกระตุกอย่างกะทันหัน ขณะที่เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่าเคล็ดวิชานี้เหมาะกับตัวเขายิ่งนัก
จากการคาดเดาของเขา หลังจากที่ฝึกฝนวิชานี้ แม้ว่าเขาจะไม่อาจเข้าถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างที่อยู่ภายในนั้นได้ แต่ทักษะที่มีอยู่ในเพลงหมัดนี้จะทำให้เขาสามารถใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งหยิน เต๋ารู้แจ้งแห่งหยาง เต๋ารู้แจ้งแห่งไฟ เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำ เต๋ารู้แจ้งแห่งนภา และเต๋ารู้แจ้งแห่งผืนดินร่วมกับมัน และมันจะให้กำเนิดอานุภาพที่น่าเหลืออีกเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว เต๋ารู้แจ้งทั้งหกประเภทคือ หยิน หยาง ไฟ สายน้ำ นภา และผืนดิน พวกมันล้วนเป็นคู่ที่สยบกันและกัน และเป็นเต๋ารู้แจ้งที่อยู่ในสุดขั้ว เมื่อเฉินซีได้หยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งทั้งหกนี้แล้ว ถ้าเขาใช้พวกมันกับเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ทุกกระบวนท่าจะมีเต๋ารู้แจ้งแฝงอยู่ด้วย และมันอาจจะเทียบเท่ากับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าอื่น ๆ
สรุปแล้ว ตามความคิดของเฉินซี เขาจะใช้เพลงหมัดมหาทำลายล้างนี้เป็นกระสุน ซึ่งเป็นทักษะในการใช้ความพลังของเขา ในขณะที่แก่นแท้ของพลังที่จะใช้ในทักษะนั้น จะเปลี่ยนจากเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างเป็นเต๋าประเภทต่าง ๆ แทน
ความคิดเช่นนี้ถือว่ากล้าได้กล้าเสียและแปลกใหม่ แต่มีเพียงคนประหลาดอย่างเฉินซีเท่านั้นที่จะคิดได้ ท้ายที่สุด ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เชี่ยวชาญมหาเต๋าสูงสุดมากมายเหมือนเขา บางทีอาจมีอัจฉริยะที่อัศจรรย์เหมือนเขาอยู่เช่นกัน แต่ในขณะนี้ มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สามารถมองเห็นพลังแฝงที่อยู่ในเพลงหมัดมหาทำลายล้างและมีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าคิดเช่นนี้
สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต เมื่อเป็นพรหมลิขิตก็ย่อมได้มา แต่เมื่อไม่เป็นพรหมลิขิต แม้พยายามแทบตายก็ไม่พานพบ
“ข้าจะเอาเคล็ดวิชานี้แหละ!” เฉินซีกรีดนิ้วของเขาและหยดเลือดสดลงบนแผ่นหยกชิ้นสุดท้ายอย่างไม่ลังเล
โอม!
แผ่นหยกถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นแสงสีทองก่อนที่มันจะตกลงสู่มือของเฉินซีอย่างเชื่อฟัง และเพียงเหลือบมองแวบเดียว เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความตื่นเต้นที่กำลังถาโถมอยู่ในหัวใจของเขา เพราะมันเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเพลงหมัดมหาทำลายล้างนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ จึงทำให้เขาสามารถพลิกแพลงมันได้อย่างอิสระ ยิ่งกว่านั้น การใช้ประโยชน์จากมหาเต๋าสุดขั้วทั้งสองนั้นยังน่าอัศจรรย์ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ทรงพลังและไร้ข้อจำกัด หากสถานการณ์ในตอนนี้เหมาะสม เขาคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในทันที
…
“หืม?”
“บัดซบ! มันคือไอ้สารเลวนั่นจริง ๆ!”
“แม่นางเจิ้นได้รับเกียรติให้ขึ้นอันดับหนึ่ง องค์ชายน้อยหวงฝู่ได้ที่สอง แต่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่สี่จะเป็นเจ้าเด็กน้อยคนนั้นจริง ๆ!”
ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีชายสองคนและหญิงหนึ่งคนยืนอยู่ที่นั่นในขณะนี้
เฉินซีย่อมรู้จักพวกเขาทั้งสองคน พวกเขาคือองค์ชายน้อยแห่งตำหนักจ้าวปัญญา หวงฝู่ฉงหมิง และหลิวเฟิ่งฉือจากเกาะฉลามมังกร ส่วนผู้หญิงอีกคนนั้น เขาไม่ได้รู้จักนาง
ผู้หญิงคนนี้มีดวงตาที่สดใสและผิวที่เนียนนุ่ม รูปร่างของนางสง่างาม ผมสีดำขลับของนางถูกม้วนเป็นมวยสูงดูสวยงามและเรียบง่าย ซึ่งขับเน้นรูปลักษณ์ของนางให้ดูงดงามยิ่งขึ้น นางคือเจิ้นหลิวชิงจากหอวารีหมอก
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้คือสามอันดับแรกที่ผ่านบททดสอบแรก และเจิ้นหลิวชิงยังบดขยี้หวงฝู่ฉงหมิงและหลิวเฟิ่งฉือ เพื่อให้ได้อันดับที่หนึ่ง!
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ผู้บ่มเพาะหญิงลึกลับที่มักจะเก็บตัวอยู่เสมอคนนี้ นางสมควรได้รับคำชมจากจักรพรรดิฉู่ เพียงเพราะความจริงที่ว่านางเป็นคนแรกที่ผ่านบททดสอบแรกที่เจ้าของขุมสมบัติเหลือทิ้งไว้ ดังนั้นใคร ๆ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าความแข็งแกร่งและดวงจิตแห่งเต๋าของนางนั้นทรงพลังเพียงใด
แต่เฉินซีไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเมื่อเห็นคนทั้งสามนี้ เพราะเขารู้ว่าเจิ้นหลิวชิงไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับหวงฝู่ฉงหมิงและหลิวเฟิ่งฉือ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลมากนัก และต่อให้เป็นกลุ่มสองคนของหวงฝู่ฉงหมิง แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าความสามารถของตนเองจะเอาชนะการร่วมมือของคนทั้งสองได้ แต่เขาก็ยังสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย
และที่เขามีความมั่นใจเช่นนี้ ก็เพราะหลังจากประสบกับการบ่มเพาะร่วมกันอย่างพิสดารกับชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลาน ความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ก็เหนือล้ำกว่าในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเขาจะได้พบกับชิงซิ่วอี้ ซึ่งเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด เขาก็ยังกล้าที่จะต่อสู้กับนาง ดังนั้นจะนับประสารอะไรกับหวงฝู่ฉงหมิงและหลิวเฟิ่งฉือ
หวงฝู่ฉงหมิงตกตะลึงเมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว จากนั้นเขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก แววตาของเขาก็มีเจตนาฆ่าส่องประกายพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่แยแส “ฮ่า ๆๆ! เจ้าเลี่ยงเส้นทางที่จะไปสู่สวรรค์ แต่กลับฝืนเลือกเส้นทางที่จะพาเจ้าไปสู่นรก ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า จงมอบสมบัติทั้งหมดที่เจ้าปล้นมาจากขุมสมบัติและกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่เจ้าได้รับก่อนหน้านี้ แล้วข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมาน!”
ในใจของหวงฝู่ฉงหมิงนั้นเกลียดเฉินซีอย่างลึกล้ำ เนื่องจากการที่เฉินซีได้เข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ ความแข็งแกร่งของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด และชายหนุ่มยังมีโชคที่ท้าทายสวรรค์ สัตว์อสูรในซากปรักหักพังห้าธาตุก็ไม่ได้ฆ่าเฉินซี แต่กลับทำให้การบ่มเพาะทักษะแปรสภาพร่างกายของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งตัวเขา ชิงซิ่วอี้ หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง และคนอื่น ๆ ได้ปิดล้อมเฉินซี ด้วยความตั้งใจที่จะแย่งชิงสมบัติอมตะทั้งสามชิ้นที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซี แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่า เฉินซีกลับสามารถทำลายการปิดล้อมของพวกเขาด้วยเศษเสี้ยวเจตจำนงของเซียนสวรรค์ลึกลับ และพรากสมบัติที่พวกเขาภาคภูมิใจไปด้วย!
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดสำหรับหวงฝู่ฉงหมิงนั้น คือหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในขุมสมบัติเฉียนหยวน ซึ่งเดิมทีพวกเขาก็ตั้งใจที่จะปล้นมันโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ แต่โดยไม่คาดคิด ทางเดินที่อยู่ด้านหลังประตูที่พวกเขาได้ผ่านมาตลอดทาง กลับถูกเฉินซีแย่งชิงสมบัติไปทุกชิ้นจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นจะมีผู้ใดสามารถทนความรู้สึกเดือดดาลและความคับแค้นใจนี้ได้?
ดังนั้นพวกเขาต้องฆ่าเฉินซีและยึดสมบัติทั้งหมดเท่านั้น จึงจะทำให้หวงฝู่ฉงหมิงระบายความโกรธแค้นในใจของเขาได้!
“ใช่แล้ว เราจะทำตามที่ท่านพี่หวงฝู่กล่าว เจ้าเด็กคนนี้น่ารังเกียจเกินไปและมันต้องถูกกำจัด!” หลิวเฟิ่งฉือที่ยืนอยู่ข้างเคียง กล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ การแสดงออกของเฉินซีกลับเหมือนสายน้ำที่สงบนิ่ง เขาหันกลับมาและไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสองคนอีก เขาเริ่มพิจารณาขนาดของห้องโถงที่ตกแต่งอย่างเลิศหรูอลังการนี้ด้วยความสนใจ และท่าทางที่ไม่ได้แยแสของเขา กลับทำให้หวงฝู่ฉงหมิงและหลิวเฟิ่งฉือรู้สึกหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว จนสีหน้าของพวกเขากลายเป็นไม่น่าดูในทันที
‘ข้าถูกมดปลวกที่มีฐานการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำเพิกเฉยหรือ?’
‘ข้าจะฆ่ามัน!’
‘ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ข้าต้องสับไอ้สารเลวนี่ออกเป็นพันชิ้นให้ได้!’
กลิ่นอายบนร่างกายของพวกเขาระเบิดออกมา และเผยพลังการบ่มเพาะทั้งหมดของพวกเขาโดยไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย เพื่อที่จะโจมตีและสังหารเฉินซีโดยพร้อมเพรียงกัน
ทว่าในขณะนี้ เจิ้นหลิวชิงที่เงียบมาตั้งแต่ต้นได้โพล่งกล่าวออกมา และเสียงของนางก็เหมือนกับเสียงร้องซึ่งไพเราะและเสนาะหูของนกขมิ้นในช่องเขาอันเงียบงัน “สหายเต๋า แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นศัตรูกันอย่างไร แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่า ยังไม่ควรทำร้ายผู้อื่นจนกว่าจะผ่านบททดสอบทั้งสาม”
ขณะที่นางกล่าว ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของนางก็กลอกไปโดยรอบ ขณะที่นางเหลือบมองไปที่เฉินซี และนางไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นที่ฉายผ่านแววตาของนางได้ ‘สหายคนนี้คือใครกันแน่? เขามีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น แต่กลับทำให้หวงฝู่ฉงหมิงและหลิวเฟิ่งฉือโกรธเคืองจนถึงขั้นกัดฟันแน่นและหมายมั่นจะฆ่าเขา?’