บทที่ 243 พลังทำลายล้างอันดุดันของซวนหนี
บทที่ 243 พลังทำลายล้างอันดุดันของซวนหนี
ตู้มมมม!!
ฝ่ามือของซวนหนีฟาดลงมาราวกับเสาสวรรค์ได้พังทลายลง และพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากใจกลางฝ่ามือของมัน กลายเป็นเปลวเพลิงสีทองแผ่ลงมาด้วยพลังที่ท่วมท้น
ทันใดนั้น คลื่นแห่งความทุกข์ระทมและเสียงร้องอันโหยหวนก็ดังขึ้นจากผู้บ่มเพาะหลายสิบคนที่ไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา และถูกกวาดเข้าไปในวงเพลิงสีทอง พวกเขาทั้งหมดสลายกลายเป็นความว่างเปล่าและถูกทำลายล้างในทันที
ด้วยการฟาดเพียงฝ่ามือเดียว ก็สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหลายสิบคนได้อย่างง่ายดาย!
พลังทำลายล้างที่ดุดันของซวนหนี ทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันที
แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้บ่มเพาะมากกว่าหนึ่งร้อยคน ที่ฉวยโอกาสนี้วนไปรอบ ๆ ร่างกายอันใหญ่โตของซวนหนี และเริ่มพุ่งเข้าหาแท่นบวงสรวง
ในบรรดาคนเหล่านี้ ได้แก่ อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ เจิ้นหลิวชิง และกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง พวกเขาล้วนมีฐานการบ่มเพาะที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ และศัสตราวิเศษที่พวกเขาใช้ล้วนเป็นระดับปฐพีขั้นสุดยอด ดังนั้นที่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีจากซวนหนีได้ จึงเป็นที่เข้าใจได้
เฉินซีก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่อ้อมไปด้านหลังสำเร็จเช่นกัน เนื่องจากเขาเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมที่มีความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ เมื่อรวมเข้ากับการใช้เคล็ดวาตะเหินทะยาน ทำให้ความเร็วของเขาไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นแม้แต่นิดเดียว จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าสู่ระยะของแท่นบวงสรวงได้อย่างหวุดหวิด
ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ รูปลักษณ์ของแท่นบวงสรวงก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน มันมีความสูงถึงร้อยยี่สิบจั้ง มีลักษณะกลมมน และดูเหมือนจะสร้างจากหินหยกที่เย็นเยียบและแข็งแกร่ง นอกจากนี้ทั่วทั้งแท่นยังถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีลึกลับที่อ้างว้างและมืดหม่น
ที่ด้านบนสุดของแท่นบวงสรวง หมอกแสงสีฟ้าถูกควบแน่นจนเป็นดวงแสงที่ดูเหมือนดวงอาทิตย์สีฟ้าสว่างเจิดจ้าซึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้า อีกทั้งยังเปล่งรัศมีที่พลุ่งพล่านและคลุมเครือ และภายในนั้นก็มีสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้!
หลังจากที่พวกเขาหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับซวนหนี ขบวนที่ทุกคนก่อตัวขึ้นไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อยและมุ่งตรงไปที่ด้านบนของแท่นบวงสรวง และพวกเขาทั้งหมดต่างต้องการที่จะยึดสมบัติล้ำค่าตั้งแต่แรกที่เป็นไปได้ ทำให้ที่ตรงนั้นเกิดความวุ่นวายไปหมด ทว่าคนที่อยู่ข้างหน้าสุดกลับไม่ใช่เจิ้นหลิวชิงหรือหวงฝู่ฉงหมิง แต่เป็นเยว่ฉีซึ่งเป็นม้ามืดที่เพิ่งเฉิดฉาย!
ที่ข้างหลังคนผู้นี้มีปีกที่มีสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกคู่หนึ่งควบแน่นอยู่ พวกมันมีความกว้างกว่าสิบหกจั้ง โดยมีแสงสีดำไหลผ่านระหว่างพวกมันและมีสายฟ้าผ่าที่ส่องประกายอยู่บนยอดพวกมัน ด้วยการสะบัดปีกเพียงครั้งเดียว ร่างกายของเขาก็เสมือนกับว่าได้ฉีกผ่านมิติและเวลา ไปปรากฏบนแท่นบวงสรวงในทันที และความเร็วของเขาก็รวดเร็วมากเสียจนแซงหน้าทุกคน ทำให้คนอื่น ๆ ต้องตกตะลึงอย่างสุดขีด!
“ปีกหงส์ทมิฬ!” ทุกคนจดจำต้นกำเนิดของปีกที่อยู่บนแผ่นหลังของเยว่ฉีได้ในทันที จึงทำให้สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียดและปั่นป่วน
หงส์ทมิฬเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดุร้ายในยุคบรรพกาลที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วสูงสุด และมันเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าโดยกำเนิด ปีกสีดำสนิทของมันแผ่ขยายออกไปได้ถึงสองลี้ จนสามารถปกคลุมท้องฟ้าและซ่อนดวงอาทิตย์ได้ และการกระพือปีกเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้มันเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงเก้าพันลี้ พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้าหรือดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลที่ไร้ก้นบึง ความเร็วของมันรวดเร็วมหาศาล และขนาดตัวที่ใหญ่โตของมันเพียงด้อยกว่าอีกาทะเลเหนือเท่านั้น!
ความสามารถทั้งหมดของหงส์ทมิฬถูกบรรจุไว้ในปีกสีดำสนิทคู่นี้ พื้นผิวของกระดูก เส้นเอ็น และปีกของมันถูกจารึกด้วยอักขระเต๋าของสายลมและสายฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านั้นคืออักขระเต๋าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นโดยกำเนิด หากผู้บ่มเพาะได้สิ่งเหล่านี้มา ก็สามารถสกัดเป็นสมบัติวิเศษเหินบินอันล้ำค่า ยิ่งกว่านั้น หากมีความเข้าใจอักขระเต๋าอย่างถ่องแท้ ก็สามารถหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้มันเต็มไปด้วยประโยชน์ที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
ความแข็งแกร่งของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เช่นหงส์ทมิฬนั้น ไม่ได้ไม่ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงจินตนาการถึงความยากลำบากในการครอบครองปีกเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทุกคนเห็นปีกหงส์ทมิฬที่อยู่บนแผ่นหลังของเยว่ฉี พวกเขาต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเห็นได้ชัดว่าปีกคู่นั้นได้รับการขัดเกลาจากแก่นแท้ของหงส์ทมิฬ!
‘หรือว่าสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในแท่นบวงสรวงจะต้องตกไปอยู่ในมือของชายผู้นี้จริง ๆ?’ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เมื่อเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของปีกที่เยว่ฉีครอบครองอยู่
“ต้องการแย่งสมบัติไปจากมือของข้า หวงฝู่ฉงหมิงหรือ? ไสหัวไปซะ!” ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ฉงหมิงตะโกนออกมาอย่างดุเดือด ในขณะที่ศัสตราวิเศษรูปร่างคล้ายกระสวยสีเงิน พุ่งฉีกอากาศขึ้นไปบนท้องฟ้า ศัสตราวิเศษรูปกระสวยนี้มีลักษณะแบนเหมือนปีกที่บางเฉียบ ขอบของมันคมและเป็นเงา ยามที่มันพุ่งออกไปในอากาศ ความเร็วของมันก็เร็วกว่าหงส์ทมิฬของเยว่ฉีเล็กน้อย!
ทว่าเป้าหมายของศัสตราวิเศษนี้กลับไม่ใช่เยว่ฉี แต่เป็นแท่นบวงสรวง!
ทันใดนั้น เฉินซีก็เข้าใจเจตนาของหวงฝู่ฉงหมิงทันที เนื่องจากเจ้าของขุมสมบัตินี้กำหนดม่านป้องกันที่ไร้รูปแบบอยู่หลายชั้น ผู้คนจึงไม่สามารถต่อสู้กันเองได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหากต้องการหยุดเยว่ฉีจากการยึดสมบัติ การทำลายแท่นบวงสรวงนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อแท่นบวงสรวงถูกทำลาย สมบัติที่อยู่บนยอดนั้นจะตกลงมาอย่างแน่นอน และในช่วงเวลาก่อนที่เยว่ฉีจะทันได้ตอบสนอง หวงฝู่ฉงหมิงก็จะสามารถชิงสมบัติไปได้ทั้งหมด
‘ช่างเป็นความคิดที่เหนือชั้นจริง ๆ!’
เฉินซีเองก็ยังต้องยอมรับในใจว่าการกระทำของหวงฝู่ฉงหมิงนั้นพิสูจน์ว่าเขาคืออัจฉริยะตัวจริง นอกจากนี้ด้วยความเร็วที่เขาสามารถกระทำการนี้ออกไปเผยให้เห็นถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่สูงมากของเขา
ฟิ้ว!
ภายใต้การเฉือนของใบมีดบางรูปกระสวยสีเงิน แท่นบวงสรวงนั้นถูกตัดเป็นสองท่อนเหมือนเต้าหู้จากตรงกลาง ทำให้มือของเยว่ฉีที่ยื่นออกไป คว้าอะไรไม่ได้เลยนอกจากอากาศ ในขณะที่สมบัติล้ำค่าที่ปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าก็ร่วงหล่นลงมา
จนถึงขณะนี้ ในที่สุด เฉินซีก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสมบัติล้ำค่าที่แผ่หมอกและแสงสีฟ้าออกมานั้น เป็นกุญแจสีฟ้ายาวสิบสองชุ่น!
สีของมันเหมือนกับสีฟ้าของท้องฟ้าใสกระจ่าง พื้นผิวของมันถูกสลักด้วยอักขระลึกลับจำนวนมาก และอักขระเหล่านี้ก็หมุนเวียนไปทั่ว ทำให้เกิดแสงสีฟ้าเหมือนดวงดาวจำนวนมากลอยออกมา และแสงสีฟ้าเหล่านั้นก็งดงามยิ่งนัก
เมื่อสมบัติที่มีรูปลักษณ์กุญแจชิ้นนี้ตกลงมา ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงก็เคลื่อนไหวเกือบจะพร้อมกัน และปฏิกิริยาของพวกเขาก็รวดเร็วมาก ราวกับว่าพวกเขาเดาได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
ครืนนน!
ศัสตราวิเศษที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวจำนวนมาก พุ่งฉีกผ่านอากาศไปบนท้องฟ้าด้วยแรงกระตุ้นที่น่าสะพรึงกลัวจนสั่นสะเทือนสวรรค์ ทำให้พื้นที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และทำให้สนามรบทั้งหมดตกในความโกลาหล
เป้าหมายของศัสตราวิเศษและเคล็ดวิชาทั้งหมดคือสมบัติล้ำค่าที่มีรูปร่างเป็นกุญแจ!
“บัดซบ! ไอ้สารเลว!” เยว่ฉีโกรธจนเปลวไฟปะทุออกจากดวงตาของเขา เมื่อเห็นสมบัติที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมได้หายไป เขาก็ตะโกนอย่างดุเดือดด้วยน้ำเสียงที่ดุร้ายและน่ากลัว
แต่ในเวลานี้ ทุกคนต่างต้องการที่จะยึดสมบัติเพื่อตัวเอง ดังนั้นจะมีใครจะสนใจความรู้สึกของเขา?
ทันทีที่แท่นบวงสรวงถูกแยกออกเป็นสองส่วน เฉินซีก็รู้สึกกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่ทันทีที่เขาตั้งใจจะเคลื่อนไหว กลิ่นอายแห่งความอันตรายที่อธิบายไม่ได้ก็เกาะกุมหัวใจของเขาทันที และมันทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกสันหลังของเขา ซึ่งเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดก่อนจะเบี่ยงหลบไปด้านข้างด้วยความรวดเร็วโดยสัญชาตญาณ
ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามที่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไร้ขอบเขตดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทันใดนั้น ซวนหนีก็หันกลับมา เสียงแท่นบวงสรวงที่ถูกทำลายดูจะทำให้มันเดือดดาลอย่างเต็มที่ มันยกขาที่หนาราวกับเสาหินของมันขึ้น ก่อนที่เปลวเพลิงสีทองจะผสมเข้ากับอักขระหลากสีที่ลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือที่กางออกของมัน จากนั้นมันก็ฟาดฝ่ามือของมันไปทางผู้คนที่อยู่หน้าแท่นบวงสรวง
เปลวเพลิงสีทองสั่นสะท้านท้องฟ้าและผืนดินตัดกันไปมาทั้งแนวนอนและแนวตั้งขณะที่มันปกคลุมโลกราวกับทะเลหินหลอมเหลวที่ถาโถมลงมาจากท้องฟ้า ประกอบกับเสียงคำรามอันน่าสยดสยองของซวนหนีที่ราวกับเสียงฟ้าร้อง แม้กระทั่งท้องฟ้าและผืนดินยังต้องสั่นสะเทือนเพราะมัน
ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ หรือเจิ้นหลิวชิง พวกเขาต่างก็หน้าถอดสีทันทีเมื่อรู้สึกถึงความรุนแรงของอันตราย จากนั้นพวกเขาก็ละทิ้งการยึดสมบัติและรีบหลีหนีไปให้ไกล!
“อ๊ากกกก!!” ทว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ตอบสนองช้ากว่า และพวกเขาก็ถูกเปลวไฟสีทองที่เหมือนหินหลอมเหลวกลืนกินทันทีก่อนจะถูกเผาจนไม่เหลือซาก และพวกเขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะตายไป
เพียงชั่วพริบตาเดียว ผู้บ่มเพาะหกสิบกว่าคนได้ตายอย่างอนาถในทะเลเปลวเพลิงสีทอง และฉากนั้นก็น่าสะเทือนใจมากจนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึงด้วยความหวาดกลัวและรู้สึกราวกับว่ากำลังตกลงไปในหลุมน้ำแข็งที่หนาวเย็นอย่างสุดขั้ว
‘มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!’
ผู้บ่มเพาะมากกว่าหกสิบคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ ซึ่งมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง นอกจากนี้ พวกเขาล้วนเป็นความหวังของนิกายที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา
แต่ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์เหล่านี้กลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของซวนหนีได้เลยแม้แต่อึดใจ อีกทั้งยังถูกเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างง่ายดาย ด้วยฉากที่น่าสยดสยองเช่นนี้ พวกเขาจะยังสงวนท่าทีไว้ได้อย่างไร?
ในบรรดาผู้บ่มเพาะนับร้อยคนที่พุ่งเข้าหาแท่นบวงสรวงนั้น ผู้บ่มเพาะกว่าหกสิบกลับเสียชีวิตในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น และมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวจนวิญญาณของพวกเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง ทำให้พวกเขาต่างพากันหนีไปให้ไกลแสนไกล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อยึดสมบัติอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง กลุ่มของอันเชี่ยนอวี้ เยว่ฉีและเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และพวกเขาก็เหลือน้อยกว่ายี่สิบคน
แต่นับว่าโชคดีที่ซวนหนีไม่ได้โจมตีทางด้านนี้อีกและหันหลังกลับไปเพื่อสังหารผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่หลบหนี
ที่ด้านหน้าของซวนหนียังมีผู้บ่มเพาะอีกหลายร้อยคนที่ลังเลที่จะก้าวมาข้างหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มหน้าแท่นบวงสรวงที่มีคนจำนวนน้อยกว่า ผู้บ่มเพาะหลายร้อยคนเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ต้องให้ความสนใจและทำลายล้างเป็นอันดับแรกในสายตาของซวนหนี
เดิมทีคนหลายร้อยคนเหล่านี้พยายามที่จะวนไปรอบ ๆ ซวนหนี และพุ่งไปยังจุดที่เฉินซีและคนอื่น ๆ อยู่อีกรอบ ทว่า เมื่อพวกเขาเห็นซวนหนีทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกว่าหกสิบคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว จึงทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งและหนีไปให้ไกลก่อนที่จะลังเลว่าจะหลบหนีดีหรือจะสู้เสี่ยงชีวิต
ทางด้านของเฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจกับกลุ่มคนที่ตกเป็นเป้าของซวนหนี ในเมื่อซวนหนีไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว มันก็เป็นโอกาสให้พวกเขายึดครองสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่น่ายินดีที่สุดสำหรับพวกเขาคือ สมบัติล้ำค่าที่มีรูปร่างเป็นกุญแจได้ตกลงไปบนพื้นห่างจากซวนหนีเพียงร้อยยี่สิบจั้ง ตราบเท่าที่พวกเขารวดเร็วพอ แม้ว่าซวนหนีจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเขาก็สามารถยึดสมบัติและหนีไปได้อย่างสมบูรณ์
‘โอกาส!’
‘โอกาสอันดีเลิศที่ฟ้าประทานมา!’
ดวงตาของทุกคนส่องประกายและพวกเขาก็กำลังจะเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ร่างที่ผอมบางและสูงโปร่งได้ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของพวกเขา และทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าสมบัติวิเศษรูปกุญแจราวกับว่าเขาปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ทำให้เขายื่นมือออกไปคว้าเอาสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ซึ่งผู้คนนับไม่ถ้วนต่างเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา
“จะเป็นมันได้อย่างไร”
“มารดามัน! ทำไมเป็นเจ้าเด็กคนนี้อีกแล้ว!? ทำไมมันต้องเอาจมูกไปจิ้มกับสิ่งดี ๆ อยู่ทุกที”
“บัดซบ! เจ้าเด็กคนนี้ไปซ่อนตัวที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ร่างผอมบางนั้นคือเฉินซีนั่นเอง เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีฉวยสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของขุมสมบัติไป หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็โกรธจนแทบกระอักเลือด และพวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าสับชายหนุ่มออกเป็นพัน ๆ ชิ้นแล้วกลืนเขาทั้งเป็น
แต่สิ่งที่น่าหดหู่ที่สุดสำหรับพวกเขาคือเจ้าของขุมสมบัตินี้ ได้สร้างม่านป้องกันที่ไร้รูปแบบ ทำให้พวกเขาไม่สามารถจัดการกับเฉินซี และยึดสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซีได้
เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ ‘โชคของไอ้เด็กบัดซบนี่มันท้าทายสวรรค์เกินไปหรือไม่! ไม่เพียงแต่มันได้รับสมบัติเท่านั้น แม้แต่สวรรค์ก็ดูเหมือนจะช่วยเหลือมันอยู่เสมอ และมันก็ไม่เปิดโอกาสให้เราฆ่าและยึดสมบัติจากไอ้เด็กบัดซบนี่เลย! บัดซบ! บัดซบที่สุด! อ๊ากกกกก!’