บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 243 พลังทำลายล้างอันดุดันของซวนหนี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 243 พลังทำลายล้างอันดุดันของซวนหนี

บทที่ 243 พลังทำลายล้างอันดุดันของซวนหนี

ตู้มมมม!!

ฝ่ามือของซวนหนีฟาดลงมาราวกับเสาสวรรค์ได้พังทลายลง และพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากใจกลางฝ่ามือของมัน กลายเป็นเปลวเพลิงสีทองแผ่ลงมาด้วยพลังที่ท่วมท้น

ทันใดนั้น คลื่นแห่งความทุกข์ระทมและเสียงร้องอันโหยหวนก็ดังขึ้นจากผู้บ่มเพาะหลายสิบคนที่ไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา และถูกกวาดเข้าไปในวงเพลิงสีทอง พวกเขาทั้งหมดสลายกลายเป็นความว่างเปล่าและถูกทำลายล้างในทันที

ด้วยการฟาดเพียงฝ่ามือเดียว ก็สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหลายสิบคนได้อย่างง่ายดาย!

พลังทำลายล้างที่ดุดันของซวนหนี ทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันที

แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้บ่มเพาะมากกว่าหนึ่งร้อยคน ที่ฉวยโอกาสนี้วนไปรอบ ๆ ร่างกายอันใหญ่โตของซวนหนี และเริ่มพุ่งเข้าหาแท่นบวงสรวง

ในบรรดาคนเหล่านี้ ได้แก่ อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ เจิ้นหลิวชิง และกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง พวกเขาล้วนมีฐานการบ่มเพาะที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ และศัสตราวิเศษที่พวกเขาใช้ล้วนเป็นระดับปฐพีขั้นสุดยอด ดังนั้นที่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีจากซวนหนีได้ จึงเป็นที่เข้าใจได้

เฉินซีก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่อ้อมไปด้านหลังสำเร็จเช่นกัน เนื่องจากเขาเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมที่มีความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ เมื่อรวมเข้ากับการใช้เคล็ดวาตะเหินทะยาน ทำให้ความเร็วของเขาไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นแม้แต่นิดเดียว จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าสู่ระยะของแท่นบวงสรวงได้อย่างหวุดหวิด

ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ รูปลักษณ์ของแท่นบวงสรวงก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน มันมีความสูงถึงร้อยยี่สิบจั้ง มีลักษณะกลมมน และดูเหมือนจะสร้างจากหินหยกที่เย็นเยียบและแข็งแกร่ง นอกจากนี้ทั่วทั้งแท่นยังถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีลึกลับที่อ้างว้างและมืดหม่น

ที่ด้านบนสุดของแท่นบวงสรวง หมอกแสงสีฟ้าถูกควบแน่นจนเป็นดวงแสงที่ดูเหมือนดวงอาทิตย์สีฟ้าสว่างเจิดจ้าซึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้า อีกทั้งยังเปล่งรัศมีที่พลุ่งพล่านและคลุมเครือ และภายในนั้นก็มีสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้!

หลังจากที่พวกเขาหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับซวนหนี ขบวนที่ทุกคนก่อตัวขึ้นไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อยและมุ่งตรงไปที่ด้านบนของแท่นบวงสรวง และพวกเขาทั้งหมดต่างต้องการที่จะยึดสมบัติล้ำค่าตั้งแต่แรกที่เป็นไปได้ ทำให้ที่ตรงนั้นเกิดความวุ่นวายไปหมด ทว่าคนที่อยู่ข้างหน้าสุดกลับไม่ใช่เจิ้นหลิวชิงหรือหวงฝู่ฉงหมิง แต่เป็นเยว่ฉีซึ่งเป็นม้ามืดที่เพิ่งเฉิดฉาย!

ที่ข้างหลังคนผู้นี้มีปีกที่มีสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกคู่หนึ่งควบแน่นอยู่ พวกมันมีความกว้างกว่าสิบหกจั้ง โดยมีแสงสีดำไหลผ่านระหว่างพวกมันและมีสายฟ้าผ่าที่ส่องประกายอยู่บนยอดพวกมัน ด้วยการสะบัดปีกเพียงครั้งเดียว ร่างกายของเขาก็เสมือนกับว่าได้ฉีกผ่านมิติและเวลา ไปปรากฏบนแท่นบวงสรวงในทันที และความเร็วของเขาก็รวดเร็วมากเสียจนแซงหน้าทุกคน ทำให้คนอื่น ๆ ต้องตกตะลึงอย่างสุดขีด!

“ปีกหงส์ทมิฬ!” ทุกคนจดจำต้นกำเนิดของปีกที่อยู่บนแผ่นหลังของเยว่ฉีได้ในทันที จึงทำให้สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียดและปั่นป่วน

หงส์ทมิฬเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดุร้ายในยุคบรรพกาลที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วสูงสุด และมันเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าโดยกำเนิด ปีกสีดำสนิทของมันแผ่ขยายออกไปได้ถึงสองลี้ จนสามารถปกคลุมท้องฟ้าและซ่อนดวงอาทิตย์ได้ และการกระพือปีกเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้มันเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงเก้าพันลี้ พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้าหรือดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลที่ไร้ก้นบึง ความเร็วของมันรวดเร็วมหาศาล และขนาดตัวที่ใหญ่โตของมันเพียงด้อยกว่าอีกาทะเลเหนือเท่านั้น!

ความสามารถทั้งหมดของหงส์ทมิฬถูกบรรจุไว้ในปีกสีดำสนิทคู่นี้ พื้นผิวของกระดูก เส้นเอ็น และปีกของมันถูกจารึกด้วยอักขระเต๋าของสายลมและสายฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านั้นคืออักขระเต๋าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นโดยกำเนิด หากผู้บ่มเพาะได้สิ่งเหล่านี้มา ก็สามารถสกัดเป็นสมบัติวิเศษเหินบินอันล้ำค่า ยิ่งกว่านั้น หากมีความเข้าใจอักขระเต๋าอย่างถ่องแท้ ก็สามารถหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้มันเต็มไปด้วยประโยชน์ที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ

ความแข็งแกร่งของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เช่นหงส์ทมิฬนั้น ไม่ได้ไม่ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงจินตนาการถึงความยากลำบากในการครอบครองปีกเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ เมื่อทุกคนเห็นปีกหงส์ทมิฬที่อยู่บนแผ่นหลังของเยว่ฉี พวกเขาต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเห็นได้ชัดว่าปีกคู่นั้นได้รับการขัดเกลาจากแก่นแท้ของหงส์ทมิฬ!

‘หรือว่าสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในแท่นบวงสรวงจะต้องตกไปอยู่ในมือของชายผู้นี้จริง ๆ?’ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เมื่อเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของปีกที่เยว่ฉีครอบครองอยู่

“ต้องการแย่งสมบัติไปจากมือของข้า หวงฝู่ฉงหมิงหรือ? ไสหัวไปซะ!” ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ฉงหมิงตะโกนออกมาอย่างดุเดือด ในขณะที่ศัสตราวิเศษรูปร่างคล้ายกระสวยสีเงิน พุ่งฉีกอากาศขึ้นไปบนท้องฟ้า ศัสตราวิเศษรูปกระสวยนี้มีลักษณะแบนเหมือนปีกที่บางเฉียบ ขอบของมันคมและเป็นเงา ยามที่มันพุ่งออกไปในอากาศ ความเร็วของมันก็เร็วกว่าหงส์ทมิฬของเยว่ฉีเล็กน้อย!

ทว่าเป้าหมายของศัสตราวิเศษนี้กลับไม่ใช่เยว่ฉี แต่เป็นแท่นบวงสรวง!

ทันใดนั้น เฉินซีก็เข้าใจเจตนาของหวงฝู่ฉงหมิงทันที เนื่องจากเจ้าของขุมสมบัตินี้กำหนดม่านป้องกันที่ไร้รูปแบบอยู่หลายชั้น ผู้คนจึงไม่สามารถต่อสู้กันเองได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหากต้องการหยุดเยว่ฉีจากการยึดสมบัติ การทำลายแท่นบวงสรวงนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อแท่นบวงสรวงถูกทำลาย สมบัติที่อยู่บนยอดนั้นจะตกลงมาอย่างแน่นอน และในช่วงเวลาก่อนที่เยว่ฉีจะทันได้ตอบสนอง หวงฝู่ฉงหมิงก็จะสามารถชิงสมบัติไปได้ทั้งหมด

‘ช่างเป็นความคิดที่เหนือชั้นจริง ๆ!’

เฉินซีเองก็ยังต้องยอมรับในใจว่าการกระทำของหวงฝู่ฉงหมิงนั้นพิสูจน์ว่าเขาคืออัจฉริยะตัวจริง นอกจากนี้ด้วยความเร็วที่เขาสามารถกระทำการนี้ออกไปเผยให้เห็นถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่สูงมากของเขา

ฟิ้ว!

ภายใต้การเฉือนของใบมีดบางรูปกระสวยสีเงิน แท่นบวงสรวงนั้นถูกตัดเป็นสองท่อนเหมือนเต้าหู้จากตรงกลาง ทำให้มือของเยว่ฉีที่ยื่นออกไป คว้าอะไรไม่ได้เลยนอกจากอากาศ ในขณะที่สมบัติล้ำค่าที่ปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าก็ร่วงหล่นลงมา

จนถึงขณะนี้ ในที่สุด เฉินซีก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสมบัติล้ำค่าที่แผ่หมอกและแสงสีฟ้าออกมานั้น เป็นกุญแจสีฟ้ายาวสิบสองชุ่น!

สีของมันเหมือนกับสีฟ้าของท้องฟ้าใสกระจ่าง พื้นผิวของมันถูกสลักด้วยอักขระลึกลับจำนวนมาก และอักขระเหล่านี้ก็หมุนเวียนไปทั่ว ทำให้เกิดแสงสีฟ้าเหมือนดวงดาวจำนวนมากลอยออกมา และแสงสีฟ้าเหล่านั้นก็งดงามยิ่งนัก

เมื่อสมบัติที่มีรูปลักษณ์กุญแจชิ้นนี้ตกลงมา ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงก็เคลื่อนไหวเกือบจะพร้อมกัน และปฏิกิริยาของพวกเขาก็รวดเร็วมาก ราวกับว่าพวกเขาเดาได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก

ครืนนน!

ศัสตราวิเศษที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวจำนวนมาก พุ่งฉีกผ่านอากาศไปบนท้องฟ้าด้วยแรงกระตุ้นที่น่าสะพรึงกลัวจนสั่นสะเทือนสวรรค์ ทำให้พื้นที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และทำให้สนามรบทั้งหมดตกในความโกลาหล

เป้าหมายของศัสตราวิเศษและเคล็ดวิชาทั้งหมดคือสมบัติล้ำค่าที่มีรูปร่างเป็นกุญแจ!

“บัดซบ! ไอ้สารเลว!” เยว่ฉีโกรธจนเปลวไฟปะทุออกจากดวงตาของเขา เมื่อเห็นสมบัติที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมได้หายไป เขาก็ตะโกนอย่างดุเดือดด้วยน้ำเสียงที่ดุร้ายและน่ากลัว

แต่ในเวลานี้ ทุกคนต่างต้องการที่จะยึดสมบัติเพื่อตัวเอง ดังนั้นจะมีใครจะสนใจความรู้สึกของเขา?

ทันทีที่แท่นบวงสรวงถูกแยกออกเป็นสองส่วน เฉินซีก็รู้สึกกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่ทันทีที่เขาตั้งใจจะเคลื่อนไหว กลิ่นอายแห่งความอันตรายที่อธิบายไม่ได้ก็เกาะกุมหัวใจของเขาทันที และมันทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกสันหลังของเขา ซึ่งเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดก่อนจะเบี่ยงหลบไปด้านข้างด้วยความรวดเร็วโดยสัญชาตญาณ

ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามที่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไร้ขอบเขตดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทันใดนั้น ซวนหนีก็หันกลับมา เสียงแท่นบวงสรวงที่ถูกทำลายดูจะทำให้มันเดือดดาลอย่างเต็มที่ มันยกขาที่หนาราวกับเสาหินของมันขึ้น ก่อนที่เปลวเพลิงสีทองจะผสมเข้ากับอักขระหลากสีที่ลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือที่กางออกของมัน จากนั้นมันก็ฟาดฝ่ามือของมันไปทางผู้คนที่อยู่หน้าแท่นบวงสรวง

เปลวเพลิงสีทองสั่นสะท้านท้องฟ้าและผืนดินตัดกันไปมาทั้งแนวนอนและแนวตั้งขณะที่มันปกคลุมโลกราวกับทะเลหินหลอมเหลวที่ถาโถมลงมาจากท้องฟ้า ประกอบกับเสียงคำรามอันน่าสยดสยองของซวนหนีที่ราวกับเสียงฟ้าร้อง แม้กระทั่งท้องฟ้าและผืนดินยังต้องสั่นสะเทือนเพราะมัน

ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ หรือเจิ้นหลิวชิง พวกเขาต่างก็หน้าถอดสีทันทีเมื่อรู้สึกถึงความรุนแรงของอันตราย จากนั้นพวกเขาก็ละทิ้งการยึดสมบัติและรีบหลีหนีไปให้ไกล!

“อ๊ากกกก!!” ทว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ตอบสนองช้ากว่า และพวกเขาก็ถูกเปลวไฟสีทองที่เหมือนหินหลอมเหลวกลืนกินทันทีก่อนจะถูกเผาจนไม่เหลือซาก และพวกเขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะตายไป

เพียงชั่วพริบตาเดียว ผู้บ่มเพาะหกสิบกว่าคนได้ตายอย่างอนาถในทะเลเปลวเพลิงสีทอง และฉากนั้นก็น่าสะเทือนใจมากจนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึงด้วยความหวาดกลัวและรู้สึกราวกับว่ากำลังตกลงไปในหลุมน้ำแข็งที่หนาวเย็นอย่างสุดขั้ว

‘มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!’

ผู้บ่มเพาะมากกว่าหกสิบคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ ซึ่งมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง นอกจากนี้ พวกเขาล้วนเป็นความหวังของนิกายที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา

แต่ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์เหล่านี้กลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของซวนหนีได้เลยแม้แต่อึดใจ อีกทั้งยังถูกเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างง่ายดาย ด้วยฉากที่น่าสยดสยองเช่นนี้ พวกเขาจะยังสงวนท่าทีไว้ได้อย่างไร?

ในบรรดาผู้บ่มเพาะนับร้อยคนที่พุ่งเข้าหาแท่นบวงสรวงนั้น ผู้บ่มเพาะกว่าหกสิบกลับเสียชีวิตในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น และมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวจนวิญญาณของพวกเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง ทำให้พวกเขาต่างพากันหนีไปให้ไกลแสนไกล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อยึดสมบัติอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง กลุ่มของอันเชี่ยนอวี้ เยว่ฉีและเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และพวกเขาก็เหลือน้อยกว่ายี่สิบคน

แต่นับว่าโชคดีที่ซวนหนีไม่ได้โจมตีทางด้านนี้อีกและหันหลังกลับไปเพื่อสังหารผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่หลบหนี

ที่ด้านหน้าของซวนหนียังมีผู้บ่มเพาะอีกหลายร้อยคนที่ลังเลที่จะก้าวมาข้างหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มหน้าแท่นบวงสรวงที่มีคนจำนวนน้อยกว่า ผู้บ่มเพาะหลายร้อยคนเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ต้องให้ความสนใจและทำลายล้างเป็นอันดับแรกในสายตาของซวนหนี

เดิมทีคนหลายร้อยคนเหล่านี้พยายามที่จะวนไปรอบ ๆ ซวนหนี และพุ่งไปยังจุดที่เฉินซีและคนอื่น ๆ อยู่อีกรอบ ทว่า เมื่อพวกเขาเห็นซวนหนีทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกว่าหกสิบคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว จึงทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งและหนีไปให้ไกลก่อนที่จะลังเลว่าจะหลบหนีดีหรือจะสู้เสี่ยงชีวิต

ทางด้านของเฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจกับกลุ่มคนที่ตกเป็นเป้าของซวนหนี ในเมื่อซวนหนีไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว มันก็เป็นโอกาสให้พวกเขายึดครองสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย

สิ่งที่น่ายินดีที่สุดสำหรับพวกเขาคือ สมบัติล้ำค่าที่มีรูปร่างเป็นกุญแจได้ตกลงไปบนพื้นห่างจากซวนหนีเพียงร้อยยี่สิบจั้ง ตราบเท่าที่พวกเขารวดเร็วพอ แม้ว่าซวนหนีจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเขาก็สามารถยึดสมบัติและหนีไปได้อย่างสมบูรณ์

‘โอกาส!’

‘โอกาสอันดีเลิศที่ฟ้าประทานมา!’

ดวงตาของทุกคนส่องประกายและพวกเขาก็กำลังจะเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ร่างที่ผอมบางและสูงโปร่งได้ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของพวกเขา และทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าสมบัติวิเศษรูปกุญแจราวกับว่าเขาปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ทำให้เขายื่นมือออกไปคว้าเอาสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ซึ่งผู้คนนับไม่ถ้วนต่างเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา

“จะเป็นมันได้อย่างไร”

“มารดามัน! ทำไมเป็นเจ้าเด็กคนนี้อีกแล้ว!? ทำไมมันต้องเอาจมูกไปจิ้มกับสิ่งดี ๆ อยู่ทุกที”

“บัดซบ! เจ้าเด็กคนนี้ไปซ่อนตัวที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน”

ร่างผอมบางนั้นคือเฉินซีนั่นเอง เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีฉวยสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของขุมสมบัติไป หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็โกรธจนแทบกระอักเลือด และพวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าสับชายหนุ่มออกเป็นพัน ๆ ชิ้นแล้วกลืนเขาทั้งเป็น

แต่สิ่งที่น่าหดหู่ที่สุดสำหรับพวกเขาคือเจ้าของขุมสมบัตินี้ ได้สร้างม่านป้องกันที่ไร้รูปแบบ ทำให้พวกเขาไม่สามารถจัดการกับเฉินซี และยึดสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซีได้

เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ ‘โชคของไอ้เด็กบัดซบนี่มันท้าทายสวรรค์เกินไปหรือไม่! ไม่เพียงแต่มันได้รับสมบัติเท่านั้น แม้แต่สวรรค์ก็ดูเหมือนจะช่วยเหลือมันอยู่เสมอ และมันก็ไม่เปิดโอกาสให้เราฆ่าและยึดสมบัติจากไอ้เด็กบัดซบนี่เลย! บัดซบ! บัดซบที่สุด! อ๊ากกกกก!’

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท