บทที่ 256 การรักษาหลิงไป๋
บทที่ 256 การรักษาหลิงไป๋
ในท้องทะเลแห่งลมปราณที่ไร้ขอบเขตของเฉินซี สิ่งที่เรียกว่าทะเลสาบปราณแท้ที่กว้างใหญ่เสมือนมหาสมุทรนั้นได้หายไปแล้ว มันว่างเปล่าและเหือดแห้งจนหมดสิ้น ทั้งยังเต็มไปรอยแผลอยู่ทุกหนทุกแห่งราวกับผืนดินที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในตอนนี้มันได้พังทลายลงโดยสิ้นเชิง
แต่น่าแปลกใจตรงที่ระหว่างรอยแผลเหล่านั้นกลับมีดวงแสงสีเทาจำนวนมากล่องลอยไปมาราวกับแสงดาวที่ส่องประกายอย่างงดงาม และเมื่อมองอย่างระมัดระวัง ดวงแสงเหล่านี้ก็ได้หลอมรวมเข้ากับรอยแผลบนท้องทะเลแห่งลมปราณของเฉินซี และทำให้รอยแผลเหล่านั้นได้รับการซ่อมแซมด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
แค่มองแวบเดียว ก็ทำให้สงสัยว่าก่อนหน้านี้มันเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่หรือเปล่า
เมื่อเฉินซีเห็นว่าอาการบาดเจ็บบนท้องทะเลแห่งลมปราณของตัวเองได้รับการฟื้นฟูไปกว่าครึ่งแล้ว มันก็ทำให้เขาตกตะลึงในทันที
เท่าที่เขาคาดการณ์ ท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาจะต้องเหมือนกับถุงน้ำที่เต็มไปด้วยรูและเป็นภาพที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะมองได้ ซึ่งมันอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูมากกว่านี้ แต่เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าเขาจะได้เห็นสิ่งอัศจรรย์เช่นนี้?
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ต้องเป็นผลมาจากดวงแสงสีเทาเหล่านั้น!
เฉินซีพบว่า ดวงแสงสีเทาเหล่านั้นกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขา และเมื่อเขาจดจำดวงแสงเหล่านี้ได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
แท้จริงแล้ว ดวงแสงสีเทาเหล่านี้คือ ธุลีโกลาหล!
มันต้องใช่อย่างแน่นอน ร่องรอยของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากดวงแสงเหล่านั้นเป็นกลิ่นอายของธุลีโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ยังรู้สึกงงงวยว่าเหตุใดธุลีโกลาหลถึงปรากฏขึ้นในท้องทะเลแห่งลมปราณโดยไม่มีเหตุผล
อันที่จริง บนแผ่นหลังของเฉินซีนั้น มีอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าตัวที่ปรากฏในรูปแบบของตำหนักทั้งเก้าแห่ง อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้าอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง ส่วนธุลีโกลาหลก็สถิตอยู่ตรงกลางของอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้า
ธุลีโกลาหลของอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้า ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนามของอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราพฤกษาที่สอง แร่โลหะนิรนามของอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราทองคำที่เจ็ด อัญมณีเพลิงนิรนามของอักขระจ้าววิญญาณแห่งเปลวเพลิงที่สาม และมุกวารีนิรนามของอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราวารีที่เก้า คือสมบัติวิเศษที่เฉินซีได้รับมาจากชั้นสี่สัญลักษณ์ของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้น สมบัติวิเศษทั้งห้านี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถแผ่แก่นแท้ของธาตุทั้งห้า เพื่อขัดเกลาร่างกายของเขา
เป็นเพราะการมีอยู่ของสมบัติทั้งห้านี้ การบ่มเพาะแปรสภาพกายาของเฉินซีจึงก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมากและสามารถทะลวงผ่านได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งที่อยู่ในซากปรักหักพังห้าธาตุของห้วงทะเลทรายมรณะ เขาได้อาศัยพลังของสมบัติทั้งห้านี้จนเสมือนกับปลาได้น้ำที่ท่องทะยานไปทั่วฝูงสัตว์อสูร ก่อนที่จะดูดซับแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าภายในร่างของสัตว์อสูรเหล่านั้น ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสมบัติวิเศษทั้งห้านี้ ธุลีโกลาหลเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะธุลีโกลาหลนั้นสามารถเปลี่ยนให้เป็นแก่นแท้สำคัญของธาตุใดก็ได้ ก่อนจะหล่อเลี้ยงสมบัติอีกสี่ชิ้นเสริมเข้าไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือ สมบัติทั้งสี่นี้ถูกพัฒนามาจากภายในธุลีโกลาหล!
ในตอนนี้ พลังงานของธุลีโกลาหลได้เข้าสู่ร่างกายเพื่อฟื้นฟูท้องทะเลแห่งลมปราณของเขา และแม้ว่าเฉินซีจะทราบอยู่แล้วว่า ความสามารถของธุลีโกลาหลจะไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังประทับใจกับความมหัศจรรย์ที่น่ายินดีอย่างกะทันหันนี้
“หรือว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริง? ณ จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของโลก ก่อนที่ความโกลาหลจะถูกแยกออกและโลกได้ก่อตัวขึ้น เทพอสูรและวิญญาณพวกแรกได้ถือกำเนิดขึ้นจากธุลีโกลาหล?” แม้ว่าปราณโกลาหลจะถูกเรียกว่าเป็นมารดาของทุกสิ่งในโลก แต่ปราณโกลาหลนั้นก็เกิดมาจากธุลีโกลาหลเช่นเดียวกัน ดังนั้นธุลีโกลาหลจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นมารดาแห่งสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมันมีความสามารถในการหล่อเลี้ยง พัฒนา และเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ดังนั้นมันจึงส่งผลต่อการฟื้นฟูท้องทะเลแห่งลมปราณ”
เฉินซีไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของธุลีโกลาหล เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาและความพยายามในการฟื้นฟูท้องทะเลแห่งลมปราณ และสิ่งนี้ช่วยประหยัดเวลาไปได้มากอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ตามการคาดการณ์ของเขา การฟื้นฟูท้องทะเลแห่งลมปราณให้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนอีกต่อไป
‘เอ๊ะ? ผลดอกบัวดวงจิตทองคำหรือ?’ เมื่อเฉินซีเห็นผลที่เรืองแสงสีทองลอยอยู่กลางอากาศในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขา ทันใดนั้น คลื่นแห่งความตื่นเต้นได้พวยพุ่งออกมาจากภายในจิตใจเมื่อเขานึกความคิดที่ยอดเยี่ยมออก ‘เฉินฮ่าวได้กินผลดอกบัววิญญาณเพลิง ทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นกายาดวงจิตอัคคีและมันก็ไม่ต่างจากการได้เกิดใหม่ ในตอนนี้ ร่างของหลิงไป๋ที่เป็นกระบี่ไผ่ทองคำนิลนั้น แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จึงทำให้เขาหมดสติอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ถ้าข้าใช้ผลดอกบัวดวงจิตทองคำนี้ เพื่อสร้างร่างกายของเขาขึ้นมาใหม่ เขาจะสามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้หรือเปล่า?’
หลิงไป๋ต่อสู้กับหวงฝู่ฉงหมิงและผู้บ่มเพาะคนอื่นเพียงลำพัง อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บของเฉินซีอย่างที่เทียบกันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากร่างกายที่พิเศษของหลิงไป๋ การผสมผสานระหว่างวิญญาณกระบี่กับกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่เป็นศัสตราวิเศษ ทำให้ยารักษาทั้งหมดดูเหมือนจะไร้ประโยชน์สำหรับเขา ดังนั้นจึงทำให้เขาหลับใหลไม่ได้สติมาตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้
สิ่งนี้เป็นเรื่องกังวลในใจของเฉินซีมาโดยตลอด และมันเป็นที่มาของความรู้สึกผิดต่อหลิงไป๋
เมื่อครั้งที่พวกเขาอยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะ ครั้งหนึ่งหลิงไป๋เคยสละชีวิตของเขาเพื่อขัดขวางการโจมตีของชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานที่พุ่งตรงมายังเฉินซี และหากเหตุการณ์ไม่คาดฝันไม่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน หลิงไป๋ก็คงจะเสียชีวิต ต่อมาเป็นเพราะพวกเขาได้พบกับ ‘ศิษย์พี่’ ลึกลับของเฉินซี จึงทำให้หลิงไป๋สามารถฟื้นตัวได้
แต่เมื่อสามเดือนก่อน เพื่อที่จะคว้าโอกาสรอดของเฉินซีและตระกูลเฉิน หลิงไป๋จึงได้พุ่งออกไปข้างหน้าโดยปราศจากความลังเลที่จะสละชีวิตของเขา เพื่อพยายามกอบกู้สถานการณ์ที่คอขาดบาดตาย ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เขาหมดสติจนกระทั่งตอนนี้
ถ้าเฉินซีไม่สามารถรักษาหลิงไป๋ได้ เขาก็คงรู้สึกผิดไปตลอดกาล เนื่องจากได้เขาติดหนี้หลิงไป๋มามากเกินไป
‘ข้ายังไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นไรดี ดังนั้นข้าน่าจะลองถามเฉินฮ่าวเสียก่อน’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็ไม่อาจนั่งตรงนั้นได้อีกต่อไป จากนั้นจึงลุกยืนขึ้นและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
…
ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉิน เฉินฮ่าวขมวดคิ้ว “ท่านพี่ ตามที่ท่านกล่าวมานั้น ร่างกายของหลิงไป๋พิเศษและแตกต่างจากมนุษย์อย่างเราโดยสิ้นเชิง แม้ว่าท่านอาจารย์ของข้าจะยื่นมาเข้าช่วย ข้าเกรงว่ามันจะไม่มีประโยชน์”
เฉินซีจ้องมองอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “หรือว่ามีบางสิ่งที่เราควรศึกษาก่อนที่จะใช้ผลดอกบัวดวงจิตทองคำเพื่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว เมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์ช่วยสร้างร่างกายของข้าขึ้นมาใหม่ด้วยผลดอกบัววิญญาณเพลิง เขาได้บ่มเพาะเคล็ดวิชาลับประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ และเขายังต้องเสี่ยงชีวิตก่อนที่มันจะประสบความสำเร็จ” เฉินฮ่าวพยักหน้าพร้อมกับตอบออกไป “ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า เคล็ดวิชานี้ได้ท้าทายสวรรค์และเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เว้นแต่จะมีดวงจิตแห่งเต๋าที่มั่นคงและความตั้งใจที่แน่วแน่ มิฉะนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ท่านพี่ ข้าจะกลับไปที่นิกายเพื่อสอบถามจากท่านอาจารย์ ด้วยความสามารถของท่านอาจารย์ เขาน่าจะคิดหาวิธีได้” เฉินฮ่าวรู้สึกกระวนกระวายในใจทันทีเมื่อเห็นเฉินซีเงียบไป ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ
เฉินซีดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ และดวงตาของเขาก็ส่องประกายขณะที่เขาโบกมือ “ไม่จำเป็น จู่ ๆ ข้าก็พอนึกขึ้นได้ว่ามีวิธีอื่นที่จะทำให้สำเร็จ” ขณะที่เขากล่าว เขาก็ออกจากห้องโถงใหญ่อย่างเร่งรีบ
‘ปกติท่านพี่มักจะสงบและเยือกเย็นอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขากลับร้อนรนกระวนกระวาย ปฏิกิริยาเช่นนี้พบเห็นได้ยากนัก’ เฉินฮ่าวทอดถอนหายใจอย่างไร้อารมณ์ขณะเขาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของเฉินซีที่จากไป
อันที่จริง เขาเองก็รู้ถึงสาเหตุที่เฉินซีเป็นแบบนี้ ก็เป็นเพราะเฉินซีเป็นห่วงหลิงไป๋มากเกินไป หากไม่ใช่เพราะสหายตัวน้อยคนนี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเขา แม้แต่ตระกูลเฉินทั้งหมดก็คงถูกทำลายล้างไปแล้ว
เฉินฮ่าวถามตัวเองว่า ถ้าหากเป็นเขา เขาก็จะมีท่าทีเหมือนกับพี่ชายอย่างแน่นอน และเฝ้าหาทุกวิธีทางที่จะช่วยหลิงไป๋ มิฉะนั้น เขาคงไม่สามารถให้อภัยแก่ตัวเองได้ตลอดชีวิต
แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดให้แก่เฉินฮ่าวนั้น ตั้งแต่เรื่องในวันนี้ พี่ชายของเขากลับไม่เคยก้าวออกจากห้องเลยสักก้าวเดียวและเฉินซีดูเหมือนจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เขารู้สึกสับสนงุนงง
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งเดือนจึงผ่านไปในพริบตา
ในวันนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และรอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากขณะที่เขามองไปที่หลิงไป๋ซึ่งหลับใหลอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์พร้อมกับกล่าวในใจว่า ‘ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม โชคชะตาก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้แล้ว’
ในช่วงที่ผ่านมานี้ ท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ยังได้ใช้เวลาถึงครึ่งเดือนเพื่อให้ปราณแท้ของเขาฟื้นฟูสู่สภาพสูงสุด ในขณะนี้ ทะเลปราณแท้ที่กว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรได้ปรากฏขึ้นอยู่ในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาอีกครั้ง อีกทั้งมันยังขยายตัวขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน และกระแสน้ำวนที่ก่อตัวขึ้นจากประตูแห่งชีวิตที่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน จนทำให้ประตูแห่งชีวิตเปิดออก และเผยให้เห็นแกนทองคำที่กำเนิดขึ้นอยู่ภายใน
ในที่สุดเขาก็ใกล้ที่จะบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว
แน่นอนว่าการบรรลสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางนั้นไม่ง่ายดายอย่างที่คิด ตรงกันข้าม เมื่อเขาได้บรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง พลังชีวิตในร่างกายก็เดือดพล่าน ปราณแท้ในทะเลปราณแท้จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะกำเนิดบททดสอบครั้งใหญ่ของลมและไฟอยู่ภายในประตูแห่งชีวิต หากสามารถเอาชนะบททดสอบนี้ได้ จึงจะเรียกสามารถเรียกตนเองว่าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
แม้ว่าบททดสอบนี้จะไม่น่ากลัวเท่ากับทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็เป็นช่องว่างที่เอาชนะได้ยากสำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไป ในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ ทุก ๆ สิบคน จะมีอย่างน้อยเจ็ดคนที่จะพินาศในระหว่างบททดสอบขณะที่ก้าวไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการถึงความน่ากลัวของบททดสอบอันยิ่งใหญ่ของลมและไฟจากสิ่งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีอยู่ห่างจากขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกังวลสักเท่าใด และไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเลย เพราะตอนนี้สมาธิทั้งหมดของเขาอยู่ที่หลิงไป๋ และเขาไม่สามารถสนใจเรื่องอื่นได้อย่างเต็มที่
หลังจากที่เขาลุกขึ้นจากเตียง เฉินซีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และรวบรวมพลังในร่างกายของเขาพุ่งไปยังจี้หยกที่อยู่กลางฝ่ามือขวาของเขา
แท้จริงแล้ว เขาต้องการเข้าไปในเคหาบ่มเพาะของเทพฝูซีเพื่อพบกับจี้อวี๋
มีเพียงจิตวิญญาณของเคหาบ่มเพาะที่ดำรงอยู่มานานนับล้านปีเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยหลิงไป๋ได้ และที่หลิงไป๋สามารถบ่มเพาะร่างกายได้โดยใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลนั้น ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของจี้อวี๋
โอม!
เสียงร้องประหลาดและชัดเจนได้ดังขึ้นภายในห้องอันเงียบสงบ จากนั้นอากาศก็ผันผวนอย่างรุนแรงจนเกิดระลอกคลื่น จากนั้นหลุมดำสนิทที่ดูเหมือนทางเข้าก็ปรากฏขึ้นในพริบตา มันมีความกว้างพอสำหรับคนเพียงคนเดียวเดินเข้าไปได้
เฉินซีเดินเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทว่าก็มีข้อจำกัดในการเข้าสู่เคหาบ่มเพาะอยู่เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาคือตอนที่เขาได้รับเคหาบ่มเพาะของเทพฝูซีเป็นครั้งแรก และถือว่าเป็นเพียงการเปิดใช้งานเคหาบ่มเพาะเท่านั้น ทั้งยังทำให้เขาได้เป็นศิษย์ของเทพฝูซีผู้เป็นนายแห่งเคหาบ่มเพาะ
แต่ถ้าเขาต้องการเข้าไปในเคหาบ่มเพาะอีกครั้ง เขาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบางอย่างก่อน จึงจะสามารถผ่านข้อจำกัดที่วางไว้ในจี้หยกเพื่อเข้าสู่เคหาบ่มเพาะของเทพฝูซีได้ ยกตัวอย่างเช่น เงื่อนไขในการเข้าสู่เคหาบ่มเพาะเป็นครั้งที่สองนั้นคือการบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งในการแปรสภาพร่างกายและบ่มเพาะลมปราณ
ในทางกลับกัน เงื่อนไขในการเข้าสู่เคหาบ่มเพาะของเทพฝูซีเป็นครั้งที่สามคือการบรรลุขอบเขตเคหาทองคำทั้งในการแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะลมปราณ ซึ่งอันที่จริง เมื่อครั้งที่เฉินซีอยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะ เขาก็ได้บรรลุขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แล้วทั้งในการแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะปราณภายใน ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าสู่เคหาบ่มเพาะของเทพฝูซีได้
…
ภายในเคหาบ่มเพาะของเทพฝูซี ผืนหญ้าสีเขียวปกคลุมพื้นดินขณะที่แม่น้ำสายใหญ่ไหลเชี่ยวกรากและบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางแม่น้ำเช่นเคย เมื่อเฉินซีเข้ามาในเคหาบ่มเพาะนี้อีกครั้ง เขาก็มีความรู้สึกหลากหลายอยู่ภายในใจ แม้ว่าเคหาบ่มเพาะของเทพฝูซีนี้จะไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่ตัวเขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เงียบขรึมเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไป
แม่น้ำเกิดคลื่นปั่นปวนวุ่นวาย ในขณะที่จี้อวี๋ซึ่งสวมชุดคลุมสีครามได้ทะยานผ่านแม่น้ำและเหยียบระลอกคลื่นเพื่อเดินไปยังริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อเขาเห็นเฉินซีเข้ามาในเคหาบ่มเพาะอีกครั้ง ใบหน้าที่ผอมตอบและไม่แยแสของจี้อวี๋ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้พบกันนานถึงหกปีเต็ม และเด็กน้อยจากเมื่อหลายปีก่อนก็เติบโตเป็นชายหนุ่มที่ซื่อตรงแล้ว
“เฉินซี เจ้ามาเพื่อทดสอบระดับที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์หรือ? แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า ข้าคิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่จะผ่านการทดสอบทั้งเก้าครั้งแรก” จี้อวี๋เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา
“การทดสอบทั้งเก้าครั้งแรกหรือขอรับ?”
เฉินซีตกตะลึง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ก่อนที่จะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้ามาครั้งนี้เพื่อเรื่องอื่น” ขณะที่เขากล่าว เขาค่อย ๆ สรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของหลิงไป๋ให้แก่จี้อวี๋
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวิญญาณกระบี่ตัวน้อยนี้จะมีความจริงใจขนาดนี้” จี้อวี๋ชื่นชมแล้วเอ่ยถาม “ข้าสามารถช่วยเขาได้จริง ๆ แต่ผลดอกบัวดวงจิตทองคำนั้นหายากเสียเหลือเกิน เจ้าต้องการใช้มันกับเขาจริง ๆหรือ? เจ้าจะไม่ลองไตร่ตรองดูเสียก่อนหรือ?”
“ไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองใด ๆ สิ่งอื่นล้วนไม่สำคัญเมื่อเทียบกับชีวิตของหลิงไป๋” เฉินซีตอบโดยปราศจากความลังเล และเขาก็หยิบผลดอกบัวดวงจิตทองคำออกมาก่อนจะมอบให้จี้อวี๋ ขณะที่เขากล่าวว่า “ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะให้ความช่วยเหลือได้”
จี้อวี๋พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าตัวน้อยนี้ถือได้ว่ารับโชคโดยบังเอิญจากการติดตามเจ้า เมื่อเขาได้ร่างกายที่เป็นกายาดวงจิตทองคำแล้ว อนาคตของเขาจะไร้ขีดจำกัด ดังนั้นปล่อยเขาให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
เมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีรีบอุ้มหลิงไป๋ออกมาอย่างระมัดระวังและส่งหลิงไป๋ให้จี้อวี๋ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลาย ทว่าเขาไม่ได้สนใจว่าอนาคตของหลิงไป๋จะไร้ขีดจำกัดหรือถูกจำกัด ตราบใดที่หลิงไป๋สามารถตื่นขึ้นมา แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“ข้าต้องใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อช่วยเขาสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ เจ้าควรคว้าเวลานี้ไว้เพื่อเข้ารับการทดสอบในบททดสอบแห่งสรวงสรรค์” จี้อวี๋แนะนำก่อนจะเดินลงไปในแม่น้ำและหายตัวไป
‘เข้ารับการทดสอบหรือ?’
‘ข้าได้รับฝ่ามือมหาดาราเมื่อข้าผ่านการทดสอบที่หนึ่งของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์ และข้าจะได้รับสมบัติใดอีกหากสามารถผ่านการทดสอบที่สองได้?’
เมื่อเฉินซีคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวอยู่ในใจ และเขาก็ทะยานไปยังบททดสอบแห่งสรวงสรรค์โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย