บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 269 ความสิ้นหวัง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 269 ความสิ้นหวัง

บทที่ 269 ความสิ้นหวัง

ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ปราณกระบี่มากมายโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เพียงแค่ปราณกระบี่สายเดียวก็สามารถเชือดเฉือนท้องฟ้า เมื่อปราณกระบี่นับไม่ถ้วนกระหน่ำลงมาในขณะนี้ ทำให้อากาศว่างเปล่าโดยรอบถูกเจาะจนเป็นรูพรุน และส่งเสียดหวีดหวิวแหลมคมจนแก้วหูของผู้คนอื้ออึง

ทว่าภายใต้ฝนปราณกระบี่สีทองนับไม่ถ้วน เฉินซีเป็นเหมือนภูตผีที่โบยบินไปมาโดยไร้ทิศทาง และปีกนภาดาราบนแผ่นหลังของเขาก็กระพืออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ไม่ได้รับการบาดเจ็บใด ๆ แม้แต่นิดเดียว

ฟิ้ว!

ร่างของชายหนุ่มได้หายไปจากจุดนั้นด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการจนไม่อาจอธิบายได้ เพียงชั่วพริบตาก็ทะยานห่างออกไปถึงร้อยยี่สิบจั้ง และปรากฏที่เบื้องหน้าของเว่ยเยว่จื่อ จากนั้นยันต์ศัสตราของเขาก็แทงออกไปอย่างดุเดือด

คลื่นกระบี่พวยพุ่งออกมา ยิ่งไปกว่านั้นมีสัตว์ร้ายที่เหมือนวานรวารีกำลังอาละวาดอยู่ภายในเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำที่พลุ่งพล่าน ทำให้กระบวนท่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ดุร้ายและกดดันอย่างมหาศาล

กระบวนท่ากระบี่ที่น่าตกตะลึงในครั้งนี้คือ กระบี่ข่านแห่งวารีของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ!

หลังจากการจารึกยันต์เทวะคงคาทมิฬในยันต์ศัสตราสำเร็จแล้ว เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำของเขาก็เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยามที่แทงกระบี่จะปรากฏวานรวารีอันดุร้ายออกมา!

อย่างไรก็ตาม ผู้คนดูเหมือนจะเห็นว่า เมื่อเทียบกับความเร็วของเคล็ดวิชาตัวเบาของเฉินซีแล้ว การโจมตีดูเหมือนจะช้ากว่าเล็กน้อย แต่นี่ก็เป็นความตั้งใจเช่นกัน เนื่องจากเขาตั้งใจจะใช้เว่ยเยว่จื่อเป็นเป้าซ้อมมือ เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตนเอง

แต่สำหรับเว่ยเยว่จื่อ การโจมตีที่รวดเร็วเหมือนกับผุดขึ้นมาจากกลางอากาศ ก่อให้เกิดความหวาดกลัวจนดวงวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างจนไม่กล้าลังเลอีกต่อไป จากนั้นด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบคม จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่อย่างกะทันหัน ทำให้ม่านพลังกระบี่สีทองขวางกั้นอยู่ที่เบื้องหน้า

ฟู่!

ทว่าภายใต้การโจมตีอันดุเดือดของยันต์ศัสตรา ม่านพลังกระบี่สีทองที่ขวางกั้นอยู่ดูเหมือนกับแผ่นกระดาษที่ฉีกขาด ในขณะที่เว่ยเยว่จื่อฉวยโอกาสนี้เพื่อล่าถอยออกไปกว่าสี่สิบจั้ง

ผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายของชายหนุ่มจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาเว่ยเยว่จื่ออีกครั้งโดยปราศจากความลังเล

เมื่อเทียบกับองค์ชายหวงฝู่กับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ แล้ว ความแข็งแกร่งของเว่ยเยว่จื่อด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด และไม่อาจทำอันตรายใด ๆ ต่อเฉินซีได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่มีอยู่ก็เพียงพอที่เขาจะถูกใช้เป็นเป้าซ้อมมือ

ปัง! ปัง! ปัง!

ท้องฟ้าสั่นสะเทือน พื้นดินแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ และกระแสอากาศพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เฉินซีกับเว่ยเยว่จื่อกำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศ คนทั้งสองเป็นผู้บ่มเพาะวิถีกระบี่ ดังนั้นปราณกระบี่ที่ปลดปล่อยออกมาจึงสร้างความเสียหายให้แก่สนามฝึกซ้อมอย่างยับเยิน ทำให้พื้นดินทั้งหมดไหม้เกรียมและแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ จนเกือบจะเป็นซากปรักหักพัง หากไม่ใช่เพราะเฉินซีจงใจควบคุมทิศทางการต่อสู้ จวนตระกูลเฉินคงจะราบเป็นหน้ากลอง!

แต่ถึงกระนั้น กระแสอากาศอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการต่อสู้ก็ไม่ต่างกับพายุที่ผลักดันเหล่าผู้ชมให้ล่าถอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากเกรงว่าตนเองจะได้รับผลกระทบ

หลังจากที่ถอยห่างจากสนามฝึกซ้อมไปราวสองลี้ ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าความประหลาดใจได้เกิดขึ้น เนื่องจากไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… เฉินซีจะสามารถต่อสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบได้ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกตึงมือใด ๆ และยังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงเฉินฮ่าวเท่านั้นที่รู้ว่าผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่มาตั้งแต่แรก มีหลายครั้งที่สามารถฆ่าเว่ยเยว่จื่อได้ แต่กลับจงใจชะลอการเคลื่อนไหวให้ช้าลง เพื่อให้เว่ยเยว่จื่อสามารถหลบหนีจากความตาย ฉากเหล่านี้เหมือนเฉินซีกำลังเป็นแมวที่เล่นกับหนูอย่างไรอย่างนั้น…

“หรือว่าท่านพี่กำลังทดสอบเคล็ดวิชากระบี่ของเขา?”

หลังจากคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉินฮ่าวก็ตระหนักได้ทันที มุมปากจึงยกยิ้ม รู้สึกว่าความกังวลทั้งหมดมอดม้วยหายไป ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายจนยากพรรณนา ดูเหมือนว่าตราบใดที่พี่ชายยังอยู่ ภยันตรายใด ๆ ก็มิอาจคุกคามเขากับตระกูลเฉินได้อีกต่อไป!

ในทำนองเดียวกัน หลินชิวหลิง ศิษย์หญิงของนิกายกระบี่เบญจธาตุก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน การบ่มเพาะของนางบรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง และแม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับเว่ยเยว่จื่อผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้ แต่กล่าวได้ว่าเหนือล้ำที่สุดในหมู่ผู้ชม ด้วยความสามารถอันเฉลียวฉลาด ทำให้สังเกตเห็นได้ในทันทีว่าศิษย์พี่ใหญ่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย!

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?“

“เจ้าคนน่ารังเกียจผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางครึ่งขั้นเท่านั้น แต่เหตุใดจึงสยบศิษย์พี่ใหญ่ได้?”

หลินชิวหลิงไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเองเช่นกัน ความเย่อหยิ่งจองหองบนใบหน้าอันงดงามจางหายไป นางสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะเริ่มไตร่ตรองการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง

การกระทำเช่นนี้ ทำให้สังเกตเห็นถึงความจริงที่น่าตกตะลึง เต๋ารู้แจ้งแห่งไฟขอบเขตเริ่มต้น เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำขอบเขตเริ่มต้น เต๋ารู้แจ้งแห่งโลหะขอบเขตเริ่มต้น เต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษาขอบเขตเริ่มต้น เต๋ารู้แจ้งแห่งผืนดินขอบเขตเริ่มต้น… ยิ่งไปกว่านั้น เต๋ารู้แจ้งเหล่านี้ยังสามารถก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้อีกเช่น อนิจจา! ชายผู้นี้ได้หยั่งรู้ถึงมหาเต๋าของธาตุทั้งห้าอย่างแท้จริง!

แต่สิ่งที่ทำให้หนังศีรษะของนางด้านชาเป็นพิเศษ ก็คือความเร็วของเฉินซีที่รวดเร็วมหาศาล ซึ่งเหนือกว่าศิษย์พี่ใหญ่มากกว่าสองเท่า มันสามารถเทียบได้กับการย่นมิติ ยิ่งไปกว่านั้น ปีกที่มองเห็นได้อย่างคลุมเครือบนด้านหลังยังแผ่สยาย อีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่และอ้างว้างออกมา ซึ่งมันก็คือกลิ่นอายของปราณจ้าววิญญาณ เห็นได้ชัดว่าปีกคู่นั้นเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาตัวเบาของพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลัง!

ด้วยเหตุนี้ ความจริงที่โหดร้ายจึงปรากฏขึ้น “ชายคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้บ่มเพาะปราณภายในเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้บ่มเพาะกายาที่มีการฝึกฝนน่าตะตกลึงอีกเช่นกัน!”

“ชายคนนี้… เป็นตัวประหลาดหรือไร?” ใบหน้าของหลินชิวหลิงซีดเซียว เมื่อความหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจ เนื่องจากตระหนักได้ว่า… แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่ม ดังนั้นนางย่อมไม่อาจเทียบเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ

ในขณะนี้ นางยังตระหนักได้อีกว่าพวกเขาดูเหมือนจะผิดแผนตั้งแต่มาถึงเมืองหมอกสนแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ศัตรูที่ทรงพลัง ซึ่งอันที่จริงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง!

“ท่านแม่! ท่านลุงชนะแล้วหรือขอรับ?”

ลานด้านหลังของตระกูลเฉิน เฟยเหลิ่งชุ่ยได้พาเฉินอวี่ตัวน้อยมาซ่อนตัวอยู่สักพักแล้ว ท้ายที่สุด การต่อสู้ในสนามซ้อมนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบกับเฉินอวี่ การซ่อนตัวอยู่ที่นี่จึงเป็นสิ่งสมควร แต่ด้วยเหตุนี้… เสี่ยวอวี่จึงมองเห็นได้เพียงดวงแสงพร่างพรายจากการต่อสู้ และสำหรับผู้ชนะหรือผู้แพ้ก็ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

“ท่านลุงของเจ้าจะชนะอย่างแน่นอน เมื่อหลายปีก่อน เขาได้รับอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน หรือแม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่อาจเทียบกับท่านลุงได้” เฟยเหลิ่งชุ่ยแย้มยิ้มขณะลูบหัวบุตรชาย น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจขณะหวนรำลึกถึงเหตุการณ์น่าตะตกลึง ที่เฉินซีได้กระทำระหว่างการจัดอันดับมังกรซ่อนเมื่อหลายปีก่อน

“กลายเป็นว่าท่านลุงแข็งแกร่งมาก เมื่อข้าโตขึ้น ข้าต้องการเป็นที่หนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อนเช่นกัน จะได้เท่าเทียมกับท่านลุง ฮิ ๆ” ดวงตาสีดำสนิทของเฉินอวี่เบิกกว้างในขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“เจ้าไม่อยากเหนือกว่าท่านลุงของเจ้าหรือไงเด็กน้อย?” เฟยเหลิ่งชุ่ยเอ่ยถาม

“ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้… ถ้าอวี่เอ๋อร์เหนือกว่าท่านลุง ท่านลุงก็จะเสียใจ” เฉินอวี่ตัวน้อยส่ายศีรษะตอบเสียงเศร้าสร้อย

ผู้เป็นมารดาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และลอบครุ่นคิดในใจ ‘อนาคตท่านลุงของเจ้านั้นไร้ขีดจำกัด ถ้าเจ้าสามารถเทียบได้สักเศษเสี้ยวของเขาละก็ แค่นั้นข้าก็ภูมิใจแล้ว…’

ยิ่งเว่ยเยว่จื่อต่อสู้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น ด้วยรู้สึกว่าคนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ดูไม่เหมือนมดปลวกขอบเขตแกนทองคำหยินหยางครึ่งขั้น แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่กดดันเขาในทุกด้าน ความรู้สึกนี้ทำให้ความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในขณะที่เขาพยายามอย่างยากลำบากก็ไม่สามารถหลบหนีการโจมตีพ้น ทำให้เขาเสียใจจนแทบกระอักเลือดออกมา!

“หรือว่าจะพิชิตขอบเขตเพื่อต่อสู้…?”

“จะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางครึ่งขั้นในโลกนี้ ที่สามารถสยบผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบได้อย่างไร? เพราะมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างฐานการบ่มเพาะของทั้งสองคนนี้!”

แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า และทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อการต่อสู้ดำเนินไป เขาค่อย ๆ สังเกตเห็นว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไม่มีทีทาว่าจะอ่อนแรงลงแม้แต่น้อย แต่กลับแข็งแกร่งและสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บรรดาเคล็ดวิชาต่าง ๆ เฉียบคมขึ้นทีละนิดในทุกครั้งที่เฉินซีลงมือ …เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทุ่มพลังอย่างเต็มที่ แต่คู่ต่อสู้คนนี้จงใจออมมือให้เขา…

‘หรือว่าเจ้าบัดซบนั่นใช้ข้าเป็นหินลับมีดเพื่อขัดเกลาเต๋าแห่งการต่อสู้ของมัน?’ ทันทีที่ความคิดนี้วาบผ่าน ความเยือกเย็นไร้ขอบเขตก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของเว่ยเยว่จื่อ

ในขณะนี้เขาได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่า… ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางครึ่งขั้นที่อยู่เบื้องหน้าเห็นเขาเป็นเพียงคู่ซ้อมเท่านั้น และไม่ได้มองว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแม้แต่น้อย!

“ไอ้บัดซบเอ๊ยยย!”

“ช่างน่าสมเพชเสียจริง!”

ลมหายใจของเว่ยเยว่จื่อหอบถี่ด้วยความโกรธ และถูกกระตุ้นจนดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าบิดเบี้ยว ทำให้เขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกกักขัง และไม่คงเหลือท่วงท่าสง่างามอีกต่อไป

“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” เว่ยเยว่จื่อตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง ทันใดนั้นแกนทองคำที่ส่องประกายแวววาวก็ผุดขึ้นมาจากหน้าผาก พลังวิญญาณและแก่นแท้ถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานของหยินหยางที่อยู่ภายใน ทันทีที่มันปรากฏขึ้นก็ปลดปล่อยพลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัว ส่งให้กลิ่นอายรอบตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่า

‘เวรล่ะ! เจ้านั่นกำลังจะเสี่ยงชีวิต และตั้งใจจะระเบิดแกนทองคำของตนเองจริง ๆ’

เฉินซีรู้สึกวิตกกังวลอยู่ในใจ เนื่องจากเคยได้เห็นอานุภาพของแกนทองคำที่ระเบิดด้วยสองตามาก่อน จึงตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าหากได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดของแกนทองคำด้วยฐานการบ่มเพาะในปัจจุบัน ถึงแม้จะรอดพ้นจากความตาย แต่ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

“ไปตายซะ! ในเมื่อวันนี้ข้าไม่อาจแบกหน้าอยู่อีกต่อไป เจ้าต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า! แกนทองคำ จง…” เว่ยเยว่จื่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และเป็นเสียงหัวเราะของการจำนนต่อความสิ้นหวัง ทว่าก่อนที่จะกล่าวจบ ดวงตาก็เบิกโพลงทันใด และรอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ แข็งค้าง

พรึ่บ!

ประกายแสงอันเยือกเย็นปรากฏขึ้นฉับพลัน ทะลุผ่านลำคอของเว่ยเยว่จื่อ พลังที่น่าสะพรึงกลัวบนใบกระบี่ได้บดขยี้พลังชีวิตทั่วกายา ทำให้ไม่สามารถควบคุมแกนทองคำของตัวเองได้อีกต่อไป

ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น การโจมตีครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโจมตีอย่างเต็มกำลังโดยไม่มีการออมพลังใด ๆ ความเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จนถึงจุดที่ใบกระบี่เจาะลำคอของเว่ยเยว่จื่อไปแล้ว ก่อนที่เสียงจะดังขึ้นในภายหลัง ตามด้วยโลหิตร้อนแรงสาดกระจายออกมา ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉาน

“ข้าเข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองไม่มากก็น้อย แล้วเจ้าก็ไม่มีคุณค่าอะไรอีกแล้ว ในเมื่อต้องการระเบิดแกนทองคำเพื่อทำให้ข้าบาดเจ็บ เช่นนี้ข้าจะยังนิ่งเฉยได้อย่างไร?” ชายหนุ่มส่ายศีรษะและดึงยันต์ศัสตราออกมา

“เจ้า… เจ้า… นิกายกระบี่เบญจธาตุของข้า… จะไม่… จะไม่ปล่อยเจ้าไป!” ยังไม่ทันสิ้นวาจาและภายใต้การจ้องมองของทุกคน เว่ยเยว่จื่อ ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบก็ตกลงมาจากกลางอากาศ กระแทกเข้ากับพื้นดินจนร่างกายแหลกเหลว ช่างน่าอนาถยิ่งนัก

“ศิษย์พี่ใหญ่…” ในขณะนี้ หลินชิวหลิงตื่นจากห้วงนิทรา กรีดร้องอย่างน่าสังเวช นางตกตะลึงกับฉากที่เฉินซีฆ่าเว่ยเยว่จื่อ ซ้ำร้ายยังไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะช่วยเหลือ

“ถึงเจ้าจะเป็นผู้หญิง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวนี้ไม่ให้รั่วไหล ข้าจึงทำได้เพียงต้องฆ่าเจ้าเท่านั้น เจ้าควรโทษตัวเองที่ล่วงเกินคนที่ไม่สมควรทำให้ขุ่นเคือง” ท่ามกลางเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มหันหลังกลับมา แววตาคู่นั้นเหมือนสายฟ้าฟาดจ้องเขม็งไปที่หลินชิวหลิงอย่างคาดโทษ!!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท