บทที่ 273 การพบกันอีกครั้งของนายบ่าว
บทที่ 273 การพบกันอีกครั้งของนายบ่าว
นอกกำแพงเมือง ซากศพเกลื่อนไปทั่วพื้นดินที่แตกระแหงและไหม้เกรียมกินพื้นที่เป็นพันลี้ ทำให้เกิดภาพที่น่าสลดใจอย่างไม่อาจบรรยายได้ พายุฝนและสายฟ้าปกคลุมเต็มผืนฟ้าเบื้องบนกดอากาศให้เย็นยะเยือกลงอีก
ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบ มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทำให้ร่างของเขาดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก พริบตาต่อมาหมาป่าปีกเงินก็มองเห็นเขา
หืม? ผู้บ่มเพาะมนุษย์คนนั้นคือ…
ในทันใดนั้น ก็ราวกับว่าในห้องเก็บความทรงจำที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของมันได้ถูกเปิดขึ้น และความรู้สึกคุ้นเคยที่หายไปนานก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจของมัน อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางผู้ยิ่งใหญ่ เบิกตาตกตะลึงและหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ขณะที่ดวงตาสีเขียวหยกของมันจับจ้องตรงไปที่เฉินซี
“เดี๋ยวหยุด หยุดก่อน! ข้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว! ท่านผู้อาวุโสได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“ตอนนี้เจ้ายังอยากจะกินข้าอยู่อีกหรือไม่?”
…
“โอ้ ข้าได้ยินมาว่าหมาป่ามีสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหมาป่าจันทรคราสอยู่ มันจริงหรือ?”
“ใช่… มันคือเรื่องจริง แต่สายเลือดผสมของผู้น้อยผู้นี้นั้นมีอยู่น้อยยิ่ง พ่อของข้าเป็นหมาป่าวายุคราม ส่วนแม่ของข้าเป็นหมาป่าปีกเงิน ดังนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่าตัวเองยังเหลือสายเลือดของหมาป่าจันทรคราสอยู่อีกหรือไม่”
“หืม ที่แท้ก็เป็นลูกผสมนี้เอง แต่เจ้าก็ตั้งชื่อให้ตัวเองว่ามู่ขุย ข้าคิดว่าเจ้าปรารถนาที่จะมีพละกำลังที่น่าเกรงขามเช่นหมาป่าจันทรคราสอยู่บ้างสินะ?”
“สายตาของผู้อาวุโสช่างเจิดจรัสเฉกเช่นคบไฟจริง ๆ ผู้น้อยคนนี้ชื่นชมท่านอย่างยิ่ง ความชื่นชมในใจของข้าเปรียบดั่งแม่น้ำที่เชี่ยวกราก…”
…
“ไม่คิดที่จะหนีไปบ้างเลยหรือ?”
“ข้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? ข้าเคยกล่าวไปแล้วนี่ว่าข้าจะติดตามผู้อาวุโสไปตลอดชีวิต!”
“หากข้าบอกให้เจ้าหนีไปเจ้าก็จงหนีไป! ตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่นั่นมันสำคัญกว่าสิ่งใด! นี่คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในของข้า รับไปเสีย”
“ผู้อาวุโส ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะแข็งแกร่งขึ้น!”
…
“นายท่าน ครานี้ไม่ได้โกรธเกลียดท่านที่ไม่พาข้าไปด้วย ทว่าในภายภาคหน้าหากพลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่ท่านยังคงไม่ยอมให้ข้าอยู่เคียงข้างอีก ข้าจะเชือดคอและปลิดชีวิตข้าเอง!”
…
ความทรงจำที่คุ้นเคยหลากหลายท่วมท้นเข้ามาในหัวของมันเหมือนแม่น้ำหลาก เสียงและฉากที่คุ้นเคยที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของมันเหล่านั้น ย้อนคืนมาวนซ้ำอย่างสดใสและมีชีวิตชีวาราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ร่างสูงตระหง่านที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ใบหน้าท่าทางที่คุ้นเคย นี่เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?
“บรู๋ว!”
หมาป่าปีกเงินชูหัวขึ้นฟ้าและส่งเสียงหอนยาวก้องกังวานไปทั่วผืนฟ้า ราวกับว่ามันกำลังระบายความตื่นเต้นในใจ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนจนไม่สามารถบรรยายได้
บนกำแพงเมือง เฉินซีเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เมื่อเขาจำตัวตนของหมาป่าปีกเงินนี้ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นที่หาได้ยากก็เกิดขึ้นภายในใจของเขา
มู่ขุย!
เจ้าสหายตัวนี้มิใช่สัตว์อสูรตัวแรกที่เขาพบ เมื่อยามที่เขาอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้หรอกหรือ?
ตอนนั้นเขายังแย่งที่พำนักของมันมาด้วยซ้ำ!
หมาป่าปีกเงินที่หยุดค้างกลางอากาศ กลายร่างเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างกำยำและดวงตาเฉียบคม ทว่าขณะนี้ดวงตาสีเขียวหยกคู่ของมันเต็มไปด้วยน้ำตาคลอ
…
การกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากแยกทางกันเป็นเวลานาน ทำให้ทั้งเฉินซีและมู่ขุยมีเรื่องราวจะพูดเต็มไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งลงบนกำแพงเมือง และดื่มคุยสัพเพเหระกันอย่างอิสระ
จากคำกล่าวของมู่ขุย ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ปรากฏว่าหลังจากที่เขานำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของภูเขาออกมา ในช่วงไม่กี่ปีต่อมาก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นที่นั่น
ก่อนหน้าที่เฉินซีจะถูกส่งตัวไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เพราะการมีอยู่ของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ไม่ว่าพวกสัตว์อสูรในส่วนลึกของเทือกเขาจะมีพลังที่น่าตกตะลึงเพียงใด หรือฝึกฝนมานานแค่ไหน พวกมันก็ไม่สามารถทะลวงข้ามขอบเขตตำหนักอินทนิลไปได้ ตัวอย่างเช่น ราชาเต่าเฒ่า ราชาจิ้งจอกเก้าหาง ราชาวานรทมิฬ ราชาเหยี่ยวสายฟ้า และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ครอบครองส่วนลึกของเทือกเขาเอาไว้ ในเวลานั้นต่างก็มีระดับการบ่มเพาะเพียงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น
แต่เมื่อเฉินซีนำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากออกไป ในเวลาเพียงไม่กี่ปีรากฐานการบ่มเพาะของเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ทั้งหมดก็ได้ก้าวหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสัตว์อสูรบางตัวที่มีเสี้ยวสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณบางตัว ก็ถึงกับกระโดดข้ามไปทีเดียวสามระดับจากขอบเขตก่อกำเนิดไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางภายในปีเดียวเลยด้วยซ้ำ!
ทว่าเฉินซียังคงสงสัยว่า เหตุใดชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากจึงได้ถูกใช้ปิดกั้นสถานที่เช่นส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้เอาไว้? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นอีก?
“ยามนี้ส่วนลึกของเทือกเขาไม่ได้เป็นดั่งเช่นแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว ผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมีอยู่นับสิบ ผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตเคหาทองคำอีกกว่าพัน และยังมีผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลอีกนับหมื่นตน ทั้งหมดนี้ทำให้การแข่งขันและการต่อสู้ที่นั่นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม โชคดีที่ครั้งหนึ่งนายท่านได้เคยถ่ายทอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในและเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์เอาไว้ให้แก่ข้า เพื่อให้ได้พบนายท่านได้เร็วขึ้นข้าจึงพยายามฝึกฝนอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน และนั่นส่งผลให้ข้าก้าวสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการกลั่นแกล้งของผู้บ่มเพาะอสูรตนอื่น” มู่ขุยดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่ขณะที่เขาพูดเล่าด้วยอารมณ์หวนคะนึง
แม้ว่ามู่ขุยจะพูดถึงเรื่องนี้แค่เพียงเล็กน้อย แต่เฉินซีก็รู้ดีว่าการเอาชีวิตรอดท่ามกลางสัตว์อสูรจำนวนมากนั้นยากเพียงใด นอกจากการถอนหายใจด้วยอารมณ์แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “แล้วเหนือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเล่า? ไม่มีผู้บ่มเพาะอสูรตนใดไปถึงเลยหรือ?”
“ย่อมมี แต่พวกเขาได้ออกจากส่วนลึกของเทือกเขาไปแล้ว นายท่านก็รู้จักพวกเขาเช่นกัน เป็นราชาเต่าเฒ่ากับราชาจิ้งจอกเก้าหาง หากมิใช่เพราะท่านสังหารราชาวานรทมิฬ ราชาเหยี่ยวสายฟ้า ราชาอสรพิษอินทนิล ราชามังกรทมิฬ และราชาอีกาทมิฬไปแล้ว เกรงว่ายามนี้พวกเขาคงจะบรรลุถึงขอบเขตจุติไปแล้ว” มู่ขุยตอบกลับ
ทันใดนั้นเฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่าราชาปีศาจทั้งเจ็ดตนนี้เดิมทีเป็นเจ้าเหนือหัวในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ และมีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ พวกมันมีชีวิตอยู่มาอย่างนานก็นับหมื่นปีอย่างน้อยก็สองถึงสามพันปีแล้ว ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของพวกมันจึงมากจนน่าตกใจอย่างยิ่ง ดังนั้นการที่พวกมันจะก้าวไปถึงขอบเขตจุติในเวลาไม่กี่ปีได้ก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงมุ่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาและรุกรานเมืองมนุษย์?” หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดเฉินซีก็เลือกถามคำถามนี้ออกมา แม้ในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่ขุยนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบนายบ่าว แต่ความเป็นจริงที่พวกเขามีจุดยืนอยู่คนละฝั่งก็ยังคงอยู่ ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงการพูดถึงหัวข้อนี้ในตอนแรก แต่ไม่ว่าจะอยากจะหลีกเลี่ยงอย่างไร พวกเขาก็ต้องเผชิญกับเรื่องนี้อยู่ดี หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันก็จะไม่ดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่
แต่มู่ขุยกลับทำราวกับว่าเขารู้มานานแล้วว่าเฉินซีจะถามเรื่องนี้ ร่องรอยความสิ้นหวังและความหวาดกลัวเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของเขาก็ฉายวาบขึ้น ขณะที่เขาถอนหายใจอย่างปลดปลง “เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้กับผู้บ่มเพาะมนุษย์”
“ทำไม?” เฉินซีขมวดคิ้ว
มู่ขุยดื่มเหล้ารสเข้มเข้าไปอีกสองสามอึกติด ก่อนจะหายใจเข้าลึกแล้วพูดออกมาอย่างช้า ๆ “เพราะว่าเทพอสูรโบราณในส่วนลึกของเทือกเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว”
เทพอสูรโบราณ!
หัวใจของเฉินซีเต็มไปด้วยความรู้สึกตะลึงและตกใจอย่างมาก เทพอสูรโบราณนั้นคือตัวตนที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ ย้อนไปจนถึงช่วงเวลาแห่งจุดเริ่มต้นของโลก พวกเขาเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ไร้ขอบเขต ด้วยความสูงที่เทียบได้กับภูเขาและความแข็งแกร่งของพวกมันก็เกินพอที่แผดเผามหาสมุทร คว้าดึงดาราและดวงจันทร์ กระทั่งควบคุมสวรรค์และโลก ในช่วงเวลาก่อนที่ทั้งสามมิติจะถูกแยกออกจากกัน พวกเขาเป็นจ้าวสูงสุดผู้ปกครองของโลกต่าง ๆ ในขณะที่มนุษย์เป็นเพียงข้าราชบริพารของพวกเขาที่มีสถานะด้อยกว่าปีศาจเท่านั้น
ทว่าด้วยความเจริญรุ่งเรืองของเผ่ามนุษย์ในเวลาต่อมา และสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังหรือมีพลังทำลายโลกจำนวนมากที่ถือกำเนิดขึ้น ทำให้อำนาจสูงสุดของเหล่าเทพอสูรโบราณถูกทำลายลง จากนั้นพวกเขาก็ค่อย ๆ ถอนตัวออกจากเวทีประวัติศาสตร์ไป แต่ถึงอย่างนั้นชื่อเสียงอันโด่งดังและพลังที่น่าสะพรึงของเทพอสูรโบราณก็ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ การเอ่ยถึงคำว่าเทพอสูรโบราณยังคงสร้างความเคารพและความหวาดกลัวในหัวใจของผู้คนได้เฉกเช่นวันวาน
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะขัดเกลากายาเทพที่ผู้บ่มเพาะมนุษย์สร้างขึ้นมานั้นก็เป็นทักษะที่ถูกดัดแปลงมาจากเหล่าเทพอสูรโบราณ อิทธิพลของเทพอสูรโบราณที่มีต่อสวรรค์และโลกนั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน
เหตุผลที่พวกเขาถูกเรียกว่าเทพอสูรโบราณ ก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์นี้เกิดมาในฐานะบุตรของเทพเจ้าที่มีร่างกายเป็นปีศาจ พวกเขามีความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขาม นี่คือที่มาของชื่อเทพอสูรโบราณที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ในโลกแห่งการบ่มเพาะในปัจจุบัน เผ่าพันธุ์นี้มักถูกเรียกว่าเทพอสูรโบราณ เพื่อแยกแยะพวกเขาจากผู้บ่มเพาะของนิกายอสูร และผู้บ่มเพาะเต๋าแห่งความเป็นอมตะ
ทว่ายามนี้กลับมีเทพอสูรโบราณตื่นขึ้นมาในส่วนลึกของเทือกเขา เพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้ใคร ๆ สามารถจินตนาการถึงความตกใจในใจของเฉินซีได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักถึงปัญหาได้ในทันที ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในส่วนลึกของเทือกเขาคงไม่ได้มีไว้เพื่อปราบปรามเทพอสูรโบราณนี้ใช่หรือไม่?
“ยามนี้เทพอสูรโบราณตนนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?” เฉินซีถาม
“คง… เกือบจะเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีกระมัง?” มู่ขุยเกาศีรษะแล้วพูดต่อ “แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเช่นกัน ข้าเพียงได้ยินจากผู้บ่มเพาะอสูรตนอื่น ๆ กล่าวกันมาว่าความแข็งแกร่งของเทพอสูรโบราณตนนี้อ่อนแอลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่เขาหลับใหล ทำให้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขามีเพียงหนึ่งในหมื่นเมื่อเทียบกับช่วงรุ่งเรืองของเขาเท่านั้น”
“น่าทึ่งมาก ขนาดความแข็งแกร่งหนึ่งในหมื่นยังสามารถเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี คงมีเพียงตัวตนน่าสะพรึงกลัวเช่นเทพอสูรโบราณเท่านั้นที่จะมีความแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นเช่นนี้!” เฉินซีนึกไม่ออกเลยว่าความแข็งแกร่งของเทพอสูรโบราณในยุครุ่งเรืองจะสูงส่งมากถึงเพียงใด
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาในทันใด เรื่องครานี้นับเป็นปัญหาใหญ่อย่างยิ่งยวด ในเมื่อเบื้องหลังของกองทัพสัตว์อสูรคือเทพอสูรโบราณ ไม่ต้องพูดถึงเมืองหมอกสน ต่อให้พวกมันจะกวาดล้างไปทั่วดินแดนทางตอนใต้ก็ไม่เป็นปัญหาเลย!
“แล้ว… ต่อจากนี้เจ้าตั้งใจจะทำอะไรต่อ?” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และค่อย ๆ ถามขึ้น
“แน่นอนว่าย่อมเป็นการติดตามเคียงข้างนายท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่!” มู่ขุยไม่ได้คิดเกี่ยวกับคำถามนี้เลยด้วยซ้ำ เขาตอบทันทีโดยไม่ลังเล “นายท่านยามนี้ระดับของข้าสูงกว่าท่าน ถึงข้าอยู่เคียงข้างท่าน ข้าก็ไม่เป็นภาระอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นโปรดอย่าปฏิเสธข้าอีกเลย”
ความหวังในดวงตาของมู่ขุยทำให้เฉินซีก็รู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก จริงอยู่ที่ว่าสัตว์อสูรนั้นดุร้าย ฉลาดแกมโกง และอันตรายกว่ามนุษย์ ทั้งยังบูชาพละกำลังอย่างมืดบอด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อพวกเขาเลือกที่จะยอมจำนนแล้ว ความภักดีของพวกเขาจะมั่นคงยิ่งกว่ามนุษย์ถึงร้อยเท่า และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหักหลังเลยแม้แต่น้อย
มู่ขุยที่อยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ยังมีชีวิต ด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของอีกฝ่าย ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวว่าเขาอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกับเฉินซี ดังนั้นเหตุผลเดียวที่เขาสละชีวิตเพื่อติดตามเฉินซีนั้นก็เพราะความภักดีของเขา
“ตกลง! นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจงมาติดตามข้า” เฉินซีไม่ได้โต้แย้งและยื่นคำอย่างจริงจัง
“ได้จริงหรือขอรับ?” มู่ขุยตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าหากเฉินซีปฏิเสธเขาอีกครั้ง เขาจะใช้ชีวิตของตนเองเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายตกลง
“แน่นอน ไปกันเถอะ กลับไปที่บ้านของข้ากันก่อน” เฉินซียิ้มและตบไหล่มู่ขุยก่อนจะหันหลังกลับและพุ่งเข้าไปในเมือง
“บ้านของนายท่าน… ” มู่ขุยหยิกแขนตัวเอง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นพิสูจน์ว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง หัวใจของมู่ขุยเต็มไปด้วยความสุขยิ่งทันที ใบหน้าของเขาเปล่งประกาย เผยยิ้มกว้างจนปากจะถึงหู ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะรบกวนเฉินซี ตอนนี้เขาคงจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและหอนเพื่อระบายความตื่นเต้นและความยินดีในใจของเขาไปแล้ว