บทที่ 281 แม่นางย่าชิง
บทที่ 281 แม่นางย่าชิง
“อืม เข้ามาได้” สีหน้าของมู่ขุยจริงจังขึ้นขณะกล่าวด้วยเสียงต่ำ
ประตูถูกผลักเปิดออก และผู้หญิงนางหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างสง่างาม นางทั้งมีเสน่ห์และงดงามในระดับที่ไม่มีใครเทียบได้ นางสวมชุดสีฟ้าอ่อน ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยดวงดาวที่พร่างพรายแสงแห่งปัญญา
สตรีนางนี้อยู่ในระดับขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ และเก็บซ่อนความแข็งแกร่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เอาไว้ จากการประเมินของเฉินซี ความแข็งแกร่งของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ เลย
“ข้า มู่ขุย แล้วนามของแม่นางคือ?” ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจหมาป่าที่เจ้าเล่ห์และดุร้าย มู่ขุยจึงมีความฉลาดโดยธรรมชาติ เขาสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่าสตรีนางนี้น่าจะเป็นสมาชิกระดับสูงของหอขุมทรัพย์สวรรค์
“สหายเต๋ามู่ขุย โปรดเรียกข้าว่าย่าชิงเถิด ข้าได้ยินมาว่าสหายเต๋ามู่ขุยต้องการขายสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอด? เรื่องนี้ข้าพอจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้อยู่บ้าง” สตรีชุดฟ้าอ่อนยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับจับจ้องไปยังเฉินซีอย่างแฝงความนัย
“ถูกต้อง สมบัติเหล่านี้อาจดูไร้ที่มาสักหน่อย ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าหอขุมทรัพย์สวรรค์ของท่านจะรับได้หรือไม่?” มู่ขุยกล่าว
“สหายเต๋ามู่ขุยล้อเล่นแล้ว แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีบางคนก็ยังมาซื้อและขายอย่างเป็นความลับกับหอขุมทรัพย์สวรรค์ของเรา ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีอะไรถูกเปิดเผยแม้แต่น้อย” ย่าชิงยิ้มด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ นางเหลือบมองเฉินซีอย่างลึกซึ้งก่อนจะพูดช้า ๆ “ทว่าข้ามีเรื่องจะถามสักเล็กน้อย สหายเต๋ามู่ขุย ท่านคือผู้ที่จะทำข้อตกลงในครั้งนี้ใช่หรือไม่?”
“เอ่อ… แน่นอน ข้าเป็นคนตัดสินใจ” มู่ขุยเหลือบมองอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดเสียงต่ำ
“จริงหรือ?” ย่าชิงเผยรอยยิ้มลึกลับ
“เอาล่ะ มู่ขุยถอยมาได้แล้ว แม่นางย่าชิงดูจะจำตัวตนของข้าได้แล้ว” เฉินซีโบกมือให้มู่ขุยหยุดพูด จากนั้นเขาก็มองไปที่ย่าชิงและกล่าวต่ออย่างไม่รีบร้อน “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าแม่นางย่าชิงรู้จักข้าได้อย่างไร?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของย่าชิงอีกครั้ง “ในโลกแห่งการบ่มเพาะยามนี้ เป็นเรื่องยากที่จะพบเจอผู้ที่สามารถขายสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอดมากมายได้ในคราวเดียว บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าครั้งหนึ่งท่านหญิงเคยได้ทิ้งรูปเหมือนของท่านเอาไว้ที่หอนี้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะจดจำท่านได้”
ท่านหญิง?
เฉินซีนึกถึงท่านหญิงสุ่ยฮวาขึ้นมาในทันที และอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ทุกคราที่เขามาเยือนหอขุมทรัพย์สวรรค์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถหลบเลี่ยงสายตาของท่านหญิงผู้นี้ได้เลย
“ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะขายสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอดบางชิ้น” เฉินซีถาม มีคนจำนวนน้อยมากที่รู้เรื่องที่เขายึดสมบัติเหล่านี้มาจากหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ แล้วข่าวนี้มาถึงหูของท่านหญิงสุ่ยฮวาได้อย่างไร?
“สหายเต๋าเฉินซี ท่านไม่จำเป็นต้องคาดเดาไป หอขุมทรัพย์สวรรค์ของเรามีสาขากระจายอยู่ทั่วราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นการค้นหาข้อมูลบางอย่างจึงเป็นเรื่องง่ายยิ่ง ท่านว่าไหม? แต่หากจะกล่าวอย่างสัตย์จริง ก็คงต้องบอกว่า ข่าวการร่วมตัวของเพื่อนเก่าขอบเขตเซียนปฐพี ณ นิกายกระบี่เมฆาพเนจร ที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน เริ่มมาจากการที่ท่านยึดสมบัติของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ทั้งยังส่งพวกเขากลับไปมือเปล่าอยู่ในมือของหอขุมทรัพย์สวรรค์เรามาสักพักแล้ว มีเพียงคนในโลกภายนอกเท่านั้นที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ ท้ายที่สุด เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหลายโดยตรง ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เหมาะนักที่จะเปิดเผยมันต่อสาธารณชน”
ย่าชิงยิ้มขึ้นหลังจากที่นางกล่าวจบ นางมองเฉินซีสงสัยและถามต่อ “ทว่ายังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เข้าใจ ท่านใช้สิ่งใดบังคับยอดฝีมือระดับต้น ๆ ของโลกเหล่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกการลงมือจัดการท่านกัน?”
“เราควรคุยกันเรื่องธุรกิจ” เฉินซีเปลี่ยนหัวข้อ
ย่าชิงเพียงแค่ซักถามเท่านั้น นางไม่เคยคิดว่าจะได้รับคำตอบแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดได้ว่ารู้สึกผิดหวัง นางแค่เพียงพยักหน้าและยิ้มเช่นเดิม “ไม่มีปัญหา”
“ถ้าเช่นนั้น เชิญแม่นางย่าชิงประเมินค่าสมบัติเหล่านี้เถิด” เฉินซีสะบัดแขนเสื้อของตน เรียกเอาหม้อน้ำขนาดใหญ่ออกมาจากอากาศ มันเปล่งรัศมีอันโอ่อ่า ทันทีที่มันปรากฏขึ้น อุณหภูมิของอากาศในห้องรับรองพิเศษก็ลดลงอย่างฮวบฮาบในทันใด
“หม้อยาเก้างูใหญ่วัดนภา หนึ่งในสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอดของตำหนักจ้าวปัญญา สมบัตินี้ทรงพลังอย่างยิ่ง ใครก็ตามใช้มัน คนผู้นั้นก็ย่อมถือได้ว่าครอบครองความได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะเอาของชิ้นนี้มาจากหวงฝู่ฉงหมิงสินะ” ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของย่าชิงเป็นประกาย ขณะที่นางอุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ประเมินมูลค่าของมันที” เฉินซียิ้มเล็กน้อย
“นี่…” ย่าชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนเม็ด เป็นอย่างไร?”
“โอสถกลั่นแรก?” เฉินซีผงะด้วยความตกตะลึง
ย่าชิงอธิบายอย่างอดทน “สหายเต๋าเฉินซีเองก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่า หลังจากที่คนคนหนึ่งก้าวไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว วารีวิญญาณธรรมดาก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการบ่มเพาะได้อีกต่อไป โอสถกลั่นแรกจึงเป็นของสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และเทียบเท่าได้กับโอสถระดับปฐพีธรรมดาในโลกแห่งการบ่มเพาะของที่ราบตอนกลาง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสกุลเงินชนิดหนึ่ง ที่ ‘เป็นเช่นนั้นเอง’ สะดวกมากเมื่อใช้ในการทำธุรกรรม”
“เป็นเช่นนั้นเอง” เฉินซีเริ่มเข้าใจและครุ่นคิดในสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่รู้ว่าโอสถนี้จะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด ในอนาคตเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เขาเกรงว่าการฝึกฝนของตนจะไม่ก้าวหน้าได้หากไม่มีมัน
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนเม็ด” เฉินซีไม่แน่ใจว่าราคานี้ยุติธรรมหรือไม่ แต่ในเมื่อย่าชิงรู้จักกับท่านหญิงสุ่ยฮวา นางก็คงไม่หลอกลวงเขา
ย่าชิงยิ้มเมื่อเห็นเฉินซีตกลงในราคานี้ “สหายเต๋าเฉินซี ท่านไม่ต้องกังวลว่าราคาจะไม่สมเหตุสมผล จริง ๆ แล้วราคานี้นับว่าท่านได้รับผลประโยชน์จากมันไม่น้อย ท้ายที่สุดแล้วของเหล่านี้ก็ถือเป็นของที่ขโมย บางอย่างจึงขายออกได้ยากยิ่ง หากเป็นผู้อื่น ข้าคงจะจ่ายเพียงโอสถกลั่นแรกเริ่มห้าหมื่นเม็ดเท่านั้น”
เฉินซียิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะโบกมือเพื่อเอาสมบัติวิเศษระดับปฐพีออกมาอีกกว่าสิบชิ้น หลังจากที่พวกมันถูกย่าชิงประเมินแล้ว เขาก็ได้รับโอสถกลั่นแรกเริ่มมาอีก 1.6 ล้านเม็ด
ในบรรดาพวกมัน กระบี่ทลายคลื่นของหลิวเฟิ่งฉือมีมูลค่าสูงที่สุด เทียบเท่ากับโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนแปดหมื่นเม็ด ซึ่งถือว่ามากกว่าหม้อยาเก้างูใหญ่วัดนภาของหวงฝู่ฉงหมิงเสียอีก
ในท้ายที่สุด เฉินซีก็ได้รับบัตรผลึกแก้วที่ออกโดยหอขุมทรัพย์สวรรค์ ซึ่งเป็นตัวแทนของที่เก็บโอสถ และคำว่า ‘ล้าน’ ที่สลักเอาไวด้านบนตัวบัตร ก็หมายถึงโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งล้านเม็ด ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดแสนกว่านั้นได้ถูกเก็บไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
“สหายเต๋าเฉินซี นี่คือเทียบเชิญพิเศษ ในอีกสามวันนับจากนี้หอขุมทรัพย์สวรรค์ของเราจะมีการจัดงานประมูลขนาดใหญ่ขึ้น และโอสถกำจายล้ำจะถูกประมูลในเวลานั้น หากท่านต้องการข้าสามารถช่วยท่านจับจองห้องรับรองพิเศษสำหรับการประมูลได้ ในเวลานั้นท่านเพียงแค่ต้องนำเทียบเชิญนี้มาเข้าร่วมการประมูลเท่านั้น” เมื่อเฉินซีกำลังจะจากไป ย่าชิงก็หยิบจดหมายเชิญเคลือบทองคำเนื้อดีออกมาส่งให้เขาและพูดอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอรบกวนแม่นางย่าชิงแล้ว” เฉินซีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับเทียบเชิญ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีข้อจำกัดในการเข้าร่วมการประมูลอยู่ด้วย
“แต่ในยามนี้โปรดระวังไม่ให้หลินโม่เซวียนที่อยู่ในเมืองเฟิงเย่สังเกตเห็นท่าน เขาเป็นศิษย์สายหลักขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของนิกายสวรรค์ปฐพีและมีอิทธิพลในเมืองเฟิงเย่นี้ค่อนข้างมาก” ย่าชิงกล่าวเตือน
เฉินซีพยักหน้ารับ เขาคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
หลังจากที่เขาออกจากมาห้องรับรองพิเศษแล้ว เฉินซีก็ปฏิเสธที่จะให้ย่าชิงออกมาส่งพวกเขา และเดินไปที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับมู่ขุย ทว่าเมื่อเขากำลังจะออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ จู่ ๆ มู่ขุยก็กล่าวทักขึ้นมา “นายท่าน ดูสิขอรับ ไม่ใช่ว่านั่นคือหลัวถงกับแม่นางฉินอวี้เหว่ยหรอกหรือ?”
เฉินซีชำเลืองมองไปทางด้านนั้น แน่นอนว่าเขาเห็นร่างของทั้งสองคนอยู่ในฝูงชน ฉินอวี้เหว่ยยืนอยู่หน้าโต๊ะรับรอง ใบหน้าซีด ๆ ของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ดูเหมือนว่านางกำลังคุยอะไรบางอย่างกับผู้ดูแลที่อยู่ด้านหลังโต๊ะ แต่กลับถูกผู้ดูแลคนนั้นปฏิเสธอย่างเย็นชาและเมินเฉย
“ไปดูกันเถอะ” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งและก่อนจะเลือกเดินเข้าไปในที่สุด เขารู้สึกประหลาดใจยิ่ง แม้ว่าพิษในร่างกายของฉินอวี้เหว่ยจะถูกเขากำจัดออกไปแล้ว แต่มันก็ทำลายพลังชีวิตไปไม่น้อยจึงทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอลงอย่างมาก แล้วเหตุใดนางถึงวิ่งมาที่หอขุมทรัพย์สวรรค์แทนที่จะอยู่ที่บ้านและพักฟื้นกัน?
“ได้โปรด ท่านพ่อของข้าจำเป็นต้องใช้อำพันทะเลในการรักษาอย่างเร่งด่วนจริง ๆ ข้าจะชดใช้คืนให้ด้วยปทุมโลหิตหยกนิลในวันหน้าได้หรือไม่?” ฉินอวี้เหว่ยมีสีหน้าเศร้าสร้อยขณะที่นางพร่ำขอร้องอย่างขมขื่น
“จะให้ทำเช่นนั้นได้อย่างไร หอขุมทรัพย์สวรรค์ของข้าระบุว่าหากต้องการอำพันทะเล ก็ต้องใช้ปทุมโลหิตหยกนิลหรือพฤกษาจิตบำรุงวิญญาณอายุพันปีมาแลกเปลี่ยน นี่เป็นกฎ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้าขายออกไปด้วยการติดสัญญาหนี้” ผู้ดูแลส่ายหัวของเขาอย่างไม่แยแส
“แต่ข้าต้องการมันอย่างเร่งด่วน ข้าสามารถซื้อมันด้วยโอสถกลั่นแรกเริ่มได้หรือไม่? ได้โปรด ข้ารับประกันว่าจะนำปทุมโลหิตหยกนิลมาชดคืนให้ภายในหนึ่งเดือน ตกลงไหม?” ฉินอวี้เหว่ยขอร้องอย่างขมขื่น และรูปลักษณ์ของนางในยามนี้อ่อนน้อมถ่อมตนจนถึงสุดขีด
“หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว” ผู้ดูแลกล่าวอย่างกระวนกระวาย “เป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลฉิน แต่กลับไม่เข้าใจกฎของหอขุมทรัพย์สวรรค์หรือไร? ไป ๆ เชิญออกไป อย่ามารบกวนแขกคนอื่น”
“พูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน?” ใบหน้าของหลัวถงขึ้นสีมาได้สักพักแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถทนไฟแห่งความโกรธในใจได้อีกต่อไป ทำให้เขาตวาดออกไปด้วยเสียงต่ำ
“โอ้ นี่มันอะไรกัน เจ้าต้องการจะสร้างปัญหาในหอขุมทรัพย์สวรรค์ใช่หรือไม่?” สีหน้าของผู้ดูแลเปลี่ยนไปทันทีขณะที่เขากล่าวประชดประชัน “ตระกูลฉินไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ครอบครัวพังทลาย ญาติมิตรและสหายพากันหักหลัง ปัจจุบัน มีเพียงเจ้าสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในตระกูลฉิน หรือไม่ใช่? อย่างที่เขาว่าหงส์ที่ไร้ขนจะอย่างไรก็สู้ไก่ไม่ได้ ตอนนี้ยังมีผู้ใดในเมืองเฟิงเย่เคารพนับถือตระกูลของพวกเจ้าอยู่อีกหรือ?”
“เจ้า… ” ลั่วถงโกรธจนถึงจุดที่ดวงตาของเขาแทบถลนออกมา เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปน แต่เขาก็จำต้องอดทนต่อมันอย่างฝืนใจ ดวงตาดุดันคู่นั้นปรากฏความเศร้าแฝงอยู่
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาพอจะเข้าใจอยู่ว่าเพราะตระกูลฉินคงแทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผู้ดูแลตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ย่อมไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำเช่นนี้
ขณะที่เขากำลังตั้งใจจะก้าวออกไป เขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อคลุมหรูหราเจ้าสำอางเดินผ่านไป ก่อนที่เขาจะยิ้มให้กับฉินอวี้เหว่ยและกล่าวว่า “เป็นอย่างไรเล่าแม่นางฉิน ข้าบอกเจ้าแล้วว่าหอขุมทรัพย์สวรรค์ไม่มีทางตกลง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง ข้าว่าเจ้าควรจะฟังความเห็นของข้า แต่งเป็นอนุภรรยาให้ข้าเสีย แล้วข้าจะช่วยหาอำพันทะเลให้”
“ซือคงฮวา ไสหัวไปให้พ้น! ข้ายอมตายดีกว่าแต่งงานกับเจ้า!” ฉินอวี้เหว่ยกัดฟันกล่าว
แสงเย็นวาบทอขึ้นในแววตาของซือคงฮวา แต่เขายังคงยิ้มและพูดอย่างสบาย ๆ “ข้าจะบอกอะไรดี ๆ บางอย่างให้เจ้าฟังเสียหน่อย พี่ชายของข้าเพิ่งกลับมาจากเทือกเขาหมื่นพิษเมื่อบ่ายวันนี้ และดูเหมือนว่าจะได้ปทุมโลหิตหยกนิลกลับมาด้วย เจ้าก็คงจะรู้ดีว่าเขาฝึกฝนวิชาปัญจพิษแปลงโลหิต เขาจึงต้องการเพียงแค่ก้านและใบของปทุมโลหิตเท่านั้น หากเจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าจะขอให้เขามอบปทุมโลหิตให้ข้าและนำมาแลกเปลี่ยนกับอำพันทะเลให้แก่เจ้า เป็นอย่างไร?”
“ซือคงเหิน? เป็นเขาจริง ๆ!” ฉินอวี้เหว่ยตกตะลึงไปก่อนจะกรีดร้องด้วยความโกรธ “ปทุมโลหิตหยกนิลนั้นเป็นของข้า และเป็นมันที่แย่งชิงของไปจากข้า!”
“แย่งชิง? ช่างน่าขัน! เหตุใดพี่ชายของข้าจะต้องไปขโมยของของเจ้าด้วย?” ซือคงฮวาส่ายหัว “แม่นางฉิน ข้าว่าความโกรธของเจ้าคงทำให้เจ้าหัวเสียจนกล่าวพ่นคำไร้สาระออกมาเสียแล้ว”
ฉินอวี้เหว่ยมองไปที่คนไร้ยางอายที่อยู่ตรงหน้า นางโกรธมากจนกัดฟันแน่นและสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าที่บอบบางและสวยงามนั้นก็ซีดลงและดูน่าสงสารมากขึ้น
“ว่าอย่างไร ตัดสินใจได้หรือยัง? ตกลงเจ้าจะยอมแต่งเป็นอนุให้ข้าหรือไม่?” ซือคงฮวายิ้มในขณะที่เขาพูดต่อ “ตอนนี้จิตวิญญาณของฉินจงหมิง บิดาของเจ้าได้บาดเจ็บสาหัสและสูญเสียความทรงจำไป หากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอำพันทะเล เขาจะกลายเป็นผู้พิการทางสมองอย่างสมบูรณ์ ในฐานะลูกสาวของเขา เจ้าย่อมทนเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้จริงหรือไม่?”
“ข้า… ” ฉินอวี้เหว่ยเปิดปากของนาง การแสดงออกของนางเผยให้เห็นความเศร้าโศกและความสิ้นหวัง
“ข้ามีพฤกษาจิตบำรุงวิญญาณอายุพันปีอยู่ ผู้ดูแล เอามันไปแลกกับอำพันทะเลแล้วมอบให้แม่นางฉินเสีย” เฉินซีไม่สามารถทนยืนดูได้อีกต่อไป เขาเดินออกจากฝูงชนก่อนที่จะโยนแผ่นไม้สีดำสนิทที่หนาเท่าหัวแม่มือและกลมมันให้กับผู้ดูแลหลังโต๊ะรับรอง