บทที่ 290 ถึงวันที่สิบห้า
บทที่ 290 ถึงวันที่สิบห้า
โรงเตี๊ยมวิหคทะยานเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ ซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราและมีชื่อเสียงแห่งเมืองเฟิงเย่ ใกล้กันเป็นป่าเฟิงแดง ทำให้สภาพแวดล้อมค่อนข้างสงบและสวยงาม อีกทั้งมีสุราชั้นดี…สุราใบเฟิงเป็นที่เลื่องลือทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
ขณะนี้เพิ่งเที่ยงวัน ภายในโรงเตี๊ยมวิหคทะยานก็เนืองแน่นไปด้วยลูกค้า ผู้บ่มเพาะที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อพบปะพูดคุยและหาความสำราญจากการดื่มสุรา ทำให้บรรยากาศพลุกพล่านอย่างมาก
“ฮ่า ๆ เมื่อวานข้าก็มาร่วมการประมูลที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ด้วยเช่นกัน…บอกเลยว่ายิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เพียงแต่ข้าจะได้เห็นของสะสมและสมบัติล้ำค่าหายากชั้นยอดเท่านั้น แต่ข้าได้ประสบเหตุการณ์สำคัญกับตาตัวเองอย่างหนึ่ง พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร”
“ชิ! ทำเป็นพูดยั่วให้ข้าอยากรู้อย่างนั้นหรือ ข้าก็ไปร่วมการประมูลเหมือนกัน ฉะนั้นมีหรือข้าจะไม่รู้…แต่ถึงกระนั้นการประมูลครั้งนี้มีทั้งดีและไม่มีปะปนกันไป”
“โธ่เว้ย! หยุดพูดจายอกย้อนกันเสียที เล่ามาเร็วเข้า!”
“ก็ได้ ๆ เล่าให้เจ้าฟังสักคนก็คงไม่เสียหาย ในช่วงการประมูล มิใช่แค่นายน้อยใหญ่กับนายน้อยรองแห่งตระกูลซือคงที่มาเข้าร่วมเท่านั้น แม้แต่ศิษย์สายหลักนิกายสวรรค์ปฐพีที่ชื่อหลินโม่เซวียนกับซูเจี้ยนคง ผู้ที่กำลังเปล่งประกายดั่งพระอาทิตย์เที่ยงวันก็มาปรากฏตัวด้วย แค่ได้ยินชื่อของพวกเขา เจ้าก็น่าจะรู้ว่าการประมูลครั้งนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน”
“จริงด้วย ซือคงเหิน นายน้อยใหญ่ตระกูลซือคงเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ และยังฝึกฝนวิชาปัญจพิษแปลงโลหิต อีกทั้งยังเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อน ทำให้เขากลายเป็นคนที่น่าเกรงขามในบรรดาคนรุ่นเยาว์อีกคนหนึ่ง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลินโม่เซวียนกับซูเจี้ยนคงเป็นผู้บ่มเพาะที่กำลังมาแรงที่สุดในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ของนิกายสวรรค์ปฐพี มีทั้งคู่มาปรากฏตัวพร้อมกันในการประมูล ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ”
“ถ้าเจ้าคิดว่าเมื่อพวกเขามาแล้วจะเป็นผู้นำการประมูลละก็ เจ้าคิดผิดถนัด สาเหตุที่ทำให้การประมูลครั้งนี้น่าตื่นเต้นเร้าใจเป็นเพราะจู่ ๆ ก็มีม้ามืดประมาณว่ากล้าได้กล้าเสียโผล่ขึ้นมา ขนาดสมบัติวิเศษที่ซือคงเหินหวังไว้มากก็โดนเจ้าม้ามืดคนนี้คว้าไปครองเสียได้ แต่เรื่องแค่นี้คงไม่เท่าไร ที่น่าตกใจก็คือระหว่างที่กำลังแข่งกันประมูลโอสถกำจายล้ำนั่นเอง พวกตระกูลซือคงแสดงท่าทียโสโอหังยิ่งนัก จนซูเจี้ยนคงที่มาในนามของนิกายสวรรค์ปฐพีต้องออกไปเตือนพวกตระกูลซือคงนิดหน่อย แต่ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้นจึงยังไม่เกิดเหตุขัดแย้งรุนแรง” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดนิ่งไป จนคนรอบข้างที่ตั้งใจฟังอยู่พากันมองมาอย่างใคร่รู้ ก่อนที่จะเอ่ยต่อมา “ใครจะคิดว่าผู้บ่มเพาะแปลกหน้าจะกลายเป็นม้ามืดเสนอราคาอย่างเปิดเผย และทำให้นายน้อยรองของตระกูลซือคงต้องยอมควักเพิ่มอีกสองแสนโอสถกลั่นแรกเริ่มเชียวล่ะ! ไม่เพียงแค่นั้นตอนหลังเขายังพูดทำนองเยาะเย้ยนายน้อยรองตระกูลซือคงให้ต้องอับอายอีกด้วย อย่างกับเขามาที่นี่เพื่อตบหน้าตระกูลซือคงอย่างนั้นล่ะ!”
“หา…โอสถกลั่นแรกเริ่มสองแสนเม็ด! ทำอย่างนั้นออกจะโหดไปหน่อยกระมัง สงสัยป่านนี้ตระกูลซือคงจะต้องเกลียดชังเจ้าหมอนั่นจนเข้ากระดูกดำไปแล้ว”
“แน่ล่ะ เวลานั้นทุกคนตกตะลึงกันหมด แม้ว่าตระกูลซือคงจะด้อยกว่านิกายสวรรค์ปฐพี แต่ก็เป็นกองกำลังผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองเฟิงเย่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตระกูลซือคงถูกคนอื่นตอกหน้าขนาดนี้ เห็นหรือยังว่าน่าตื่นเต้นจะตาย”
“โอหังอะไรเช่นนี้ เขาเป็นใครจึงกล้าทำพฤติกรรมร้ายกาจกับตระกูลซือคงเช่นนั้น”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ข้าว่าเจ้านั่นน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ใครที่เคยทำไม่ดีกับตระกูลซือคงมีหรือจะหนีรอดลอยนวลจริงไหม ไม่มีทาง! ตอนนี้ตระกูลซือคงคงวางแผนหาทางกำจัดเจ้านั่นแล้ว”
…
เรื่องที่เกิดขึ้นในการประมูลที่หอขุมทรัพย์สวรรค์เมื่อวานถูกยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นที่เอิกเกริกอยู่ภายในโรงเตี๊ยม โดยเฉพาะเรื่องของผู้บ่มเพาะที่ลุกขึ้นต่อกรกับตระกูลซือคงอย่างหาญกล้าบ้าบิ่น กำลังอยู่ในความสนใจของผู้คนทุกมุมเมือง
เขาเป็นใคร
ชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด
พลังบ่มเพาะอยู่ขั้นใด
ภูมิหลังที่มาของเขาเป็นอย่างไร?
ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดคะเนของผู้บ่มเพาะที่อยู่ที่นั่น อาจเป็นข้อเสียเมื่อคนอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เห็นมาด้วยตนเอง
ครืนนนน!
ทันใดนั้นพลันเกิดปรากฏการณ์พลังประหลาดระเบิดขึ้นรอบนอกบริเวณโดยมีโรงเตี๊ยมอยู่ตรงกลาง พลังที่พรั่งพรูขึ้นมานั้นทั้งรุนแรงและเป็นปริศนา ด้วยมันปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายวับไป ทำให้ทั้งโรงเตี๊ยมตกอยู่ในความเงียบงันทิ้งภาพจ้อกแจ้กจอแจก่อนหน้าไปจนสิ้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทุกคนหันไปมองหน้ากัน ด้วยความที่ระลอกพลังหายไปอย่างรวดเร็ว คนเหล่านั้นจึงรู้เพียงว่าในโรงเตี๊ยมมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปของคลื่นพลังว่ามันคืออะไร อีกทั้งมันก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ ให้เห็นเลย
ภายในห้องรับรองพิเศษบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม
เฉินซีนิ่งมองยันต์ชิ้นหนึ่งบนโต๊ะ ร่องลึกตรงหัวคิ้วบ่งชัดว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเพียงใด แววตามีร่องรอยของความตื่นตะลึง
ครู่ก่อน หลังจากที่เขาวาดโครงร่างและลากเส้นอักขระยันต์ขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้นนั้น ที่บริเวณพื้นผิวของอักขระยันต์ได้ปรากฏระลอกพลังประหลาดพุ่งพรวดออกมา นับจากตั้งแต่ปรากฏออกมาจนกระทั่งหายไปเหมือนจะใช้เวลาชั่วอึดใจเดียวก็หายวับไปกับตา
แม้ว่าจะเป็นการปรากฏเพียงพริบตาเดียว แต่หัวใจของเขาถึงกับสั่นระรัวทีเดียว ความรู้สึกประหนึ่งมีศัตรูที่น่าเกรงขามเขม้นมองด้วยสายตาเย็นชา ถึงแม้จะเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ แต่ลึกลงไปข้างในเขากลับรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามบางอย่าง
เฉินซีเริ่มสงบสติอารมณ์ สลัดความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมา ไม่สิ…ต้องบอกว่าเขาใช้ความระมัดระวังขณะหยิบยันต์ชั้นสูงขึ้นมา…ยันต์พลังชีวิตพฤกษาคราม และต้องประเมินศักยภาพของมันอย่างรอบคอบ
ลักษณะที่สัมผัสเขาก็ได้พบว่ามันมีความอ่อนนุ่มและมีความยืดหยุ่น บริเวณส่วนบนปกคลุมด้วยแถบสีเงิน ลวดลายราวกับสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นได้ราง ๆ มีป่าไม้เขียวชอุ่มเจริญงอกงามอยู่ในนั้น บนพื้นดินมีวัชพืชและเถาวัลย์ปกคลุมทั่ว หากมองผ่าน ๆ จะเหมือนกับระลอกสีเขียวกำลังพลุ่งพล่านเป็นกระแสคลื่น กลายเป็นสีเขียวเข้มของความเจริญงอกงามอันอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังปลดปล่อยพลังเต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษาออกมาอย่างเข้มข้น
“ช่างสมบูรณ์แบบนัก!” เฉินซีจ้องมองอย่างพินิจพิจารณาเป็นเวลานาน จากนั้นแววตาแห่งความยินดีก็ปรากฏ เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ในยันต์เลิศล้ำขั้นสูงซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้วอย่างชัดเจนและไม่อาจพัฒนาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
อย่างที่รู้กันดีว่ายันต์เลิศล้ำระดับสูงจะต้องมีพลังเต๋ารู้แจ้งถึงเก้าอย่าง และเพราะเหตุนี้ทำให้ผู้บ่มเพาะที่สร้างยันต์เลิศล้ำระดับสูงจะถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งน้อยกว่าเก้าอย่างไม่ได้
สำหรับยันต์พลังชีวิตพฤกษาครามที่วางอยู่เบื้องหน้านี้ ภายในมีเต๋ารู้แจ้งสถิตอยู่แม้จะเป็นเพียงเต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษา แต่กระนั้นก็ยังสามารถบรรลุขั้นสมบูรณ์ได้ เมื่อรู้เช่นนี้จะไม่ให้เฉินซีประหลาดใจได้อย่างไร
ชั่วเพียงไม่นานเขาก็เข้าใจได้ว่าเต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษาที่จัดว่าเป็นมหาเต๋า และยังถูกห้อมล้อมด้วยเต๋ารองพฤกษาอีกมากมายนานัปการ ด้วยสถานะของยันต์แผ่นนี้ หากไม่มีเหตุไม่คาดคิดอะไรอื่น ยันต์เลิศล้ำระดับสูงจะสามารถบรรลุขั้นสมบูรณ์ได้
อำนาจของยันต์เลิศล้ำระดับสูงจะมีความน่าเกรงขามกว่ายันต์ทั่วไปที่มีสถานภาพที่เท่ากัน รวมทั้งความแข็งแกร่งภายในก็สูงกว่าด้วย เหตุนี้ยันต์เลิศล้ำระดับสูงจึงมีพลังเทียบเท่ากับพลังจู่โจมเต็มที่ของผู้ฝึกขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์!
ยามนี้ใบหน้าของเฉินซีจึงเปื้อนด้วยรอยยิ้มอย่างไม่อาจสะกดกลั้น ขณะที่ความรู้สึกอ่อนล้าพุ่งวาบจับใจ ในการสร้างยันต์เลิศล้ำ เขาต้องสูญเสียปริมาณปราณแท้ไปกว่าครึ่งทีเดียวและไหนจะกลืนกินพลังวิญญาณของเขาอีกมหาศาลด้วย ความอ่อนล้าที่เกิดขึ้นตอนนี้ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาอย่างไรอย่างนั้น เหนื่อยล้าเสียจนเจ้าตัวไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวเสียตอนนี้
แต่เขายังไม่อยากหยุดพัก ในชามเหลือน้ำหมึกมากพอที่จะวาดยันต์พลังชีวิตพฤกษาครามได้อีกแผ่นหนึ่ง ถ้ารอช้าจนหมึกแห้งก็จะเสียเปล่า
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงอีกครั้ง จากนั้นจึงลงมือวาดยันต์อีกครา
เวลาผ่านไปอีกวัน
หลังจากที่ปราณแท้หยาดสุดท้ายเหือดแห้งและเค้นจิตสัมผัสเทพทั้งหมดในห้วงสำนึกออกมาจนหยดสุดท้าย ในที่สุดเฉินซีก็วาดยันต์พลังชีวิตพฤกษาครามขึ้นมาได้อีกแผ่นหนึ่ง
ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย อาจเพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยนักจึงส่งผลให้ยันต์เลิศล้ำที่ได้มาไม่ถึงขั้นสมบูรณ์
‘ตอนที่วาดยันต์ชิ้นแรก สภาวะจิตของข้าเข้าถึงสมาธิอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะว่าไปแล้วจัดว่าอยู่ในสถานะสูงที่สุดทีเดียว แต่พอตอนวาดยันต์ชิ้นที่สองแม้ปราณแท้และจิตสัมผัสเทพจะมีมากพอก็ตาม แต่ความเข้มแข็งทางสภาวะจิตของข้ากลับไม่เฉียดใกล้ครั้งแรกเลย น่าจะเกิดจากสาเหตุบางอย่าง’ เฉินซีหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเลิกความคิดนั้นเสีย เวลานี้พลังของเขาอ่อนล้าถึงขีดสุดและต้องการการฟื้นฟูแก่นแท้ พลังงานรวมทั้งจิตวิญญาณอย่างเร่งด่วน ว่าแล้วชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขานั่งขัดสมาธิบนที่นอน จากนั้นจึงเริ่มกำหนดลมหายใจเข้าสู่สมาธิทันที
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินซีก็อยู่แต่ในห้องตลอดเวลาไม่ได้ออกไปไหนเลยและหมกมุ่นอยู่กับการเขียนยันต์อย่างเดียว นอกจากนั้นเขายังต้องสลับหยุดพักหนึ่งวันหลังจากที่เขียนยันต์ขั้นสูงสำเร็จสองชิ้น ถ้ามาคิดโดยเฉลี่ย เขาเขียนยันต์ได้เพียงวันละหนึ่งแผ่นเท่านั้นซึ่งถือว่าผลงานที่ได้ยังไม่มากเท่าใดนัก
ถึงแม้ว่าจะได้จำนวนน้อย แต่ความน่าสะพรึงกลัวของยันต์กลับมีมากมหาศาล เพราะผลสุดท้ายยันต์เลิศล้ำขั้นสูงหนึ่งแผ่นก็เทียบได้กับพลังจู่โจมเต็มที่ของผู้ฝึกขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงเลยทีเดียว และถ้านำไปจำหน่ายจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่ใคร ๆ ต่างหมายตา อีกทั้งต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาอย่างชนิดเอาเป็นเอาตาย
หากเรื่องที่เฉินซีสามารถเขียนยันต์เลิศล้ำขั้นสูงทุกวันด้วยอัตราและความเร็วเช่นนี้แพร่ออกไป คนที่รู้ข่าวจะต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างเป็นแน่
ถึงวันที่สิบห้า
วันนี้เมืองเฟิงเย่กำลังถูกพายุฝนถล่ม จึงปรากฏกลุ่มเมฆสีดำลอยปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้าขณะเดียวกันก็มีฟ้าแลบสลับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นครั่นครืน สายฝนที่เทลงมาจนเห็นเป็นผืนน้ำทำให้เมืองเฟิงเย่ทั้งเมืองเสมือนอยู่ในม่านหมอกแห่งราตรีกาลทั้งที่เป็นเวลากลางวัน
ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนเช่นนี้ บรรดาผู้บ่มเพาะไม่ได้สัญจรไปไหนมาไหนมากนัก ดังนั้นตามท้องถนนจึงมีผู้คนเดินมาเป็นกลุ่ม ๆ ละสองคนบ้างสามคนบ้าง แต่ละคนเร่งรีบกลับเข้าที่พัก ทำให้ทั้งเมืองสงัดเงียบราวกับเมืองร้าง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยกลับมีกลุ่มคนสามคนเดินเล่นอยู่ในม่านสายฝนด้วยความสบายใจไร้กังวล แม้ว่าพายุฝนจะรุนแรงเพียงใด แต่มันกลับไม่สัมผัสถูกตัวพวกเขาแม้สักหยดเดียว และเวลาที่พวกเขาเดินไปแต่ละก้าวจะมีระยะทางเกือบร้อยจั้ง ดูไปก็คล้ายกับดวงวิญญาณที่กำลังล่องลอยท่ามกลางสายฝนทีเดียว
ต่อมาไม่นานทั้งสามได้มาปรากฏตัวที่หน้าโรงเตี๊ยมวิหคทะยาน
บรรยากาศในโรงเตี๊ยมวิหคทะยานก็หงอยเหงาเงียบงันเช่นกัน ด้วยไม่มีเงาของลูกค้าแม้สักคนเดียว กระทั่งพนักงานที่คอยต้อนรับหรือพ่อครัวก็ไม่ปรากฏ จะมีก็เพียงเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ยืนรอรับอยู่ตรงประตูทางเข้าเท่านั้น
ทันทีที่เห็นผู้มาเยือนทั้งสามชัด ๆ ความหวาดกลัวก็ฉายวาบในดวงตาของชายผิวขาวรูปร่างเตี้ยล่ำผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมทันที เขาคารวะอ่อนน้อมแสดงความเคารพอย่างยิ่งยวดพร้อมกับพูดผ่านกระแสปราณด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “ข้าได้ดำเนินการตามคำสั่งของพวกท่านแล้ว เวลานี้แขกในโรงเตี๊ยมออกไปจนหมด เหลือเพียงแขกที่พักในห้องรับรองพิเศษบนชั้นสองเท่านั้น เอ่อ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะให้ข้าทำอย่างอื่นอีกหรือไม่ขอรับ”
“ไปได้แล้ว ตระกูลซือคงจะชดเชยในสิ่งที่เจ้าต้องสูญเสียให้ทั้งหมด” คนที่มีท่าทางเป็นหัวหน้ากล่าวอย่างเฉยเมยพลางพยักหน้าให้ ขณะนั้นเขายังสวมหมวกใบใหญ่ที่สานจากไม้ไผ่และร่างกายห่มผ้าคลุมสีดำมิดชิด เผยให้เห็นเฉพาะส่วนของใบหน้าครึ่งล่าง น้ำเสียงแหบสาก เยือกเย็นดั่งอสรพิษร้ายกำลังคืบคลานขย้ำเหยื่อส่งให้ผู้ฟังเสียวสันหลังวาบ
“อ้อ…ขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบตอบเสียงสั่นรัว จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่าภายนอกสายฝนกำลังกระหน่ำอย่างหนัก หากคิดแต่จะรีบหนีออกจากโรงเตี๊ยมให้เร็วที่สุด หลังจากการมาถึงของคนสามคนนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโรงเตี๊ยมที่เขาเปิดดำเนินการมานานกว่าทศวรรษ จะกลายเป็นแหล่งกบดานของมารร้ายไปทันที
“ไอ้เด็กนั่นอยู่แค่ขอบเขตเคหาทองคำ แต่กลับเรียกเราสามคนมาที่นี่ นายน้อยใหญ่จะไม่ระแวงเกินเหตุไปหน่อยหรือ” ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างแข็งแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัวขณะสั่นศีรษะพร้อมกับถอนใจหลายหน
“เลิกบ่นเสียที วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การฆ่าที่สุด” คนสวมชุดคลุมสีดำที่น่าจะเป็นหัวหน้าเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นสายฟ้าพลันฟาดลงที่กลางกลุ่มก้อนเมฆสีดำทะมึน ทำให้มองเห็นใบหน้าซีดขาวกับดวงตาสีแดงฉานเป็นประกายแวววาว ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่เหมือนดวงตามนุษย์