บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 296 โล่มังกรอำพัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 296 โล่มังกรอำพัน

บทที่ 296 โล่มังกรอำพัน

นี่คือช่องเขาที่รายล้อมไปด้วยยอดเขาเขียวขจีที่สูงตระหง่านและงดงาม ซึ่งมีน้ำตกและน้ำพุไหลรินอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังมีทิวทัศน์ที่ค่อนข้างเงียบสงบและสวยงาม

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ การต่อสู้ที่รุนแรงกำลังเกิดขึ้นที่นี่ และการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวได้บดขยี้ภูเขาและต้นไม้ให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกภายในระยะยี่สิบห้าลี้ ปั่นป่วนวุ่นวายเป็นอย่างมาก

ปัง!

มู่ขุยได้กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงแล้ว ปีกสีเงินของเขากระพือพร้อมกับพัดพากระแสลมทำให้ทรายและก้อนกรวดปลิวว่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่เขาถือกระบองหนามขนาดมหึมาที่ดุร้ายและดุดันซึ่งเปรียบเสมือนขวานที่ผ่าแยกสวรรค์ออกจากกัน ทุกครั้งที่มันทุบลงมา จะมีพลังมหาศาลและดุร้ายที่สามารถบดขยี้ภูเขาให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้ามัน

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ของเขาเหนือกว่าเขามาก เต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อนที่มีพิษร้ายแรงได้กลายเป็นมังกรหมอกจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด แม้แต่ก้อนหินที่แข็งแกร่งหรือต้นไม้ที่เขียวขจีจะกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนที่จะถูกกัดกร่อนจนสลายกลายเป็นความว่างเปล่า และพื้นดินก็ยังแตกออกเป็นรอยแยกที่น่าสะพรึงกลัวมากมายด้วยพลังกัดกร่อนที่เป็นพิษร้ายแรง

มันมีฤทธิ์กัดกร่อนและเป็นพิษจนแม้แต่อากาศก็ยังถูกย้อมให้กลายสีดำ และส่งกลิ่นเหม็นอันน่าสะอิดสะเอียนที่ทำให้คนต้องอาเจียนออกมา

“จงยอมแพ้ซะ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ตราบใดที่เจ้ามอบกระบองหนามในมือและยอมจำนนพร้อมกับกล่าวสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ว่าอย่างไรล่ะ?” ร่างกายของซือคงเหินเป็นเหมือนกลุ่มควันสีดำที่กระพืออยู่บนท้องฟ้าอย่างไม่มีกำหนด ฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์และไร้ที่ติของเขาร่ายรำครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่เขาฟาดมังกรหมอกสีดำจำนวนมากที่ปกคลุมท้องฟ้าและโลก ซึ่งโหมกระหน่ำไปทุกทิศทุกทาง

เขาชื่นชมในความดุร้ายและความเหี้ยมโหดของมู่ขุย เขาตั้งใจจะเอามู่ขุยมาเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โจมตีอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม และการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขาก็สามารถฆ่ามู่ขุยได้ภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่า และเขาคงไม่มีทางเกลี้ยกล่อมมู่ขุยให้กลับมาอยู่ฝ่ายเขาจนถึงตอนนี้

“หึ เจ้ามันเพ้อเจ้อ! เจ้ากำลังจะตายแท้ ๆ แต่ยังอวดโอ้อยู่อีก? ไร้สาระและน่าหัวเราะจริง ๆ!” มู่ขุยหัวเราะเสียงดัง แต่หัวใจของเขากลับหนักอึ้งและไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

ภายใต้การโจมตีที่ไม่ทิ้งช่องว่างแม้แต่นิดเดียวของซือคงเหิน ทำให้ผิวและขนสีเงินของเขาถูกย้อมไปด้วยหมอกสีดำสนิท ซึ่งเต็มไปด้วยพลังกัดกร่อนที่รุนแรง และพวกมันก็เหมือนกับเนื้อร้ายที่ไม่สามารถกำจัดได้อย่างสิ้นเชิง หากปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ซือคงเหินก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวใด ๆ แต่เนื้อหนังทั่วร่างกายของเขาจะสึกกร่อนอย่างสมบูรณ์ ทำให้เขาเสียชีวิตในท้ายที่สุด

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นเหมือนกับนายของเจ้า พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าซะและจะได้กระบองหนามนั่นมาในทำนองเดียวกัน” ซือคงเหินหัวเราะอย่างเย็นชาขณะที่เขาเผยเจตนาฆ่าอันดุร้าย จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวด้วยก้าวย่างอย่างลึกล้ำ ในขณะที่ร่างกายของเขาปล่อยหมอกสีดำออกมาอย่างกะทันหัน มันได้ควบแน่นอยู่ในฝ่ามือสีขาวและเรียวยาวของเขา เพื่อสร้างกงล้อที่มีฟันแหลมคมขนาดมหึมา

กงล้อนั้นมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับบ้านและมีสีดำสนิท ขอบของมันถูกปกคลุมไปด้วยฟันอันแหลมคมจำนวนมาก พลังกัดกร่อนอันไร้ขอบเขตส่งเสียงหวีดหวิวและถาโถมเข้าไปในกงล้อ ก่อตัวเป็นกระแสวังวนที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งปล่อยไอพิษที่กลืนกินและกัดกร่อนที่น่ากลัวออกมา

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในขณะที่กงล้อขนาดมหึมาที่มีฟันแหลมคมปรากฏขึ้น พื้นที่โดยรอบก็ถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสึกกร่อนทันที จนเกิดเป็นความว่างเปล่าสีดำสนิท ที่ทำให้หนังศีรษะต้องด้านชาเพียงแค่มองจากระยะไกล

ช่างเป็นวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ทรงพลัง!

มู่ขุยรู้สึกประหลาดใจ และไม่ลังเลที่จะกระพือปีกของเขาเพื่อหนีไปให้ไกล เขาไม่มีความมั่นใจที่จะรับการโจมตีนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรักษาชีวิตของตนเองไว้เท่านั้น

“ฮึ่ม! คิดจะหนีหรือ? เจ้าควรภูมิใจในตัวเองที่สามารถตายภายใต้กงล้อกร่อนกระดูกของข้าได้!” ซือคงเหินตะโกนออกมาขณะที่แขนของเขาสะบัด จากนั้นกงล้อขนาดมหึมาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ และมันก็เหมือนกับดวงอาทิตย์สีดำที่ค่อย ๆ ขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งฉายแสงสีดำสนิทออกมาปกคลุมท้องฟ้าและโลก

เคร้ง! เคร้ง!

แสงสีดำสนิทที่ปล่อยออกมาจากกงล้อแผ่พุ่งออกไปในระยะยี่สิบห้าลี้ ทำให้ภูเขา ป่าไม้ ลำธาร และสัตว์อสูรที่ไม่สามารถหนีได้ทันล้วนถูกย้อมด้วยไปด้วยชั้นสีดำประหลาด ก่อนที่ร่างกายจะถูกกัดกร่อนจนเป็นรูโหว่และส่งกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรง

ร่างของมู่ขุยถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำสนิทเช่นกัน แต่พื้นผิวบนร่างกายของเขามีม่านพลังปกป้องอยู่ แต่อานุภาพของแสงสีดำสนิทนั้นรุนแรงเกินไป ทำให้ม่านพลังถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว และไม่ว่ามู่ขุยจะออกแรงทั้งหมดอย่างไร มันก็ไม่สามารถต้านทานพลังกัดกร่อนที่รุนแรงได้

‘หรือว่าวันนี้ข้ามู่ขุยต้องจะตายที่นี่?’

‘ไม่มีทาง!’

‘ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็ต้องลากไอ้สารเลวนี่ไปด้วย เพื่อที่ข้าจะได้แก้ปัญหาสุดท้ายของนายท่าน!’

มู่ขุยฝืนกัดฟันแน่นขณะที่ความมุ่งมั่นฉายวาบในดวงตาสีเขียวหยกของเขา จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมา เขาไม่หลบหนีอีกต่อไปและพุ่งเข้าหาซือคงเหินอย่างดุเดือดแทน

‘หืม?’

‘เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ต้องการทำอะไร?’

ซือคงเหินตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นแกนทองคำพร่างพราวลอยออกมาจากปากของมู่ขุย ทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างในทันที ‘เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ตั้งใจจะระเบิดแกนกลางทองคำของมันและลากข้าลงไปตายด้วย!’

‘มารดามัน! เจ้าเด็กบัดซบคนนั้นมีความสามารถอะไร? ถึงมีสัตว์อสูรหมาป่าผู้ซื่อสัตย์เป็นข้ารับใช้ของมันได้… แต่มันต้องการที่จะลากข้าลงไปนรกกับมัน? ฝันไปเถอะ!!’ ใบหน้าของซือคงเหินกลายเป็นมืดมน เขายืนอยู่ที่ตรงนั้น ในขณะที่ยกมือขึ้นเพื่อยกกงล้อสีดำให้สูงขึ้น จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะทุ่มมันไปทางมู่ขุยอย่างรุนแรง!

ฟิ้ว!

ทว่าก่อนที่กงล้อสีดำจะผละมือจากมือเขา ปราณกระบี่อันรุนแรงและรวดเร็วก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ และมันก็แทงตรงไปยังหัวใจของซือคงเหินจากทางด้านหลัง

“บัดซบ!” ซือคงเหินสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่เจาะกระดูกมาจากทางด้านหลัง ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก และละทิ้งการโจมตีมู่ขุยทันที ก่อนที่จะเหวี่ยงกงล้อสีดำไปขวางหน้าเขาแทน

ปัง!

ปราณกระบี่ปะทะกับกงล้อสีดำ ทำให้เกิดแรงระเบิดที่รุนแรงราวกับการปะทุของภูเขาไฟไปยังบริเวณโดยรอบ กระแสลมอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการระเบิดได้สั่นสะเทือนโลกและทำให้ท้องฟ้ามืดสลัว แม้แต่สวรรค์และโลกก็ตกลงสู่กระแสพลังที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรง

‘นายท่าน!!’ มู่ขุยตกตะลึง จากนั้นเขาก็เก็บแกนทองคำของตนเองทันทีก่อนจะมองไปที่เฉินซีซึ่งกำลังต่อสู้กับซือคงเหินในระยะไกล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขที่สามารถเอาชีวิตรอดจากความตาย เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านของเขามาถึงทันเวลา เขาคงจะระเบิดแกนทองคำของตนเองและตายตกไปนานแล้ว

“ฮ่า ๆๆ! ซือคงเหิน ข้าบอกเจ้าแล้วว่าวันนี้เจ้าต้องตาย แต่เหมือนเจ้าจะไม่เชื่อข้า! รับมือ!” มู่ขุยหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ร่างของเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นเขาก็เงื้อกระบองหนามขึ้นและทุบมันลงไปที่ซือคงเหิน

ความแข็งแกร่งของซือคงเหินนั้นน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อรวมกับเต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อนที่ร้ายกาจของเขา ความแข็งแกร่งของเขาเกือบจะเทียบได้กับหวงฝู่ฉงหมิง แต่เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างด้อยกว่าเมื่อเทียบกับเฉินซีในขณะนี้ การเพิ่มมู่ขุยเข้าสู่การต่อสู้ทำให้สถานการณ์ของซือคงเหินกลายเป็นวิกฤตทันที

‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?’

‘ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าไม่อาจรับมือกับมดปลวกที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างนั้นหรือ?’

เมื่อซือคงเหินต่อสู้นานขึ้น ความตกตะลึงในใจของเขากลับเพิ่มมากขึ้น เขาพบว่าทั้งความเร็วและเคล็ดวิชาการต่อสู้ของเขาถูกเฉินซีสะกดเอาไว้ได้ และมีเพียงพละกำลังของเขาเท่านั้นที่ครอบครองตำแหน่งที่ได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิง และหลังจากมู่ขุยเข้าร่วมการต่อสู้ เขาก็ไม่เหลือข้อได้เปรียบอีกต่อไป

“กรระบวนยุทธ์ระดับเต๋าของข้าคือ กงล้อกร่อนกระดูก ที่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อนที่หาได้ยากมาก และเมื่อถูกใช้ด้วยวิชาปัญจพิษแปลงโลหิตของข้า จึงทำให้มันเป็นพิษที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ การบ่มเพาะของข้าก็อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ แล้วข้าจะไม่สามารถรับมือกับมดปลวกขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างไร?” หัวใจของซือคงเหินเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสับสน ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณต่อสู้ของเขาก็สลายไปทีละนิดโดยไม่รู้ตัว

ฟิ้ว!

กระทิงเพลิงนรกขนาดมหึมาที่ถูกอาบไปด้วยเปลวไฟพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ขนทั่วร่างของมันเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกโชน และมันเปล่งพลังมหาศาลอย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้ ด้วยการกระทืบเท้าของมัน ทะเลเพลิงที่ลุกโชนก็ทอดยาวออกไป และซือคงเหินซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกล้อมอยู่ในนั้นทันที

“ร่างแปลงเต๋ารู้แจ้ง! สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมหาเต๋าแห่งอัคคีบรรลุขอบเขตเริ่มต้นเท่านั้น หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้สามารถควบคุมมหาเต๋าแห่งอัคคีจนบรรลุถึงขอบเขตที่น่าสะพรึงกลัวได้แล้วจริง ๆ?” เผ้าผมของซือคงเหินกลายเป็นยุ่งเหยิงขณะที่เขาร้องออกมาด้วยความตกใจโดยไม่ได้ตั้งใจ และเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่กำลังจู่โจมเขาอยู่ เมื่ออยู่ในทะเลเปลวเพลิงนี้

โฮกกกก!

กระทิงเพลิงนรกเปล่งเสียงคำรามที่สามารถเขย่าสวรรค์และโลกขณะที่มันออกอาละวาด และเขาที่ยาวเหมือนหอกแหลมคมของมันก็แฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งไฟที่ดุร้าย บริสุทธิ์ และเกรี้ยวกราดขณะที่มันพุ่งเข้าหาซือคงเหินอย่างดุเดือด!

“ไม่~~~~!” ซือคงเหินรู้สึกว่าพลังในร่างกายของเขาถูกยับยั้งไว้ ทำให้เขาไม่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนี้ได้ และทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจนสติหลุด รูม่านตาของเขาถึงกับขยายออกอย่างกะทันหัน

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าฆ่าเขาไม่ได้!” ทันใดนั้น เสียงสูงวัยก็ดังก้องขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่ชายชราผมดอกเลาคนหนึ่งทะยานผ่านอากาศและมาถึงที่เบื้องหน้าของซือคงเหินอย่างรวดเร็ว จากนั้นมือของเขาก็ผลักออกไปอย่างแรงเพื่อฟาดเขาของกระทิงเพลิงนรก

ทันใดนั้น กระทิงเพลิงนรกที่ก่อกำเนิดจากเต๋ารู้แจ้งแห่งไฟได้ถูกบดขยี้และสลายหายไป และแท้จริงแล้ว มันกลับถูกชายชราผมดอกเลากำจัดอย่างง่ายดายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!

“ท่านลุงหย่งหลิน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว เร็วเข้า ช่วยข้าฆ่าเจ้าเด็กบัดซบคนนี้ที ข้าอยากจะฉีกมันออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จะเผากระดูกและโปรยขี้เถ้าทิ้งซะ!” เมื่อซือคงเหินเห็นชายชราคนนี้ เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นป่าเถื่อนดุร้าย และเมื่อเขามองไปที่เฉินซี คำกล่าวของเขาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเจตนาฆ่าที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้

‘ชายชราคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ และจากกลิ่นอายของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะทรงพลังกว่าฟ่านอวิ๋นหลานเล็กน้อย’ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย แต่ในใจของเขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

“นายน้อยใหญ่ โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเอาชีวิตมันเดี๋ยวนี้” ชายชราที่มีนามว่าหย่งหลินตบที่ไหล่ซือคงเหินเพื่อแสดงความปลอบโยน จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับศีรษะของ เฉินซีโดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

ปัง!

หย่งหลินสมควรที่จะเป็นผู้บ่มเพาะในขอบเขตจุติ แม้ว่ามันจะเป็นการคว้าจับแบบเบา ๆ แต่พลังที่ควบแน่นอยู่ในฝ่ามือของเขาก็ทำให้อากาศแตกเป็นเสี่ยง ๆ และมีปราณที่น่าสะพรึงกลัวพรั่งพรูออกมามหาศาล

สวรรค์และโลกโดยรอบถูกแช่แข็งด้วยพลังงานที่บ้าคลั่งนี้ จนตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งและมีเพียงพลังของการคว้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายในสภาวะหยุดนิ่งเช่นนี้ โดยไม่เชื่องช้าลงเลยแม้แต่น้อย

‘ช่างทรงพลังยิ่งนัก! กลิ่นอายของมันสามารถยับยั้งเส้นทางการล่าถอยทั้งหมดของข้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวและแยกอากาศโดยรอบออกจากข้า ถ้าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำคนอื่น พวกเขาอาจต้องรอความเมตตาจากมัน นี่คือพลังของขอบเขตจุติอย่างนั้นหรือ?’ ใบหน้าเฉินซีกลายเป็นเรื่องจริงจังในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต่อสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่ยิ่งใหญ่ แต่ในใจของเขากลับไม่มีความหวาดกลัว ในทางกลับกัน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้กลับเดือดพล่านราวกับหินหลอมเหลวที่ลุกโชนอยู่ในตัวเขา

เพียะ!

เสียงที่ชัดเจนและคมชัดราวกับหยกที่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเฉินซีบดขยี้ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงที่เขาเตรียมไว้อย่างไม่ลังเล

ครืนนน!

โล่สีเหลืองดินที่มีขนาดกะทัดรัดและหนักหน่วงเหมือนขุนเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินซี และมีมังกรยักษ์สีเหลืองอาศัยอยู่บนยอด มันมีดวงตาที่เย็นยะเยือกพร้อมกับหนวดที่ปลิวไสวไปมา ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเหลือง มันคำรามก้องและทะยานขึ้นไปบนยอดของโล่ ในขณะที่ปลดปล่อยเต๋ารู้แจ้งแห่งผืนดินอันไร้ขอบเขต ซึ่งทำให้โล่ทั้งหมดได้รับการเสริมแต่งจนถึงจุดที่ดูเหมือนจริงขึ้นมา และมันให้ความรู้สึกที่มั่นคงไม่อาจสั่นคลอน

โล่มังกรอำพัน!

อย่างไรก็ตาม มันยังไม่จบสิ้น หลังจากที่เขาบดขยี้ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงที่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งผืนดินแล้ว ยันต์เลิศล้ำอีกสองสามแผ่นก็ปรากฏขึ้นภายในฝ่ามือของเฉินซีอีกครั้ง…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท