บทที่ 300 ทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
บทที่ 300 ทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
ปราณจ้าววิญญาณพุ่งสูงขึ้น ในขณะที่จิตวิญญาณของเขายังคงปลอดโปร่ง ทำให้เกิดภาพแปลกประหลาดปรากฏขึ้นภายในร่างกายของเฉินซี
เพลิงทองคำชำระล้างอันรุนแรงเผาผลาญร่างกายและพลังงานของเขา ทว่าพลังอันมหาศาลของปราณจ้าววิญญาณแห่งพฤกษาก็เหมือนกับพลังปราณมหาศาลที่สร้างชีวิตขึ้นได้ ส่งผลให้ร่างกายเขาเปล่งประกายด้วยพลังชีวิตอีกครั้ง มอดไหม้และหลอมละลายไป จากนั้นก็เกิดใหม่และเปล่งประกายพลังชีวิตออกมา ราวกับพืชที่เหี่ยวเฉาและเติบโต คล้ายการเกิดและตายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่วนเวียนเรื่อยไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดในวัฏจักรที่คล้ายกับวัฏสงสาร
การกลับชาติมาเกิดทุกครั้งก่อให้เกิดร่างกายและพลังชีวิตที่ทำให้เขาแกร่งขึ้นทีละน้อย ก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นใหม่เริ่มใสดั่งแก้ว เปล่งแสงสุกสกาวเจือไอเซียนออกมา
ในทางกลับกัน ปีศาจวาโยทลายมิติที่กลั่นร่างเป็นโซ่ก็คำรามอย่างบ้าคลั่ง ปะทะกับจิตวิญญาณของเขาอย่างดุเดือด ส่งผลให้จิตวิญญาณของเขาเหี่ยวเฉา ใกล้จะถูกลบล้างไป คล้ายจะถูกปัดเป่ากระจัดกระจายหายไปในพริบตาต่อมา
แต่ด้วยความที่จิตเฉินซีจดจ่ออยู่กับรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีแล้ว มันจึงไม่อาจถูกปีศาจครอบงำ เป็นดั่งสนใหญ่หยั่งรากลึก ไม่ว่าลมหรือฝนก็ไม่อาจสั่นคลอนรากฐานของมันได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป จิตวิญญาณของเขาดูเหมือนได้เกิดใหม่ ได้รับการชำระล้างครั้งใหญ่ ทำให้เปล่งประกายเจิดจ้า ปลดปล่อยปราณสูงส่งอันเป็นนิรันดร์ออกมาจาง ๆ
ฮึ่ม!
เสียงหนึ่งดังจากภายในร่างกาย ราวกับเซียนกำลังสวด มหาเต๋าดึงเสียงจากธรรมชาติ ประกายแสงอันเจิดจรัสพลันพุ่งออกจากประตูชีวิต
จากนั้น แกนทองคำกลมเกลี้ยงดูโปร่งแสงที่เปล่งปราณยิ่งใหญ่ก็พุ่งออกมาจากภายใน
ครืน!
แสงสีทองอันไร้สิ้นสุดส่องสว่างอยู่ในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขา และเปลี่ยนเป็นดอกบัวสีทองจำนวนมากที่โปรยลงมาในทะเลสาบปราณแท้ และปราณแท้ที่กว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรก็แยกออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งกลายเป็นหยิน อีกครึ่งหนึ่งกลายเป็นหยาง จากนั้นปราณแท้ก็พุ่งเข้าสู่แกนทองคำที่หมุนวน ทำให้ขนาดของแกนทองคำขยายตัวมากกว่าสิบเท่าในทันที
หยินและหยางหลอมรวมกัน และทำให้เกิดเสียงมังกรและเสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้น!
เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่าปราณแท้ควบแน่นอยู่ภายในแกนทองคำ เขาประหลาดใจนักที่พวกมันเปลี่ยนรูปไปคล้ายกับผลึกแก้วเหลว คุณภาพปราณเกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้บริสุทธิ์ขึ้นและกว้างใหญ่ขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาก็ขยายออกมากกว่าสองเท่า พลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติดั่งผลึกแก้วใสสะอาดที่สุดในใต้หล้าและมีความแวววาวดุจแก้ว ราวกับแววแห่งปัญญาออกมา
‘หยินโดดเดี่ยวไม่อาจให้กำเนิด เช่นเดียวกับหยางโดดเดี่ยวไม่อาจเจริญเติบโต เมื่อหยินและหยางถูกหลอมรวมกัน สวรรค์และโลกก็ถือกำเนิดเกิดขึ้น ทัณฑ์สวรรค์คือภาพลวงและเกิดจากปีศาจภายในใจ เมื่อข้ามพ้นมันมาได้ก็จะเกิดปัญญา จิตใจของข้าคือฟ้าดิน ร่างกายของข้าคือรากฐานแห่งสวรรค์และโลก!’
หลังจากที่ได้สัมผัสทัณฑ์สวรรค์แห่งลมและไฟเมื่อก่อนหน้านี้ และได้สัมผัสกับการที่ร่างถูกแผดเผา วิญญาณถูกขัดเกลามาแล้ว เฉินซีก็พึ่งพาสิ่งนี้เพื่อกระตุ้นความรู้แจ้ง กรรม ปีศาจภายใน บาปทั้งหลาย ความสัมพันธ์ต้องห้าม… ทั้งหมดนี้เป็นภัยพิบัติแห่งจิตใจ เมื่อใดที่ลบล้างทัณฑ์สวรรค์ไปได้ สติปัญญาที่แท้จริงก็จะปรากฏ เมื่อสร้างรากฐานแห่งฟ้าและดินขึ้นแล้ว ก็จะไม่ถูกความเปลี่ยนแปลงใดในโลกหล้านำพาอีกต่อไป
ขณะที่ความเข้าใจของเขาก็เพิ่มขึ้น เพลิงทองคำชำระล้างจึงมอดลง ส่วนปีศาจวาโยทลายมิติก็ค่อย ๆ สลายหายไปทีละตัว ในชั่วพริบตา ทัณฑ์สวรรค์แห่งลมและเพลิงก็หายไปอย่างสมบูรณ์
ในขณะนี้ จิตใจของเฉินซีได้ความกระจ่างแจ้งกลับคืนแล้ว แกนทองคำที่ลอยอยู่ภายในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขามีวงแสงศักดิ์สิทธิ์วงแล้ววงเล่าส่องแสงลงมา เปล่งรัศมีสงบร่มเย็นและเป็นนิรันดร์ ปราณแท้ที่ราวกับเป็นผลึกเหลวไหลผ่านไปตามเส้นและจุดต่าง ๆ ทั่วร่าง ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ทุกครั้งที่ผู้บ่มเพาะข้ามขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นปราณแท้ ร่างกาย พลังชีวิต หรือจิตวิญญาณ ทุกสิ่งอย่างล้วนมีการพัฒนาให้สูงขึ้น ไม่อาจใช้ตัวเลขใดมาอธิบายแทนได้ นี่คือสาเหตุที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำจำนวนมากได้
เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของปราณแท้และพลังบ่มเพาะ ความเปลี่ยนแปลงของพลังภายในทะเลแห่งจิตวิญญาณเองก็เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นกัน หลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์ลมและไฟไป พลังวิญญาณที่แต่เดิมอยู่ในขั้นจิตสัมผัสเทพได้ปลดปล่อยแสงสว่างจ้าทั่วทะเลแห่งจิตวิญญาณ เต็มไปด้วยปัญญาและแข็งแกร่งขึ้นกว่าสองเท่า
ในอดีต จิตสัมผัสเทพที่เขาสำแดงออกมาสามารถเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ ทว่าตอนนี้มันแทบจะเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ กำลังมุ่งเข้าสู่ขั้นเหนือกว่าไปแล้ว
การที่มีจิตสัมผัสเทพแข็งแกร่งมีประโยชน์มากหลาย เช่นการคุมสมบัติวิเศษ การเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์ การโจมตีและการขัดขวางศัตรู การตรวจหาและตรวจจับต่าง ๆ… อีกทั้งยังเป็นประโยชน์แก่การหลอมศัสตรา การหลอมโอสถ และการสร้างยันต์อีกต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ขัดเกลาปราณภายในหรือผู้ขัดเกลากายา อสูรชั่วร้ายหรือปีศาจ พลังวิญญาณล้วนสำคัญยิ่งต่อทุกสิ่งมีชีวิต หากสูญเสียไปแล้วก็ไม่ต่างจากตาย
‘ในที่สุดข้าก็ทะลวงมาถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง…’ เฉินซีหลับตาลง ทันใดนั้น ทั่วร่างพลันเปล่งลมปราณรุนแรงราวกับคมกระบี่จำนวนมาก เฉือนลงบนผนังถ้ำจนเกิดรอยแตกเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนขึ้น ดูน่ากลัวนัก
“นายท่าน ยินดีด้วยที่มาถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว!” มู่ขุยที่อยู่ใกล้ ๆ โค้งคำนับให้พลางเอ่ยแสดงความยินดี ตอนนี้ เมื่อรู้สึกถึงปราณในร่างนายท่าน ก็รู้สึกราวกับตนเป็นเพียงมดตัวน้อยที่แหงนหน้ามองขุนเขาสูงตระหง่าน
“เจ้าหายดีแล้วหรือ?” เฉินซีพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็คลายกลิ่นอายดุดันทั่วร่างที่ปล่อยออกมา และกลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม
“ดีขึ้นมากแล้วขอรับนายท่าน ในเมื่อท่านเพิ่งจะทะลวงพลัง ก็ควรจะทำให้พลังบ่มเพาะมั่นคงให้ดีก่อน เพื่อไม่ให้รากฐานไม่มั่นคง ส่งผลให้พลังในร่างปะทะกันได้ ข้าจะออกไปเฝ้าถ้ำให้ท่านเอง” มู่ขุยรีบออกจากถ้ำไป ปล่อยให้เฉินซีฝึกฝนอย่างสงบด้วยตัวเอง
เป็นไปอย่างที่มู่ขุยกล่าวไว้จริง ๆ เขาเพิ่งประสบทัณฑ์สวรรค์แห่งลมและไฟมา แม้จะก้าวไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้สำเร็จ แต่พลังบ่มเพาะของเขายังไม่เสถียร ยังไม่สามารถควบคุมความแข็งแกร่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาในการทำให้มันมั่นคงให้ดี
เรื่องที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ หลังจากทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว จะต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก มากจนต้องพึ่งพาวารีวิญญาณมาเติมพลังวิญญาณทีเดียว ถึงจะดูดซับพลังอยู่ครึ่งเดือนก็อาจไม่มากพอจะเติมเต็มพลังบ่มเพาะนี่ด้วยซ้ำ เคราะห์ดีที่เฉินซีไม่เพียงแต่มีวารีวิญญาณ แต่ยังมีโอสถกลั่นแรกเริ่มล้านเม็ด และมีโอสถเหลวหยกนภาอีกเกือบแสนเม็ดอยู่
ทั้งคู่เป็นโอสถวิญญาณระดับปฐพี ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของพวกมันคือ โอสถกลั่นแรกเริ่มนับเป็นระดับปฐพีขั้นต่ำ เป็นเพียงโอสถวิญญาณธรรมดา ๆ ในโลกแห่งการบ่มเพาะเท่านั้น แต่เนื่องจากผู้คนใช้มันกันอย่างกว้างขวาง มันจึงกลายเป็นค่าเงินในราชวงศ์ซ่ง ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายของที่ผู้บ่มเพาะจำเป็นได้หลายอย่าง
ทว่าโอสถเหลวหยกนภาเป็นโอสถวิญญาณระดับปฐพีขั้นสุดยอด เป็นยาระดับสูงที่มีเพียงตำหนักเต๋านภาเท่านั้นที่จะหลอมออกมาได้ ไม่เพียงแต่จะเป็นยาขั้นสูงกว่าโอสถกลั่นแรกเริ่ม แต่ยังมีมูลค่าสูงกว่าจนโอสถกลั่นแรกเริ่มเทียบไม่ติด
เนื่องจากนี่เป็นพลังบ่มเพาะของเขาเอง เฉินซีย่อมเลือกใช้โอสถเหลวหยกนภา ส่วนโอสถกลั่นแรกเริ่มนั้น เขาตั้งใจจะเก็บไว้ใช้แทนเงิน
วาบ!
ทันทีที่ยาไหลลงลำคอ มันก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณอันกว้างใหญ่บริสุทธิ์และพลุ่งพล่าน ไหลเวียนไปยังทุกจุดทั่วร่างกาย อีกทั้งแรงยายังมีผลหลากหลาย ช่วยบำรุงอวัยวะภายในและบำรุงร่างกาย ทำให้มีความลึกล้ำยิ่งขึ้น
จังหวะที่พลังโอสถเหลวหยกนภาเปลี่ยนเป็นปราณแท้ เพียงไม่กี่อึดใจ แกนทองคำในร่างเฉินซีก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่แสงสีทองบนผิวของมันจะงดงามขึ้นเท่านั้น แต่มันยังพุ่งออกมาพร้อมกับพลังที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน เฉินซีสามารถมองเห็นพลังของเต๋ารู้แจ้งที่ไหลเวียนอยู่ภายในแกนทองคำ
ธาตุทั้งห้า หยิน หยาง ดาว ลม สายฟ้า ท้องนภา ปารมิตา การลืมเลือน… เต๋ารู้แจ้งทั้งหมดนี้เดิมทีไม่มีรูปร่าง ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากหลากสีสันหลากกลิ่นอาย ไหลเวียนอยู่ภายในแกนทองคำ ปลดปล่อยกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ที่ปกคลุมสวรรค์และโลก โอบกอดไปทั้งจักรวาล
‘ตอนที่ข้าถูกหวงฝู่ฉงหมิงไล่ล่า และเมื่อวันก่อน ข้าเกือบทนแรงโอสถเหลวหยกนภาเพียงเม็ดเดียวไม่ไหว รากฐานแห่งเต๋าเกือบถูกทำลายไปเสียแล้ว แต่ตอนนี้ข้ากลับต้องใช้โอสถเหลวหยกนภาเจ็ดเม็ดเพื่อเติมเต็มปราณแท้ ช่างไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ’
สามวันต่อมา เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิและปล่อยลมหายใจยาวออกมา เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดในชีวิต และดูเหมือนว่าเพียงหมัดเดียวก็สามารถทะลวงฟ้าจนเป็นรูโหว่ได้
สิ่งสำคัญคือ หลังจากทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจมากกว่าสิบเท่าหากเทียบกับเมื่อครั้งยังอยู่ขอบเขตเคหาทองคำด้วยซ้ำ ตราบใดที่เขามีโอสถวิญญาณให้ใช้ไม่หมด เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าปราณแท้จะเหือดแห้ง กลายเป็นจักรกลต่อสู้ที่ไร้ความเหน็ดเหนื่อยไปได้
ตู้ม!
เฉินซีซัดหมัดออกไป ทำให้อากาศกระเพื่อม ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่า ภูเขาที่อยู่ห่างจากถ้ำสองลี้แตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านก่อนจะปลิวหายไป
‘แค่พลังจากปราณแท้ก็น่าเกรงขามเช่นนี้แล้ว! เช่นนั้นมาดูว่าจิตวิญญาณจะแกร่งขนาดไหน’ เฉินซีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นหว่างคิ้วของเขาก็เต้นตุบ พยายามปลดปล่อยจิตสัมผัสเทพออกมาให้ได้
พันลี้!
สองพันลี้!
สามพันลี้!
ห้าพันลี้!
หกพันลี้!
‘มันแผ่ไปได้ไกลได้ถึงหกพันลี้ทีเดียว! ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติธรรมดาทำได้น้อยกว่าสามพันลี้ด้วยซ้ำ ของข้าทำได้เป็นสองเท่าของพวกเขา! หากเป็นขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เช่นนั้น… ก็คงจะไปได้ไกลกว่าของข้ากระมัง?’ เฉินซีสูดลมหายใจเข้าแล้วก็ต้องตกตะลึง น่าตกใจนักที่เขาเห็นมู่ขุยกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้บ่มเพาะอีกสองคนภายใต้จิตสัมผัสเทพอันกว้างใหญ่ของเขา
หนึ่งในสองคนนั้นสวมชุดนักพรตเต๋าสีฟ้าอ่อนและมีรูปร่างผอม หว่างคิ้วเผยจิตสังหารหนาแน่น ผู้บ่มเพาะอีกคนสวมเสื้อปักลาย ตัวสูงและอ้วน มีดวงตาเล็กแคบ ทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตายังดูหนุ่มแน่น พลังบ่มเพาะอยู่ราวขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง ตอนนี้ทั้งสองกำลังล้อมมู่ขุยที่อยู่ตรงกลางไว้คนละด้าน
‘มู่ขุยเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บหนัก เกรงว่าจะสู้สองคนนี้ไม่ไหว…’ ความคิดหนึ่งวาบผ่านใจเฉินซี เขาลุกขึ้นยืน พริบตาต่อมาก็หายเข้าไปในถ้ำแล้ว
…
“ปรากฏการณ์ที่เกิดบนสวรรค์และโลกก่อนหน้านี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้นจะต้องมีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้นมาแน่ ในเมื่อเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าก็คงได้มันไปเป็นแน่ แต่ยังกล้าโกหกหลอกลวงพวกเราพี่น้องอีกหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะอย่างเย็นชา
มู่ขุยยิ้มเยาะ ยังคงนิ่งเงียบ แต่มือก็จับกระบองหนามไว้แน่น พร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ
ปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าดินนั่นเกิดจากที่นายท่านทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเมื่อสามวันก่อนจนพลังกระทบไปไกลถึงพันลี้ มันคงจะไม่ปั่นป่วนแนวเขาแถบนี้ได้ขนาดนั้นหรอก แต่ไม่คิดเลยว่าจะนำพาผู้บ่มเพาะประสงค์ร้ายมาถึงสองคน
ที่น่าขันที่สุดคือ สองคนนี้คิดว่ามีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้นในแนวเขาแถบนี้และหมายจะครอบครองมัน ตาพวกเขามืดบอดจนไร้วิจารณญาณเสียจริง
“ศิษย์พี่เว่ยเฟิง ทำไมต้องเสียเวลาพูดคุยกับเจ้าสัตว์ตัวนี้ด้วยเล่า? รีบฆ่ามันแล้วชิงเอาสมบัติล้ำค่ามาเถอะ แล้วเราจะได้กลับเมืองนภาครามด้วยกัน หากเร่งเดินทางเต็มฝีเท้าก็น่าจะทันการชุมนุมธารทองนะ” ชายอ้วนตัวเตี้ยขมวดคิ้ว
“ศิษย์น้องจงเหลียว เจ้าพูดถูก ในเมื่อเจ้านี่คุยด้วยเหตุผลไม่ได้ เช่นนั้นก็โทษที่เราไม่ยอมลงให้มันไม่ได้หรอกนะ” เว่ยเฟิงพูดช้า ๆ และกำลังจะลงมือ เมื่อเขาเห็นร่างสูงปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วต่อหน้าอสูรหมาป่าตัวนั้น
ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!
เว่ยเฟิงหวาดหวั่นอยู่ในใจ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเฉินซีที่อยู่เพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น เขาก็อดส่ายหน้าเผยความดูถูกออกมาไม่ได้
“เจ้าเป็นใครกัน? หรือจะเป็นเจ้านายของมัน?” จงเหลียวเองก็เห็นเฉินซีเช่นกัน ดวงตาเล็กหรี่ลงพลางถามเสียงเย็น
“พวกนี้เป็นมิตรหรือศัตรู?” เฉินซีไม่สนใจทั้งสองคน และหันไปถามมู่ขุย
“ศัตรูขอรับ” มู่ขุยตอบ ทันทีที่เห็นเฉินซีมา เขาก็รู้สึกราวกับได้ที่พึ่ง ทั่วร่างพลันผ่อนคลายสบายไปหมด
“ฮึ่ม! มีแค่หนึ่งคนหนึ่งตัวแต่ยังคิดต่อต้านหรือ? ส่งสมบัติล้ำค่ามา แล้วข้าจะยอมไว้ชีวิต” เว่ยเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา
“ส่งสมบัติล้ำค่ามาอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีชะงักไป
“โอ้ เจ้าไม่เต็มใจหรือ? เช่นนี้เอาอย่างนี้ ข้าจะยกโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งหมื่นเม็ดให้ ถือเสียว่าซื้อสมบัติจากเจ้าก็แล้วกัน” จงเหลียวยิ้มพลางพูด เขากลัวเฉินซีและมู่ขุยอยู่เล็กน้อย เพราะกลัวว่าหากทั้งคู่จนมุมก็อาจระเบิดแกนทองคำตัวเองทิ้งได้ ดังนั้นหากเป็นไปได้ เขาจึงอยากเลี่ยงการต่อสู้ แต่หากราคาสูงเกินไปเขาก็ไม่เต็มใจ เขาให้ได้มากสุดคือโอสถกลั่นแรกเริ่ม หนึ่งหมื่นเม็ดเท่านั้น
“โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งหมื่นเม็ดหรือ? เจ้าคิดว่าจะมีสมบัติล้ำค่าชิ้นไหนซื้อได้ด้วยราคาเท่านี้บ้าง?” เฉินซีหัวเราะขบขัน
“อะไรกัน? เจ้าไม่เต็มใจหรือไร?” สีหน้าของเว่ยเฟิงและจงเหลียวพลันเยียบเย็น เผยจิตสังหารออกมา
“ไม่ยอมละทิ้งจิตชั่วร้าย ทั้งยังเผยจิตสังหารเช่นนี้ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าทั้งสองที่ทั้งโลภทั้งโง่เขลาเช่นนี้ แต่ยังฝึกฝนไปถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างไรกัน” เฉินซีส่ายหัว
“ดูท่าเจ้าจะอยากรนหาที่ตายนักนะ?” เว่ยเฟิงอดเผยจิตสังหารไม่ได้ จากนั้นก็เกิดเสียงเคร้งขึ้น เขาพลันเผยกระบี่ทองของตนออกมา ตัวกระบี่สลักด้วยอักขระยันต์นับไม่ถ้วน ราวกับมีแสงสีทองกระเพื่อมออกมา เส้นสายสีทองไหลเวียนวนอยู่ระหว่างอักขระยันต์เหล่านั้น น่าตกใจยิ่งนักที่มันเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสูง
“ได้โปรดชี้แนะด้วย” เฉินซียิ้มไม่ใส่ใจ ทว่าในใจกลับมีตื่นเต้น เขาอยากลองความแข็งแกร่งยามต่อสู้ของตนเองว่าจะเป็นอย่างไรหลังจากทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมาแล้วนัก