บทที่ 304 ภัตตาคารบุปผามุก
บทที่ 304 ภัตตาคารบุปผามุก
ภัตตาคารบุปผามุกเป็นร้านอาหารอันดับต้น ๆ ในเมืองนภาคราม ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ตัวอาคารสูงเก้าชั้น ตกแต่งอย่างประณีตและสวยงาม ราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ด้านในมีพ่อครัววิญญาณระดับหกใบไม้สามคนปรุงอาหารอยู่ ทั้งสี กลิ่นและรสชาติของอาหารนั้นดูสมบูรณ์แบบมาก มันเต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่มากเพียงพอที่จะจัดให้อยู่ในอันดับแรกของเมือง
ช่วงที่การประชุมการชุมนุมธารทองใกล้จะเริ่มต้นขึ้นเช่นนี้ ธุรกิจของภัตตาคารบุปผามุกจึงคึกคักมากขึ้นเป็นพิเศษ ในยามนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่เก้าชั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยลูกค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์จากดินแดนต่าง ๆ และแผ่นดินซ่ง
“ศิษย์พี่เว่ยเฟิง ข้าได้ยินมาว่าคู่ต่อสู้ของท่านคือผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลาง? ท่านช่างดวงดียิ่งนัก ที่ไม่ต้องเป็นกังวลกับการแข่งขันแบบตัวต่อตัวในรอบแรก” คนข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น
เว่ยเฟิงส่ายหัวและพูดว่า “ระดับการบ่มเพาะบางคราก็ไม่อาจใช้เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้ ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีท่าไม้ตายที่ทรงพลังซ่อนไว้หรือไม่? ใช่หรือไม่ จงเหลียว?”
จงเหลียวกำลังยุ่งอยู่กับการกิน แต่เขาก็ยังรีบพยักหน้าตอบเมื่อเขาได้ยินเสียงเรียก
พวกเขาสองคนเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งจะได้พบกับสหายผู้มีพลังประหลาดมาหมาด ๆ อีกฝ่ายอยู่เพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น แต่พวกเขาทั้งคู่กลับไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว
“แต่หากจะกล่าวถึงผู้ที่โชคดีที่สุดแล้ว ย่อมต้องกล่าวถึงศิษย์พี่ชิวเยี่ยน คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเพียงชายหนุ่มขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ” ดวงตาของผู้พูดหันกลับมามองไปทางอีกคน
ทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในบรรดาผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น แต่ชิวเยี่ยนกลับได้พบหนึ่งในนั้น ตั้งแต่การต่อสู้ตัวต่อตัวในรอบแรก เขาย่อมสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายเป็นนอน
ร่องรอยความพึงพอใจฉายผ่านดวงตาของชิวเยี่ยน แต่เขากลับถอนหายใจ “ในเมื่อคู่ต่อสู้ของข้าด้อยกว่าเกินไป ชัยชนะของข้าก็ไม่นับว่ายิ่งใหญ่อะไร!” เพราะตัวเขาเองเป็นถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้หยาบคายเลย
“พวกเราทุกคนต่างก็อิจฉาท่านมากที่โชคดีได้คู่ต่อสู้เช่นนี้ แต่สหายผู้นี้กลับบ่นว่าคู่ต่อสู้ของตนอ่อนแอเกินไป หลังจากที่ได้เปรียบผู้อื่นเช่นนี้ยังคุยโว้ได้ดีจริง ๆ” ใครบางคนกล่าวกลั้วหัวเราะ “จริงสิ ศิษย์พี่ชิวเยี่ยน ใครคือคู่ต่อสู้ของท่านหรือ? เป็นศิษย์จากที่แห่งใด? หากบังเอิญเขามาจากนิกายที่มีชื่อเสียง เช่นนั้นท่านต้องระวังอย่าทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างอนาถเกินไปเล่า ไม่อย่างนั้นมันจะดูไม่ดีเอานะ”
ชิวเยี่ยนถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า “ถ้าหาก เขามาจากนิกายที่มีชื่อเสียงละก็นะ น่าเสียดาย สหายผู้นี้มาจากเมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ และข้าก็ไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย ถึงข้าจะชนะเขาได้ มันก็ไม่สมศักดิ์ศรีอะไรเลย”
ทุกคนรู้สึกอิจฉาอีกครั้ง ใครบ้างจะไม่ต้องการคู่ต่อสู้ที่ไร้ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลัง อีกทั้งยังอ่อนแอกว่าเช่นนี้?
“แล้วคนผู้นั้นคือ?” ในที่สุดใครบางคนก็ถามออกไปจนได้
“โอ้ ชายคนนั้น… ดูเหมือนว่าเขาจะมีนามว่าเฉินซี ข้าแทบจะจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ…” ในขณะที่เขาพูด ชิวเยี่ยนก็หยิบแผ่นหยกเงาออกมาและวางท่าทีดุจชนชั้นสูง
เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยและแปลกหู พวกเขาจึงหมดความสนใจทันทีและเริ่มดื่มอวยพรให้ชิวเยี่ยนเสียงดัง
มีเพียงเว่ยเฟิงและจงเหลียวเท่านั้นที่ชะงักและตกตะลึง คนผู้นั้นมิใช่ชายหนุ่มประหลาดที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตรรกะนั่นหรอกหรือ?
ทันใดนั้นสายตาที่ทั้งคู่มองไปยังชิวเยี่ยนก็เปี่ยมไปด้วยความสงสาร
ที่อีกด้านของงานเลี้ยง โต๊ะที่ชายสองหญิงหนึ่งกำลังนั่งอยู่
ในบรรดาชายสองคนนี้ คนหนึ่งมีรูปร่างหน้าตางดงามราวกับหญิงสาว แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกและเฉียบคมราวกับใบมีด ส่วนอีกคนสวมกวาน*[1]ทรงสูงและเสื้อคลุมปักลาย รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและโดดเด่น ท่าทางที่อ่อนโยนและสง่างามทำให้เขาดูไม่ธรรมดา
รูปร่างหน้าตาและเครื่องแต่งกายของทั้งคู่โดดเด่นอย่างยิ่ง ท่าทางของพวกเขาเองก็ดูเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างมากเช่นกัน แต่ต่อหน้าสตรีที่ร่วมโต๊ะคนนั้น ราศีของทั้งสองดูราวกับจะหมองลงไปอยู่สักหน่อย
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามและสง่า ผมสีดำขลับและเรียบลื่นม้วนเป็นมวยสูง ขับใบหน้าของนางสวยยิ่งขึ้น
หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาย่อมรู้ได้แน่นอนว่าคนทั้งสามนี้คือ อันเชี่ยนอวี้แห่งนิกายกระบี่สะบั้นนภา หวังเต้าซวี่แห่งนิกายจรัสแสง และเจิ้นหลิวชิงแห่งหอวารีหมอก
“โฮ่ โชคของสหายผู้นั้นไม่เลวเลย…” เห็นได้ชัดว่าอันเชี่ยนอวี้ได้ยินการสนทนาจากโต๊ะของชิวเยี่ยน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง “เดี๋ยวนะเฉินซี? ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม เขาพูดว่าเฉินซี?”
หวังเต้าซวี่พยักหน้า “เจ้าฟังไม่ผิดหรอก เป็นเฉินซีจริง ๆ เพื่อนตัวน้อยขอบเขตเคหาทองคำที่ถูกหวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ ไล่ล่าไปหลายแสนลี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่านอกจากเขาจะยังไม่ตาย ตอนนี้ยังบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกด้วย”
“สหายผู้นั้นดูท่าจะโชคร้ายเสียแล้ว แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเฉินซีจะต่ำ แต่เขาก็มีความสามารถมาก เมื่อตอนที่เขาอยู่แค่ขอบเขตเคหาทองคำ กระทั่งหวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับตอนนี้” อันเชี่ยนอวี้จิบสุราหนึ่งจอก และพูดขึ้นขณะที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง “ยามนี้ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าในการชุมนุมธารทองครานี้ ชายคนนั้นจะสามารถไปได้ไกลเพียงใดกัน?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากสู้กับเขา?” หวังเต้าซวี่ยิ้ม
“ข้าอยาก ข้าคิดอยากจะสู้กับเขาตั้งแต่ที่ขุมสมบัติเฉียนหยวนแล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยตระหนักถึงความปรารถนานี้จนกระทั่งตอนนี้” อันเชี่ยนอวี้ถอนหายใจ
“ฮ่า ๆ! ได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้นแล้ว ข้าก็ชักสนใจที่จะสู้กับเขาเหมือนกันแล้วสิ ข้าอยากรู้เสียจริงว่าสหายผู้นี้มีความสามารถมากเพียงไหน ถึงได้สามารถดึงความปรารถนาในการต่อสู้ของเจ้าออกมา และหลบหนีการตามล่าของหวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ ได้อย่างไรกัน” หวังเต้าซวี่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าทั้งสองคนระวังตัวเอาไว้ เพียงปฏิบัติต่อเขาในฐานะคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันนั้นยังไม่นับว่ามากพอ พวกเจ้าจะต้องทุ่มเทให้เต็มกำลัง แล้วพวกเจ้าจึงอาจมีโอกาสชนะได้บ้าง ถือเสียว่านี้เป็นข้อเสนอแนะของข้าก็แล้วกัน” ในที่สุดเจิ้นหลิวชิงที่จิบชาอยู่เงียบ ๆ ก็กล่าวขึ้น
อันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่ตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียง ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง พวกเขารู้ว่าเมื่อเจิ้นหลิวชิงพูดออกมาเช่นนั้น ก็ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
“นี่หรือว่า… ” อันเชี่ยนอวี้กล่าว
“ไม่จำเป็นต้องถามข้า หลังจากที่เจ้าได้ลองประมือที่การชุมนุมธารทอง เจ้าก็จะได้รู้เอง” เจิ้นหลิวชิงโบกมือขัดจังหวะ ดวงตาใสที่ดูเฉยเมยของนาง ราวกับถูกหมอกปกคลุม ทำให้คนอื่นเดาไม่ออกว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
อันเชี่ยนอวี้อยากจะถามต่อ ทว่าก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงจากโต๊ะของชิวเยี่ยนเสียก่อน
“ข้าชิวเยี่ยน ขอให้ทุกท่านโชคดี ได้รับชัยชนะในการชุมนุมธารทองวันพรุ่งนี้!”
“โอ้ ขอบคุณสำหรับคำอวยพร น่าเสียดายที่พวกเราทุกคนไม่ได้มีโชคเท่าท่าน พี่ชายชิวเยี่ยน”
“ใช่แล้ว การต่อสู้ของพี่ชิวเยี่ยนในวันพรุ่งนี้จะต้องง่ายดายและไม่เสียแรงเป็นแน่ โอ้ จู่ ๆ ข้าก็นึกอะไรดี ๆ ขึ้นได้ เหตุใดเราไม่มาเดิมพันกับชัยชนะของพี่ชายชิวเยี่ยนกันเล่า?”
“วิเศษมาก! นี่แหละคือสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน!”
“เสี่ยวเอ้อ ร้านอาหารของเจ้ารับเดิมพันหรือไม่? เร็วเข้า ข้าต้องการวางเดิมพัน!”
“ทุกท่าน พวกท่าน พวกท่านกำลังทำให้ข้าอับอายแล้วจริง ๆ” ชิวเยี่ยนร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ในเมื่อพวกท่านรู้ผลแพ้ชนะอยู่แล้ว แต่ยังคงคิดจะวางเดิมพัน ถึงพวกท่านจะชนะการเดิมพัน มันคงไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะรู้สึกภาคภูมิใจได้หรอก”
แต่ฝูงชนก็ไม่ได้หยุด และเรียกหาเด็กรับใช้ของร้าน ก่อนจะวางเดิมพันอย่างต่อเนื่อง บ้างก็วางโอสถกลั่นแรกเริ่มพันเม็ด บ้างก็สองพันเม็ด มากสุดก็ไม่เกินหนึ่งหมื่น ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็เพียงแค่วางเดิมพันเล็กน้อยเพื่อความสนุกกันเท่านั้น
มีเพียงเว่ยเฟิงกับจงเหลียวเท่านั้นที่ไม่ได้วางเดิมพัน มันจึงทำให้พวกเขากลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจไปในทันที
“พี่ชายทั้งสองท่านนี้ เหตุใดพวกท่านจึงไม่ลองเดิมพันเล่นดูเล่า? นี่นับเป็นการให้กำลังใจพี่ชายชิวเยี่ยนอย่างหนึ่งนะ” บางคนกล่าวขึ้นด้วยไม่พอใจ และมันก็ดึงดูดคนอื่น ๆ ตอบรับความคิดเห็นนี้อย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มตะโกนส่งเสียง
เว่ยเฟิงกับจงเหลียวมองหน้ากัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการเดิมพัน แต่พวกเขาเพียงแค่เดาผลลัพธ์เอาไว้ได้สักพักแล้ว ดังนั้นหากนี่เป็นการลงขันพนันข้างเฉินซี พวกเขาคงไม่ลังเลเลยที่จะร่วมเดิมพัน ทว่าหากเป็นชิวเยี่ยนแล้ว… พวกเขาก็ไม่ต้องการเสียเงินทิ้งไปโดยเปล่าเช่นนั้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่สามารถบังคับกันได้ ทุกท่านโปรดปล่อยทั้งสองไปเถิด” ชิงเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขากลับเย็นชายิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเว่ยเฟิงกับจงเหลียวไม่ไว้หน้าเขา
“เป็นกลุ่มตัวบัดซบที่เอะอะเสียงดังกันจริง ๆ!” เดิมทีอันเชี่ยนอวี้ตั้งใจจะถามเจิ้นหลิวชิงเพิ่มเติม แต่กลับถูกคนเหล่านี้ขัดจังหวะ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ในขณะที่เขากำลังคิดจะให้บทเรียนแก่คนกลุ่มนี้ จู่ ๆ เงาร่างหนึ่งก็วูบผ่านหน้าเขาไปอยู่ข้าง ๆ โต๊ะของชิวเยี่ยน
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าวางเดิมพันกันอยู่หรอกหรือ? ข้าขอพนันด้วยโอสถกลั่นแรกเริ่มแสนเม็ด” สตรีผู้สวมชุดสีดำกล่าวขึ้น นางมีผิวที่ขาวราวกับหิมะ ผมสีดำขลับทิ้งตัวอย่างงดงามดุจม่านน้ำตก ดวงตาที่เปล่งประกายแวววาว รูปร่างหน้าตาละเอียดลออและสวยงาม เสียงของนางก็ไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงขับกล่อมจากธรรมชาติ
เมื่อนางเปิดปากเอ่ยขึ้น ทั่วทั้งร้านก็เงียบกริบจนถึงขั้นที่สามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นได้ไปในทันที โอสถกลั่นแรกเริ่มแสนเม็ด! ฟุ่มเฟือยยิ่งนัก!
แม้จะเป็นเมืองใหญ่ที่มีเดิมพันกันเป็นปกติ ก็ยังนับว่าหายากที่จะมีใครกล้าใช้ความมั่งคั่งมากมายมาลงเดิมพันเช่นนี้
บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้วางเดิมพันเป็นสตรีที่งดงาม ยิ่งทำให้ดึงดูดสายตาของทุกคนมาร่วมกันอยู่ตรงนั้นในทันที พวกเขาต่างพากันคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของผู้หญิงคนนี้อย่างรวดเร็ว
ชิวเยี่ยนมองดูสตรีผู้บอบบางและงดงามที่อยู่ด้านข้างของตนอย่างตกตะลึง กลิ่นหอมคล้ายดอกกล้วยไม้อ่อนที่ติดในจมูกของเขา ทำให้หัวใจของเขาลุกโชน เขาลุกขึ้นยืนและผสานมือคำนับ “ขอบคุณแม่นางที่สนับสนุนข้า ข้ารู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ กับความเมตตาของท่าน”
บรรดาเพื่อนที่อยู่ด้านข้างของชิวเยี่ยน ต่างก็แสดงความอิจฉาออกมา การเดิมพันเพียงเล็กน้อยเช่นนี้กลับสามารถดึงความสนใจของดอกไม้งามที่หาใครเปรียบยากมาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วคนอื่นจะไม่อิจฉาในความโชคดีเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้แต่อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่และเจิ้นหลิวชิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ท่าทางของสตรีผู้นี้ดูไม่ธรรมดาเลย ดังนั้นสายตาของนางคงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นใช่หรือไม่?
หญิงสาวในชุดดำคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ชิวเยี่ยน งดงามราวกับดอกไม้ที่บานหลังฝนตก สวยงามเกินกว่าจะเปรียบเทียบ ทันใดนั้นนางก็ส่ายหัวและพูดว่า “ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าต้องการที่จะวางเดิมพันว่าเฉินซีจะชนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชิวเยี่ยนแข็งค้าง ตัวสั่นราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า
คนอื่นเองก็อึ้งไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องที่น่าทึ่งเช่นนี้เกิดขึ้น
เมื่อเว่ยเฟิงกับจงเหลียวเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงของชิวเยี่ยน
ชิวเยี่ยนลืมเลือนไปสิ้นจนกระทั่งหญิงชุดดำจากไปแล้ว ความอัปยศท่วมท้นหัวใจของเขาฉุดสติให้กลับมา ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังนั่งอยู่บนพรมเข็ม สิ่งที่น่าเกลียดยิ่งกว่านั้น คือการที่เรื่องนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคนในที่แห่งนี้… ตอนนี้เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการค้นหารอยแตกบนพื้น และเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้นอีกแล้ว
เพื่อนของเขาทุกคนก็รู้สึกอับอายเช่นกัน พวกเขาต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็ต้องปิดปากเงียบลงไปอีกครั้ง
“ฮึ! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีสตรีที่มีสายตาแย่ ๆ แบบนี้อยู่ในโลกนี้จริง ๆ แต่ก็เอาเถิด ข้าใจกว้างพอจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรเรื่องนี้กับนาง” ชิวเยี่ยนหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาและแสร้งทำเป็นสงบ แต่ในใจของเขากลับด่าทออีกฝ่ายอย่างรุนแรง ‘นังตัวเหม็น มาดูกันว่าหลังจากที่พรุ่งนี้ข้าทุบตีเจ้าเด็กนั่นแล้ว เจ้ายังจะกล้าเมินข้าอยู่อีกหรือไม่!’
“ใช่ แม้จะสวยงามเพียงใด สตรีสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็มีดีแค่หน้าตากันทั้งนั้น”
“พี่ชายชิวเยี่ยนไม่จำเป็นต้องใส่ใจ หญิงตาบอดคนนี้ไม่มีค่าคู่ควรที่จะให้ท่านโกรธ”
“ใช่แล้ว มาดื่มกันเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
เหล่าสหายของชิวเยี่ยนอาจจะต้องการทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดรับกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเกลี้ยกล่อมเขา
“พวกเจ้าไม่เดิมพันกันแล้วหรือ? ข้าเองก็อยากจะเล่นเหมือนกัน” ทันใดนั้นน้ำเสียงอันไพเราะก็ดังขึ้นในหูของพวกเขาอีกครั้ง ชิวเยี่ยนเงยหน้าขึ้น และได้เห็นหญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์ เดินช้า ๆ ตรงมาทางโต๊ะของเขา…
ชิวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความหวังอีกครั้ง ผู้หญิงคนเมื่อครู่มีตาแต่ไม่มีแวว แต่แม่นางตรงหน้าเขานี้ต้องไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน มิฉะนั้นบนโลกนี้ก็มีสตรีที่มีดีเพียงแค่ใบหน้าเยอะจนน่าสิ้นหวังเกินไปแล้ว
“ข้าขอเดิมพันโอสถกลั่นแรกเริ่มสองแสนเม็ดกับชัยชนะของเฉินซี” ริมฝีปากสีเชอร์รีของสตรีผู้งดงามเผยอเล็กน้อยขณะที่นางพูดออกมาสองสามคำเบา ๆ
ชิวเยี่ยนตกสู่ความสับสนและตกตะลึงโดยสมบูรณ์ ร่องรอยแห่งความหวังที่เพิ่งเกิดขึ้นภายในใจของเขาแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ‘เป็นเพราะข้าโง่และไร้เดียงสาเกินไป หรือว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปกัน…’
…
ที่มุมหนึ่งของร้าน ซูเฉินในชุดขาวกำลังนั่งอยู่อย่างเงียบเชียบ
เขาได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และนึกถึงเหตุการณ์ที่ตระกูลของเขาถูกทำลายลงในทะเลเพลิงเมื่อหลายปีก่อน
เฉินซี!
เป็นเฉินซีอีกแล้ว!
ความโกรธและความเกลียดชังที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของซูเฉินถูกจุดให้ลุกโชนขึ้น ราวกับสัตว์อสูรที่คำรามด้วยความกระสับกระส่ายกำลังต้องการทำลายเหตุผลของเขาอีกครั้ง เขารีบหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน อารมณ์ของเขาก็สงบลงเล็กน้อย
ดวงตาของเขาเย็นชาอย่างมาก กลิ่นอายรอบตัวของเขาก็เย็นยะเยือกจนน่ากลัว
“สตรีชุดดำคนก่อนหน้านี้คงเป็นแม่นางย่าชิงจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ นางเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากท่านหญิงสุ่ยฮวา ตัวตนของนางนั้นลึกลับอย่างยิ่ง ส่วนสตรีคนที่สองคือเจิ้นหลิวชิง ศิษย์ของหอวารีหมอกจากทะเลตะวันออก ผู้ได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิซ่งองค์ปัจจุบันว่าเป็นตัวตนที่สามารถทัดเทียมได้กับชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉิงอิง นางเก็บซ่อนตัวตนได้ดียิ่ง ความแข็งแกร่งของนางนั้นนับว่าไม่อาจหยั่งรู้ได้” ชายหนุ่มรูปร่างผอมทว่ามีหน้าตาน่าเกลียดที่อยู่ข้าง ๆ ซูเฉินพูดออกมาช้า ๆ
“เราไม่อาจทำอะไรสตรีเหล่านั้นได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรเคลื่อนไหวต่อต้านพวกนางเพื่อแก้แค้นเฉินซี”
ซูเฉินจ้องชายหนุ่มร่างผอมอย่างเย็นชา เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบรับอย่างช้า ๆ “ข้าจะฆ่ามันด้วยสองมือของข้าเอง!”
[1] กวาน คือ เครื่องประดับศีรษะที่บ่งบอกถึงฐานะหรือบรรดาศักดิ์ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล