บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 305 สตรีสองนาง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 305 สตรีสองนาง

บทที่ 305 สตรีสองนาง

ทันทีที่แสงแรกของเช้าวันรุ่งขึ้นสาดส่อง หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้วเฉินซีและมู่ขุยได้ออกจากโรงเตี๊ยม ณ ขณะนั้นเมืองนภาครามก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาพักใหญ่ ตามถนนหนทางที่กว้างขวางมีผู้บ่มเพาะจำนวนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา มองเผิน ๆ จะเหมือนกับกระแสน้ำสีดำจากทุกสารทิศไหลมาบรรจบในที่เดียวกัน

ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องสอบถามเส้นทาง เพราะเฉินซีสามารถเดินตามผู้คนที่หลั่งไหลเพื่อไปถึงใจกลางเมืองนภาคราม ที่นั่นมีทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งกินอาณาบริเวณนับพันลี้ ขณะนั้นเหนือทะเลสาบขึ้นไปมีการสร้างเป็นลานขนาดใหญ่โตโอฬารไว้ก่อนแล้ว บนนั้นคือสังเวียนประลองจำนวนสิบแปดสังเวียน

ลานนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของทะเลสาบ เพื่อให้สามารถรองรับผู้คนนับหมื่นที่มาชมการต่อสู้ประลองได้ พื้นลานปูด้วยโลหะเคลือบเงาสีดำ บนพื้นผิวยังประกอบด้วยค่ายกลป้องกันที่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระสร้างไว้มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้เป็นอย่างดี เวทีประลองทั้งสิบแปดสังเวียนจึงแข็งแกร่งมาก และเวลาประลอง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนก็ไม่ต้องกังวลว่าอาจมีพลังบางอย่างรั่วซึมออกมาหรือเกรงสถานการณ์ที่เวทีอาจพังถล่ม

ดูเหมือนที่นี่จะเต็มไปด้วยฝูงชนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดจนจำกัดการมองเห็นของพวกเขา ขณะเดียวกันเสียงโห่ร้องที่เอ็ดอึงดังสนั่นขึ้นไปบนฟ้าทำให้ชั้นก้อนเมฆกระจัดกระจายด้วยแรงสะเทือน

“หึ! แล้วไง…ถ้าผ่านการประลองตัวต่อตัวในรอบแรกไปได้ ผู้บ่มเพาะที่สามารถชนะติดต่อกันสิบรอบรวดก็ไม่ได้ยาก หรือบางคนอาจรวดเดียวยี่สิบรอบก็เป็นได้ แต่เรื่องที่จะชนะต่อเนื่องสามสิบรอบนี่สิยากเอาการ”

“จริงด้วยสิ ดูจำนวนครั้งของชัยชนะที่ได้รับ กระบวนท่า พลังบ่มเพาะ ระดับความเข้าใจเต๋าแห่งการต่อสู้ รวมทั้งการอ่านกลยุทธ์การต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเด็ดขาด จะทำให้คนอื่นที่มีพลังระดับเดียวสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้”

“แบบนี้การชนะติดต่อกันถึงหนึ่งร้อยรอบจะไม่ยิ่งยากเข้าไปอีกหรือ”

“ไม่ใช่แค่ยากธรรมดา ๆ ต้องบอกว่ายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก ข้าฟังมาจากผู้บ่มเพาะรุ่นเก่า ๆ พวกเขาบอกว่าใช้ในการชุมนุมธารทองครั้งก่อน ถ้าผลมีผู้ชนะที่ชนะรวดหนึ่งร้อยรอบติดต่อกันสักสองสามคนถือว่าไม่เลวเลย”

“อ๋อ! เห็นเขาว่าผู้บ่มเพาะที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยรอบติดต่อกันจะได้รั้งอันดับหนึ่งร้อยคนของการชุมนุมดาวรุ่งในปีหน้าด้วยนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าบอกนะว่าผู้บ่มเพาะที่รั้งอันดับหนึ่งร้อยคนของการชุมนุมดาวรุ่งเป็นพวกพิสดารน่ะ”

“ก็ทำนองนั้น ถึงอย่างไรโลกนี้ไม่มีวันขาดแคลนอัจฉริยะและยอดฝีมืออยู่แล้ว”

ในขณะที่เฉินซีกำลังต่อแถวนั้น เขาแอบได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่รอบข้าง แต่ไม่ได้ทำให้ตนรู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย เป้าหมายของชายหนุ่มไม่ได้จำกัดอยู่ที่การชุมนุมธารทองหรือการชุมนุมดาวรุ่งเท่านั้น ดังนั้นคำพูดเหล่านี้จึงไม่ส่งผลให้เขาเสียสมาธิแต่อย่างใด

ต่อมาไม่นาน เฉินซีก็เดินเข้าสู่บริเวณที่จะจัดการชุมนุมธารทองในรอบคัดเลือก

เขามองเห็นสังเวียนการประลองทั้งหมดสิบแปดสังเวียน ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยบริเวณที่เป็นพื้นที่ของผู้เข้าชม บัดนี้มันเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาก่อนหน้านั้นแล้วจำนวนมาก เสียงอึกทึกดังหนวกหูเคล้าไปกับเสียงสนทนาเหมือนจะก้องไปทั่วทั้งชั้นฟ้า

ทั้งที่เฉินซีไม่ได้มาช้าแต่อย่างใด ทว่าที่นั่งด้านหน้ารวมทั้งที่นั่งตรงกลางต่างเต็มเสียแล้ว และเหลือเพียงที่นั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปที่ยังว่างอยู่

การจัดที่นั่งของที่นี่จัดว่ามีศิลปะอย่างแท้จริง ด้วยที่นั่งมุมดีจะสามารถมองเห็นการแข่งขันบนเวทีประลองได้ทั้งหมด เชื่อได้ว่าผู้เข้าชมจะไม่พลาดส่วนที่น่าสนใจของการประลองอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคนอื่นยังจะได้โอกาสเรียนรู้อีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ อาทิเช่น ทักษะการต่อสู้ กลยุทธ์และอื่น ๆ อีกมากมาย

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เฉินซีสนใจ เขากำลังกวาดสายตามองหาที่นั่งที่ห่างออกไป จากนั้นพลันสังเกตเห็นสตรีผู้หนึ่งทำท่าโบกไม้โบกมือเรียกมาจากที่นั่งด้านหน้า

สตรีสวมผ้าคลุมดำ คิ้วเรียวเข้มและนัยน์ตาเป็นประกายดั่งดวงดาว ผิวขาวราวกับปุยหิมะ เรือนร่างบอบบางทว่าทรงเสน่ห์ หน้าผากกลมมนเกลี้ยงเกลาบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตัวเองและสติปัญญาของเจ้าตัว… แม่นางย่าชิงแห่งหอขุมทรัพย์สวรรค์

“ท่านก็มาด้วยหรือ” เฉินซีเดินตรงเข้าไปหาก่อนจะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“คิดว่าเป็นท่านมาได้คนเดียวหรือไร เร็วเข้า…รีบนั่งลง” ย่าชิงชี้ไปตรงที่นั่งว่างข้างตัวนาง ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะเก็บที่นั่งตรงนี้ไว้ให้เฉินซีอยู่แล้ว

“นายท่านไปนั่งกับนางเถอะขอรับ ส่วนข้าจะไปหาที่นั่งที่อื่น” มู่ขุยเป็นผู้มีไหวพริบ เขาพูดไม่ทันขาดคำก็หายตัวเข้าไปในฝูงชนเสียแล้ว

ชายหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่งทันทีอย่างมั่นใจพลางหันไปมองรอบข้างก่อนจะพูดยิ้ม “ที่นั่งตรงนี้ไม่เลวเลย ตั้งอยู่ตรงกลางพอดีทำให้มุมมองกว้างไกล พอจะพิจารณารายละเอียดบนเวทีประลองได้ครบทั้งสิบแปดสังเวียนอย่างชัดเจนทีเดียว”

จากนั้นเขาก็หันกลับมาถามคนนั่งข้าง “จริงสิ ท่านก็มาร่วมประลองด้วยหรือ”

“มิได้ ข้าแค่ผ่านมาจึงแวะเข้ามาชมเท่านั้น นับจากวันที่เราพบกันโดยบังเอิญตอนนั้น ท่านคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ” ริมฝีปากอิ่มสีแดงของย่าชิงคลี่ยิ้มเล็กน้อยขณะจีบปากจีบคอพูด เผยให้เห็นไรฟันยิ่งทำให้น่ารักชวนมอง

“ก็มันบังเอิญจริง ๆ นี่” เฉินซีพยักหน้าง่าย ๆ

“อย่างนี้เขาเรียกว่าพรหมลิขิต…ฟ้าลิขิตให้พวกเราได้พบกันไม่ว่าใครก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้” ย่าชิงจ้องหน้าชายหนุ่มตรง ๆ ดวงตาเป็นประกายพราวราวกับแสงดาวของนางสื่อความหมายที่เข้าใจได้ยาก

“อะแฮ่ม…” ซินฮวนผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดาซึ่งนั่งติดกับย่าชิง เมื่อได้ยินเข้าถึงกับขยับนั่งตัวตรง ทั้งยังอดทำเสียงกระแอมออกไปเบา ๆ ไม่ได้พลางนึกในใจ ‘สตรีผู้นี้พูดปดได้หน้าตาเฉย ใครกันเล่าพอรู้ว่าเฉินซี กำลังมาร่วมการชุมนุมธารทองก็รีบแจ้นมาในชั่วข้ามคืนทันที…’

ฝ่ายชายหนุ่มฟังแล้ว แม้เขาจะรู้ถึงความนัยแห่งคำพูดนั้นเป็นอย่างดี ทว่าเขาก็ไม่อาจสนองตอบได้ ด้วยจะทำให้อีกฝ่ายคิดและจินตนาการเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่ ดังนั้นจึงได้แต่เสเปลี่ยนเรื่องพูดคุยและมองเลยไปทางซินฮวนพลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เขาผู้นี้คือ…”

“อ๋อ เขาเป็นผู้ติดตามของข้า ช่างเถอะ คิดเสียว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” ย่าชิงยกยิ้มที่มุมปาก สายตาตวัดไปทางซินฮวนโดยมิได้กราดเกรี้ยวแต่อย่างใด ทั้งที่นึกตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในใจโทษฐานที่มาขัดจังหวะ ‘เรื่องดี’ ของนาง

เฉินซียิ้ม จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เขามีหรือจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าชายวัยกลางคนที่มีลักษณะภายนอกธรรมดาคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะที่ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น แต่ในเมื่อย่าชิงไม่พูดถึง ครั้นเขาจะถามก็คงไม่ดีนัก

“คู่ต่อสู้ในรอบแรกของเจ้าต้องเจอกับชิวเยี่ยน คนผู้นี้มีนิสัยชั่วเมื่อคืนที่ภัตตาคารบุปผามุก ข้าได้ยินเขาพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับตัวท่านด้วย เจ้าต้องสั่งสอนให้มันได้รู้สำนึกเสียบ้าง” ย่าชิงกระซิบ “คงไม่ต้องบอกนะว่าข้าเดิมพันข้างท่านเอาไว้ด้วยโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนเม็ด เพราะฉะนั้นถ้าท่านแพ้จะต้องชดใช้ให้ข้าด้วย!”

คนฟังเลิกคิ้วขณะย้อนถามกลับทันที “แต่ข้าไม่ได้ขอให้ท่านเดิมพันให้ข้าชนะไม่ใช่หรือ”

“ถ้าเช่นนั้นหมายความว่า ถ้าแพ้ท่านจะไม่ชดใช้ให้ข้าสินะ” สตรีทำหน้าน่าสงสารขณะเม้มริมฝีปากเคลือบสีแดงปลั่งดั่งผลเชอร์รีจนแน่น

“ได้ ๆ ข้าจะชดเชยให้” เฉินซีลอบถอนใจขณะเดียวกันก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกออย่างไรพิกล สตรีคนนี้จะเอาอย่างไรแน่ นางไม่เหมือนคนอื่นอย่างกับเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวกระนั้น

“แน่ใจนะว่าจะชดเชยให้ข้า” ย่าชิงเน้นคำว่า ‘ชดเชย’ ถามมาอีก

“จริง!” ชายหนุ่มพยักพเยิดตอบ โดยไม่ได้นึกถึงความนัยในคำพูดของนางอย่างสิ้นเชิง

“เต็มใจแน่นะ”

“แน่” เฉินซีชักปวดกบาลตงิด ๆ ก่อนจะหันไปย้อนถามอย่างงงงัน “เจ้า…แล้วนี่เป็นอะไรไป”

“ข้ามีความสุขที่สุดที่รู้ว่าเจ้าเต็มใจจะชดใช้ให้ข้าน่ะสิ” ย่าชิงหัวเราะคิก ดวงตาแจ่มกระจ่างดั่งแสงดาวทั้งสองกะพริบวิบวับทำให้ยิ่งสวยงามและมีเสน่ห์ จนคนข้าง ๆ ถึงกับตะลึงพานให้จิตใจเตลิดเปิดเปิงล่องลอยไปไหนต่อไหน

ชายหนุ่มตอบสนองต่อปฏิกิริยาดังกล่าวทันที เมื่อมีกระแสบางอย่างอันยากจะอธิบายพุ่งขึ้นมากลางจิตใจที่เคยสงบนิ่งของเขา เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยและบอกไม่ถูกเพราะเขาเองก็จนด้วยคำพูดอย่างแท้จริง

“อ้าว เฉินซี เจ้าก็มาด้วยหรือ ช่างบังเอิญนัก” ทันใดนั้นเสียงสูงต่ำราวกับเสียงของดนตรีอีกชนิดก็ดังขึ้นมาพร้อมกับสตรีผู้มีใบหน้าสวยและสวมเครื่องแต่งกายสีฟ้าอ่อนปรากฏตัวออกมา บนศีรษะมวยผมขึ้นไปจนเรียบกริบ กำลังเดินตรงมาด้วยกิริยาแช่มช้อยงดงาม

“เอ๊ะ แม่นางเจิ้น” น้ำเสียงของเฉินซีบ่งบอกถึงความแปลกใจ ที่แท้นางก็คือเจิ้นหลิวชิงซึ่งเคยพบกันในขุมสมบัติของเฉียนหยวน เขาจึงรู้สึกยินดีที่ได้พบนางอีกครั้ง แต่ทั้งสองคนไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัวจึงไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันและเกรงว่านางจะเห็นเขาเป็นเพียงคนเคยคุ้นที่เหมือนคนแปลกหน้าเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาทักทายก่อน

ที่น่าประหลาดใจที่สุดในความรู้สึกของเฉินซีคือที่นั่งของเจิ้นหลิวชิงอยู่ติดกับเขาทางด้านขวามือ ซึ่งเดิมเป็นที่นั่งของผู้บ่มเพาะทั่วไปคนหนึ่งแต่บัดนี้ไม่รู้ว่าเจ้าของที่หายหัวไปไหนเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ย่าชิงนั่งอยู่ทางซ้ายของเฉินซี ส่วนเจิ้นหลิวชิงนั่งอยู่ทางขวามือ จนดูเหมือนเขาเป็นชายหนุ่มที่รายล้อมไปด้วยอิสตรี ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองนางยังมีความแตกต่างกัน เรียกว่าแต่ละคนสวยไปคนละแบบไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ภาพที่ปรากฏขึ้นจึงดึงดูดสายตาของพวกอิจฉาตาร้อนให้จับจ้องมายังชายหนุ่มอย่างอยากให้เขาตาย ๆ ไปเสียเพื่อที่มันจะได้เข้าไปนั่งแทนที่…

“เจ้าคือเจิ้นหลิวชิงจากตำหนักวารีหมอกแห่งทะเลตะวันออกใช่ไหม” คนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ย่าชิงหวีเส้นผมเก็บที่ข้างใบหูและขยับนั่งตัวตรงเรียกความมั่นใจในตัวเอง

“เอ๊ะ รู้จักข้าด้วยหรือ” เจิ้นหลิวชิงเหยียดมุมปาก เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

“ถ้าจำไม่ได้ ข้าคงไล่ตะเพิดคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปนานแล้วสิ” ย่าชิงยกยิ้มที่มุมปาก ทว่ากลับทำให้ดูมีเลศนัยว่าคนพูดตั้งใจจะหยอกเล่น

เจิ้นหลิวชิงชะงักก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะ “ข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้าเลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำอย่างนั้นเพราะข้ากับเฉินซีเคยรู้จักกันมาก่อน”

“อ้อ เช่นนั้นพวกเราก็เหมือนกันสินะ” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ไม่เหมือน” จากนั้นเจิ้นหลิวชิงก็กล่าวต่อทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่ได้ไล่ข้าเพราะรู้จักข้า ส่วนข้าไม่ได้ไล่เจ้าเพราะข้ากับเฉินซีรู้จักกัน สองอย่างนี้แตกต่างกันสิ้นเชิง”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ” ย่าชิงพูดเสียงเรียบเรื่อย

“แล้วกล้าไหมเล่า” คนตรงข้ามย้อนถาม

ยามนั้นบรรยากาศชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว!

ในขณะที่สตรีสองนางตอบโต้กันนั้น เฉินซีนั่งมองด้วยความฉงนว่าเหตุใดพวกนางจึงโต้เถียงโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ จะเป็นไปได้ไหมว่าพวกนางอาจเคยกระทบกระทั่งกันด้วยเรื่องราวแต่หนหลัง

ไม่ถูกต้องอยู่ดี ฟังจากคำพูดของย่าชิงแสดงว่านางกับเจิ้นหลิวชิงไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน

อาจเป็นเพราะ…ข้าอย่างนั้นหรือ

เฉินซีนิ่งงันด้วยความตกใจที่ว่าตนเองคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไร้สาระ จากนั้นก็หันกลับไปตั้งจิตทำสมาธิเหมือนพวกนักพรตนักบวชเห็นจะดี ‘ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับสตรีสองนางที่กำลังโต้เถียงชิงดีชิงเด่นกัน’

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อต่อมาย่าชิงหันขวับไปทางเฉินซีและยิงคำถามมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เฉินซี แล้วท่านล่ะ คิดว่าข้ากล้าหรือไม่”

คนถูกถามแอบถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ‘ข้ามาวันนี้เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมธารทอง…ไม่ได้จะมาเป็นคนตัดสินให้ใครสักหน่อย…’

“ข้าตอบให้ก็ได้” แววตาแจ่มกระจ่างของเจิ้นหลิวชิงเหลือบมองเฉินซีแวบหนึ่ง จากนั้นนางจึงพูดต่อไปว่า “เขากำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรให้เราต่างสบายใจ ส่วนเจ้าอาจจะไม่อยากได้ยินคำตอบนั้นก็ได้”

“ใครขอให้เจ้าตอบ” เมื่อได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ย่าชิงก็ชักสีหน้าเปลี่ยนจากความอายเป็นเคืองใจขึ้นมาทันที นางชำเลืองตามองเจิ้นหลิวชิงก่อนจะเบนสายตาไปทางเฉินซี “ตอบมา…ข้าอยากฟังคำตอบของเจ้า”

เสียงคาดคั้นทำให้เฉินซีครุ่นคิดซ้ำ ๆ อีกทั้งยังทบทวนอยู่หลายตลบจากนั้นจึงพูดช้าชัด “ข้ากับเจิ้นหลิวชิงพบกันครั้งเป็นครั้งที่สอง และเพิ่งได้พูดคุยด้วยเป็นครั้งแรก”

ชายหนุ่มตอบแบบเลี่ยง ๆ แต่กลับทำให้ย่าชิงที่ได้ยินและมีสีหน้าบูดบึ้งขึ้งโกรธเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง และกลายเป็นแววตาสดชื่นร่าเริงออกมาแทน

ตรงกันข้ามกับเจิ้นหลิวชิง แม้สีหน้าจะเฉยเมยและเยือกเย็น ทว่าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแววตาของนางวูบไหวไปเล็กน้อย

“และก็…ข้ากับเจ้า…แม่นางย่าชิงก็เพิ่งจะพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเหมือนกัน” เฉินซีไม่ได้หันไปมองหน้าย่าชิงก่อนที่เขาจะพูดต่อมา “เอาล่ะ ข้าพูดในสิ่งที่ควรพูดจบแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะไปประลองเสียที ผู้จัดการเวทีประลองกำลังขานชื่อของข้าอยู่พอดีเชียว”

ว่าแล้วเฉินซีก็รีบผุดลุกขึ้นจากที่และเดินตรงไปที่สังเวียนประลองทันที

สิ่งนี้ทำให้สองสตรี ย่าชิงและเจิ้นหลิวชิงชะงักงันพร้อมกันและต่างพยายามเงี่ยหูฟัง มีการขานชื่อของเฉินซีบนเวทีประลองซึ่งอยู่ไกลออกไปอย่างนั้นหรือ

ทั้งคู่หันไปมองหน้ากันอย่างหัวเสียเพราะมัวแต่ทะเลาะวิวาทกันจึงเป็นเหตุให้หลงลืมสถานการณ์รอบข้างเสียสนิท ไม่น่าเลยจริง ๆ…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท