บทที่ 312 แพ้แล้วเผ่น
บทที่ 312 แพ้แล้วเผ่น
สัญลักษณ์ข่านแทนสายน้ำ กระบี่ข่านแห่งวารีเปรียบเสมือนกระแสน้ำเชี่ยวกรากและคลื่นลมทะเล สัญลักษณ์หลีแทนไฟ กระบี่หลีแห่งอัคคีทั้งเกรี้ยวกราดและรุนแรง แผดเผาและมีอำนาจเหนือ สัญลักษณ์เจิ้นแทนสายฟ้า กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้าเคลื่อนไหวปานสายฟ้าพิชิตทุกสิ่ง สัญลักษณ์สวินแทนลม กระบี่สวินแห่งวายุหลากหลายรูปแบบมีทั้งรวดเร็วและว่องไว
แต่ละกระบวนท่าของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบอันกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรซึ่งแปรผันอย่างไม่สิ้นสุด มีความล้ำลึกเปลี่ยนแปลงเป็นนิจ กระบวนท่าทุกกระบวนท่าให้ผลที่น่าอัศจรรย์ในตัวของมันเอง ทุกกระบวนท่าอาจเทียบเคียงได้กับวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋า เมื่อใช้ต่อสู้กับศัตรู มันจะเป็นอาวุธที่น่ากลัวยิ่ง
บัดนี้ พลังสี่ชนิดอันได้แก่มหาเต๋าแห่งวารี อัคคี อัสนีและวายุ ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างไร้ข้อบกพร่องและกลายเป็นแรงปะทะแห่งกระบี่ ภายในพลุ่งพล่านด้วยพลังแห่งการฆ่าล้วน ๆ ส่งให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้างหยุดนิ่งไปในบัดดล!
แคว่ก!
เสียงที่ดังก้องผ่านเข้ามาในชั้นอากาศหนาวเหน็บราวกับเสียงผ้าที่ฉีกขาดได้รับความเสียหายไม่อาจซ่อมแซมได้ จากนั้นลำแสงเทวะและเปลวเพลิงปีศาจที่ปิดผนึกทั่วสังเวียนก็แยกออกจากกันทันที
ลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าประดุจสายรุ้งทะลวงผ่านจักรวาล ขณะที่มันทะยานออกมาอย่างยิ่งใหญ่และสูงส่ง
ฟิ้ววว! ฟิ้ววว!
ภาพของฝ่ามือจี้เยว่ที่ป่ายเปะปะนับไม่ถ้วนแตกกระจัดกระจาย จนไม่อาจสกัดกั้นได้อีกต่อไป
กระบี่ยังคงจู่โจมเหนือจี้เยว่อย่างน่ากลัวและเกิดการปะทะอย่างดุเดือดที่บนท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้มีโลหิตไหลโซมไปทั่วทั้งร่างกายและแสดงอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรง ดูจากสภาพภายนอกจึงเป็นที่น่าสลดหดหู่อย่างยิ่ง
เปรี้ยง!
นายน้อยโจวขยี้ถ้วยหยกที่เจ้าตัวถืออยู่ หากมิทันสังเกตว่าขณะที่ตนกำลังจับจ้องการต่อสู้บนสังเวียนนั้นเอง กระบี่ของเฉินซีซึ่งทะยานฉีกท้องฟ้าและฝ่าฟันจนทะลุออกมา เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเข้าเจ้าตัวถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
กระบวนท่ากระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่มีการหลอมรวมทั้งสี่กระบวนท่า ไม่ใช่เพียงทำให้พลังแกร่งกล้าระเบิดเป็นสี่เท่าทันที! ‘อย่าบอกนะว่าความเข้าใจในเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบของเขาบรรลุถึงระดับที่สี่ไปด้วยอย่างนั้นหรือ’
เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก นายน้อยโจวโชคดีเคยได้รับการสั่งสอนเกี่ยวกับเต๋าโดยเซียนกระบี่ไร้เทียมทาน ในตอนนั้นเซียนกระบี่พูดถึงเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบว่าเคล็ดวิชากระบี่นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ฝึกยากที่สุดในโลกด้วยเหตุผลสองประการ ประการที่หนึ่งกระบวนท่ากระบี่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งแปดกระบวนท่า ทุกกระบวนท่าแปรเปลี่ยนไม่มีที่สิ้นสุดทั้งกว้างใหญ่ดุจทางช้างเผือก ทำให้คนธรรมดาสามัญรู้จักได้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ประการที่สองต้องใช้เจตจำนงเต๋าถึงแปดชนิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาเสริมเข้าไปในกระบวนท่ากระบี่ ฉะนั้นหากไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์แล้วละก็ จะไม่มีวันฝึกได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยเหตุผลทั้งสองประการทำให้หลายคนไม่กล้าพอที่จะฝึกเคล็ดวิชากระบี่ที่ว่านี้ แม้ว่าชื่อนี้จะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หากพอได้พูดและทำแล้วจึงบอกได้คำเดียว – ยาก!
ทว่าเซียนกระบี่ไร้เทียมทานเคยบอกว่าในบันทึกเพิ่มเติมทางประวัติศาสตร์ มีคนที่โดดเด่นไปด้วยภูมิปัญญาสามารถเข้าถึงปราณแท้ของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถฝึกจนครบถ้วนสมบูรณ์
นั่นก็เป็นเพราะการจะบรรลุระดับสมบูรณ์ได้นั้นจำเป็นต้องหลอมรวมแปดกระบวนท่ากระบี่ที่ยิ่งใหญ่ลงในการออกปะทะเพียงหนึ่งกระบี่!
พูดเช่นนี้ฟังดูเข้าใจไม่ยาก ความหมายของ ‘หมื่นบรรจบ’ เป็นการหลอมรวมการแปรเปลี่ยนมากมายไว้ในหนึ่งกระบี่ ซึ่งก็คือความหมายที่แท้จริงของชื่อเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบนั่นเอง
คนรุ่นหลังได้ใช้ความหมายนี้เองในการแบ่งเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบออกเป็นแปดระดับ นี่เป็นแค่การจับเอากระบวนกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งแปดท่ามาเท่านั้นและมองทะลุไปยังจุดเริ่มต้นซึ่งถือว่าเป็นระดับที่หนึ่ง
ระดับที่สองในเคล็ดวิชากระบี่จำเป็นต้องมีการหลอมรวมกระบวนกระบี่อย่างน้อยสองกระบวนท่า ยกตัวอย่างเต๋าแห่งกระบี่อัคคีวารี เต๋าแห่งกระบี่พสุธาอากาศ เต๋าแห่งกระบี่คีรีอุทก และอื่น ๆ เป็นต้น
ระดับที่สามต้องมีการหลอมรวมกระบวนกระบี่สามกระบวนท่าเข้าด้วยกัน เช่น เต๋าแห่งกระบี่อัสนีอัคคีวารี เต๋ากระบี่อัสนีวายุอัคคี และอื่น ๆ เป็นต้น
ระดับที่สี่เป็นการหลอมรวมกระบวนกระบี่ถึงสี่กระบวนท่าเช่น เต๋าแห่งกระบี่อัสนีวายุอัคคีวารี ซึ่งเฉินซีกำลังใช้อยู่ ณ ขณะนี้และเป็นกระบวนท่าที่เกิดกระบวนท่ากระบี่แห่งวารี อัคคี อัสนีและวายุมาหลอมรวมการแปรเปลี่ยนที่ไร้ขีดจำกัดของสิ่งเหล่านี้
การหลอมรวมที่เพิ่มขึ้นตามลำดับอย่างครบถ้วนของกระบวนท่ากระบี่แปดกระบวนท่าจนกลายเป็นเคล็ดวิชากระบี่หมื่นบรรจบระดับแปด เมื่อถึงจุดนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการฝึกเคล็ดวิชากระบี่โดยสมบูรณ์
อย่างที่เซียนกระบี่ไร้เทียมทานเคยกล่าวไว้ว่าในโลกนี้มีคนเพียงหนึ่งในล้านที่สามารถแตกฉานเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ และใครที่บรรลุเคล็ดวิชากระบี่ระดับที่หนึ่งก็อาจได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือแล้ว และคนที่สามารถเข้าใจได้ในระดับที่สูงขึ้นไปจะถือว่าเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือไร้เทียมทาน เขาเป็นผู้สร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ เป็นผู้นำแห่งโลก จึงไม่สามารถใช้แบบแผนที่มีทั้งมวลมาประเมินความสามารถของคนคนนั้น
เพราะเหตุนี้นายน้อยโจวจึงไม่อาจสงบจิตสงบใจไว้ได้อีกต่อไปยิ่งเมื่อได้เห็นการจู่โจมเฉินซี ในหัวใจจึงเหมือนถูกกระหน่ำด้วยพายุรุนแรงและตกตะลึงจนไม่อาจอธิบายได้
ตอนนั้นทั้งอันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ ย่าชิงรวมทั้งเจิ้นหลิวชิงและผู้บ่มเพาะคนอื่นต่างก็ประจักษ์ต่อพลังกระบี่ของเฉินซีอย่างแท้จริง พวกเขาต่างรู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูกเช่นกัน
เจ้าหมอนั่นช่างแปลกประหลาดสิ้นดี ไม่มีใครเดาได้เลยว่าพลังของมันมีความน่าเกรงขามเพียงใด ยามใดที่คิดว่ามันจวนตัวแล้ว มันกลับเอาตัวรอดผ่านช่วงวิกฤตไปได้ทุกครั้ง ถึงกระนั้นเมื่อใดที่เข้าใจว่าพลังขอบเขตของเขามีเท่านี้ ทว่าเมื่อมันเผยออกมาจริง ๆ กลับทำลายความเข้าใจที่มีอยู่เดิมทุกครั้งไป…
ราวกับว่ายิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่ง พลังของเขาจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไปด้วย ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นจะมีจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขามีไพ่ตายใบสำคัญที่แท้จริงเช่นไร
“เจ้าทำลายฌานเทพมารของข้าจนแตกซ่าน! เป็นไปได้อย่างไร! ไม่จริง!” ในวงล้อมของลำแสงกระบี่ ดูเหมือนจี้เยว่จะคลุ้มคลั่งไปเสียแล้ว สีหน้าของเขาโหดเหี้ยมอำมหิต ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายกำลังฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
นี่ล่ะ ความน่าเกรงขามของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร ตราบใดที่หัวใจและศีรษะไม่ถูกทำลาย ผู้บ่มเพาะจะสามารถฟื้นจากความบาดเจ็บทั้งหลายได้ทันที
ท่ามกลางเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ลำแสงเทวะได้ปะทุขึ้นที่รอบตัวจี้เยว่ จากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นมีสามศีรษะหกแขน ศีรษะแรกมีใบหน้าใจดีมีเมตตา อีกศีรษะมีใบหน้าโหดเหี้ยมอำมหิตและสุดท้ายคือศีรษะเดิมของเขาเอง นอกจากนั้นยังมีแขนหกแขนที่แข็งแกร่งดั่งหินผา แต่ละแขนถือสมบัติวิเศษไว้ในมือ ได้แก่ ระฆัง กรับไม้ กระบี่ปลายตัด แส้หางม้า สร้อยประคำและตะเกียงน้ำมัน สมบัติวิเศษทุกชิ้นขัดเกลาจากพลังพระโพธิสัตว์จึงปรากฏลำแสงสีทองสาดส่องเป็นประกาย อีกทั้งยังปลดปล่อยพลังแสงที่สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
นี่เป็นหนึ่งในพลังอิทธิฤทธิ์ที่มีชื่อว่าอวตารเทพ ใบหน้าทั้งสามสามารถมองไปได้รอบทิศทางจึงไม่เกิดจุดบอดแต่อย่างใดเลย ต่อให้นักฆ่ามือฉมังก็ไม่มีทางจู่โจมมาโดยง่าย เมื่อแขนหกแขนสะบัดออกไปพร้อมกัน ยิ่งทวีพลังแรงทำให้น่าเกรงขามขึ้นอีกเป็นอันมาก เท่ากับว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเผชิญหน้ากับศัตรูถึงสามในเวลาเดียวกัน
หากมองมาแต่ไกล จี้เยว่ตอนนี้เป็นดั่งเทพเจ้าที่มีใบหน้าถมึงทึงและน่ายำเกรงกำลังสำแดงพลังข่มขวัญมนุษย์โลก นับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ จี้เยว่ได้แสดงศักยภาพอันน่าเกรงขามอย่างยิ่งออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้ง ผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร ฌานเทพมาร กระทั่งเวลานี้อวตารเทพ ทั้งหมดล้วนเป็นทักษะการบ่มเพาะพลังที่หาได้ยากยิ่งจนผู้เฝ้าดูบางคนถึงกับตกอกตกใจสุดขีด
“เฉินซีจงรับพลังจู่โจมของข้าอีกครั้ง!” จี้เยว่ระเบิดเสียงตะโกนดังสนั่นพร้อมกันนั้นสมบัติวิเศษในมือทั้งหกข้างก็ปรากฏเป็นแสงสว่างเจิดจ้าจนสามารถมองเห็นเป็นภาพเลือนรางขององค์พระพร้อมกับมีอัคคีเทวะพุ่งเข้าหาก่อนที่จะปกคลุมเฉินซีไว้ทั้งร่าง
“เจ้าโง่ ไปให้พ้น!” ทว่าหนนี้เฉินซีไม่คิดที่จะทำลายพลังที่จู่โจมเข้ามาทันที ทันใดนั้นยันต์ศัสตราที่ชายหนุ่มกำเอาไว้ในมือได้กลั่นเต๋ารู้แจ้งแห่งวายุ อัสนี อัคคีและขุนเขาทับถมจนกองพะเนินพร้อมที่จะระเบิดในทันที ขณะนั้นมันได้ครอบงำจวนจะถึงครึ่งของสังเวียนประลอง ไม่เพียงทำให้พลังจู่โจมของจี้เยว่หมดกำลังลงเท่านั้น ทว่ามันยังกดจี้เยว่จนล้มลงไปบนพื้นดินทันที
จี้เยว่ยังคงดิ้นรนที่จะโต้กลับ แต่เฉินซีหาได้ใส่ใจการต่อสู้ครั้งนี้อีกต่อไป เขาจับกระบี่ไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นจึงฟาดตรงลงไปเต็มแรง
เปรี้ยง!
กระบี่รู้แจ้งระเบิดเสียงคำรามดังสนั่นพร้อมกับเจตนาสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งมาอย่างหนาแน่น จนฝ่ายตรงข้ามรู้สึกอึดอัดและแทบหายใจไม่ออก บัดนี้ในใจของจี้เยว่เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อมองไปเห็นกระบี่ปานขุนเขามหึมาสาดลงมาจากท้องฟ้า และถ้าเขาไม่หนีตอนนี้ เห็นทีศีรษะคงแหลกเละ ร่างกายแตกเป็นเสี่ยง เผชิญหน้ากับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม้ในสนามประลองจะมีข้อห้ามในการเข่นฆ่าเอาชีวิต แต่ความหวาดกลัวทำให้จี้เยว่ไม่เอาชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน ยามนี้เขาไม่มีแก่ใจนึกถึงความอัปยศอดสูอีกแล้ว ในเวลาที่ต้องเผชิญกับความตาย เขาเผยศักยภาพทั้งหมดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งรู้สึกผิดกับตัวเองที่ต้องเผ่นหนี
เฉินซีเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน เป็นที่แน่ชัดว่าเขากำลังรอให้จี้เยว่หนีลงจากสังเวียนประลองด้วยตัวเอง เพราะเขาก็ไม่ต้องการทำอะไรที่เป็นการฝืนกฎการชุมนุมธารทองและตนเองต้องเดือดร้อน
เปรี้ยง!
จี้เยว่เผ่นวูบหลบออกไปจากสังเวียนในขณะนั้นกระบี่ของเฉินซีกำลังพุ่งลงมาอย่างรุนแรง ความแรงของกระบี่รู้แจ้งที่พุ่งตกลงมาช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ประหนึ่งมันต้องการจะสะบั้นเวทีประลองให้ขาดออกเป็นสองส่วนกระนั้น กระแสอากาศเฉียบคมพุ่งวาบออกมาพร้อมกับคมกระบี่ที่เฉือนพื้นที่รอบสังเวียนทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นจำนวนมาก พลังกระบี่ปราณที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อาจทำให้อีกฝ่ายถึงตายได้อย่างแน่นอน
ตู้ม!
บรรดาผู้เข้าชมหน้าสังเวียนประลองต่างตกตะลึงจนบางคนถึงกับอ้าปากค้าง แม้ว่าจะอยู่ห่างจากสังเวียนแห่งนั้นไกลกว่าสิบลี้ แต่หลายคนก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังจู่โจมที่น่ากลัวของเขาได้เป็นอย่างดี ทำให้เสียวสันหลังวาบกระทั่งวิญญาณจนถึงกับแทบจะทิ้งร่างทีเดียว หากหลายคนกลับเกิดความข้องใจว่าพลังฟาดของเฉินซีครั้งนี้ตั้งใจจะตัดบริเวณผู้เฝ้าสังเกตการณ์ทั้งหมดจนขาดเป็นสองส่วนหรือสับให้ละเอียดไปเลยหรือไม่
“น่ากลัวเหลือเกิน นี่แหละผู้บ่มเพาะกระบี่ที่แท้จริง ผู้บ่มเพาะกระบี่ที่มีอำนาจทำลายเหนือสรรพสิ่ง!”
“บัดซบ! พลังโจมตีเมื่อครู่กระแทกเข้าไปในหัวใจจนต้านทานไม่ไหวทีเดียว ข้ายังคิดว่าจะตายแล้วเสียอีก…”
“อ้าว จี้เยว่อยู่ที่ใดเล่า หรือว่าเขาจะแพ้แล้วเผ่นหนีไปแล้วจริง ๆ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากนั้น ค่ายกลที่ตั้งขึ้นเพื่อการป้องกันสังเวียนประลองซึ่งทำด้วยโลหะสีดำเคลือบเงาจำนวนมากค่อยหรี่ลงและไร้ความแวววาวในที่สุด และมีแนวโน้มว่าจะพังทลายลงไป
ภาพที่ปรากฏแม้แต่ชุยซานผู้เป็นประธานในการประลองบนเวทียังตะลึงงัน
สังเวียนประลองกำลังนี้มีความแข็งแรงคงทนมากพอที่จะต้านทานพลังจู่โจมของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ด้วยซ้ำ อีกทั้งปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระยังได้จารึกค่ายกลป้องกันไว้บริเวณภายนอกมากมาย กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายายังต้องใช้เวลาในการสร้างความเสียหายแก่สังเวียนไม่น้อย
ถึงแม้การปะทะของเฉินซีจะไม่ได้ทะลวงผ่านสังเวียนประลองก็จริง แต่มันได้ทำให้ค่ายกลป้องกันที่ปกคลุมอยู่ภายนอกสังเวียนประลองเกือบจะพังทลายอยู่รอมร่อ การจู่โจมก่อนหน้าเปี่ยมไปด้วยพลังแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวสักเพียงใด
เคราะห์ดีที่เจ้าภาพของการชุมนุมธารทองครั้งนี้ได้พิจารณาเอาไว้อย่างถ้วนถี่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สังเวียนประลองอาจได้รับความเสียหาย ดังนั้น ไม่นานนักนักปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระผมขาวทั้งศีรษะราวสองสามคนจึงได้ขึ้นไปบนสังเวียนการประลองหมายเลขสาม และจัดการตั้งค่ายกลขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
การประลองในรอบของเฉินซีชะงักหยุดไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น ชายหนุ่มจึงมิได้ลงจากเวที แต่ใช้เวลาเฝ้าจับตาดูปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระสร้างค่ายกลขึ้นใหม่ด้วยความสนใจขณะทำการฟื้นพลังของตนไปพลาง ทั้งที่ก่อนหน้าเขาเอาชนะจี้เยว่ได้ ทว่ากลับไม่ได้แสดงความภูมิใจออกนอกหน้าแต่อย่างใดและดูสงบนิ่งมาก
เมื่อเทียบกับความสงบนิ่งของเฉินซี บริเวณของผู้เฝ้ายังคงอึกทึกครึกโครมมากกว่า ด้วยเวลานี้ใครต่อใครยังสนทนาปราศัยกันอย่างเมามันถึงการประลองอันน่าเร้าใจระหว่างเฉินซีกับจี้เยว่ก่อนหน้า ทำให้การประลองที่กำลังดำเนินอยู่ในสังเวียนอื่นอีกมากกว่าสิบเวทีไม่ได้รับความสนใจ ทุกคนจึงมีสีหน้านิ่งเฉยและเย็นชา
แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าภายใต้เสียงที่เอ็ดอึงนั้นเคล้าไปกับกระแสบางอย่างที่มีความเชี่ยวกรากราวกระแสน้ำ ราวกับเป็นเค้าลางว่าอีกไม่นานจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น
“พลังในการรุกของเขาไม่เลวเลย แต่อาจเป็นไพ่ตายของเขาจริงไหม เดี๋ยวให้ข้าเป็นคนยุติทุกอย่างเอง!” ทันใดนั้นซูเฉินซึ่งสวมผ้าคลุมสีขาวผุดลุกขึ้นยืนและก้าวออกมาจากบริเวณสังเกตการณ์
“ดูนั่น…ซูเฉินแห่งตำหนักจ้าวขุนศึกกำลังจะลงสนามแล้ว!”
“ทำอย่างนี้ต้องการจะท้าทายเฉินซีหรือไร เป็นไปไม่ได้! เฉินซีมีประสบการณ์ผ่านการประลองมาแล้วกว่าสี่สิบรอบและเมื่อครู่เพิ่งประมือกับจี้เยว่อย่างดุเดือด เขาน่าจะใช้พลังถึงขีดสุดแล้ว ถ้าซูเฉินออกไปท้าทายเฉินซี เท่ากับตั้งใจจะกลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ สถานะของเขาตอนนี้ไม่น่าทำอะไรในลักษณะนั้นแน่”
“เฮ้ย ดูนั่นเร็ว…”
ตอนนี้มีคนหลายคนเริ่มสังเกตเห็นท่าทีของซูเฉินและเริ่มกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ในขณะที่บางคนได้เห็นดังนั้นก็แสดงความตกใจ ซึ่งไม่ใช่แค่ซูเฉินคนเดียวแม้แต่นายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่และคนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน ทั้งหมดก้าวออกจากบริเวณผู้เข้าชมก่อนจะทะยานขึ้นไปบนสังเวียนประลอง
ขณะนั้นผู้บ่มเพาะที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานทั้งหมด อีกทั้งเป็นคนมีชื่อเสียงได้รับความนิยมที่สุดในการชุมนุมธารทองครั้งนี้ พร้อมใจกันออกมาแล้วจริง ๆ!
เกิดอะไรขึ้น
ณ เวลานี้รอบที่สองของการประลองในชุมนุมธารทองยังดำเนินไปไม่ถึงครึ่ง ผู้บ่มเพาะพวกนี้สิ้นสุดความอดทนแล้วอย่างนั้นหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงพากันก้าวขึ้นไปบนสังเวียนตอนนี้?