บทที่ 314 ฮวาโม่เป่ย
บทที่ 314 ฮวาโม่เป่ย
ในขณะเดียวกันนั้น ค่ายกลป้องกันที่ได้รับความเสียหายบนสังเวียนประลองหมายเลขสามก็ได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว และยังสามารถเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ในการต่อสู้ต่อไปด้วย ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระผมสีดอกเลาเหล่านี้ได้สร้างค่ายกลป้องกันเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ทำให้สังเวียนประลองทั้งหมดในตอนนี้ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งขึ้นมาก
การปรากฏตัวของฮวาโม่เป่ย ทำให้เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นความแปลกใจก็หายไปแทบทันทีเมื่อเขาพยักหน้าและพูดว่า “ข้ายินดีรับคำท้าเจ้า”
“ก่อนหน้านี้ข้าชนะการต่อสู้มา 56 ครั้งติดต่อกัน และรู้สึกว่าการท้าพี่เฉินในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ดังนั้นข้าจึงเสี่ยงขึ้นสู่สังเวียนดู ข้าหวังว่าพี่เฉินจะเข้าใจ” ฮวาโม่เป่ยยิ้มอย่างไร้กังวล เสื้อผ้าปลิวไปตามลม ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดเผยและตรงไปตรงมาทีเดียว
ทุกคนในพื้นที่ผู้ชมพลันเข้าใจขึ้นมาทันมี ความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อฮวาโม่เป่ยในใจพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขากลับรู้สึกว่าคนผู้นี้ตรงไปตรงมา เปิดเผย และท่าทีเต็มไปด้วยสง่างาม ไม่ได้ด้อยไปกว่านายน้อยโจวและคนอื่น ๆ แม้แต่น้อย
“เริ่มกันเถอะ” เฉินซีพยักหน้า
“พี่เฉินโปรดชี้แนะด้วย” ฮวาโม่เป่ยยิ้ม ทันทีที่พูดจบ ปราณแท้ในร่างของเขาก็พุ่งสูงขึ้น ผมยาวปลิวไสว ท่าทีไร้การควบคุมและงามสง่าหายไปโดยสมบูรณ์ เขาดูเหมือนคมในฝักที่ไม่ได้เผยความคมของตัวกระบี่ออกมา
“ข้าคิดว่าทั้งสองคนรู้กฎอย่างชัดเจนดีแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดอะไรอีก” ชุยซานซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่ดูแลสังเวียนประลองหมายเลขสามกวาดสายตามองคนทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “เริ่มได้!”
ฟิ้ว!
เฉินซีขยับข้อมือเพื่อเริ่มการโจมตี กระบวนกระบี่ที่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีเคล้าอยู่พุ่งออกมาดั่งอสรพิษ มันรุดขึ้นฟ้าไปและซัดลงมาที่ฮวาโม่เป่ยดั่งสายฟ้าฟาด
“คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ กระบี่หลีแห่งอัคคี!” ฮวาโม่เป่ยเห็นแสงกระบี่ลอยมา แม้ว่ามันจะดูธรรมดามาก แต่การไหลเวียนของอากาศรอบข้างดูคล้ายไฟลุกโชน เต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีอันรุนแรงและบ้าคลั่งห่อหุ้มไปทั่วสนาม ดั่งเขายืนอยู่กลางทะเลเพลิง
ชิ้ง!
กระบี่ในมือฮวาโม่เป่ยเกิดคลื่นสีน้ำเงินเข้มพุ่งขึ้นมา มันกรีดผ่านฟ้า พัดพากระแสน้ำสีฟ้ามาด้วย น้ำทุกหยาดหยดดูหนักหน่วงยิ่งนัก แท้จริงแล้วมันคือวารีกำแหงต้นกำเนิดที่รวบรวมมาจากใต้ทะเลลึก เมื่ออยู่ภายในเต๋ารู้แจ้งแห่งวารี ความสามารถของมันก็สามารถใช้ตอบโต้กับเต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีได้
ยิ่งเมื่อวารีกำแหงต้นกำเนิดหลอมรวมเข้ากับกระบวนท่ากระบี่แล้ว ก็อาจเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดเลยก็เป็นได้
เพียงกระบวนท่าเดียว ฮวาโม่เป่ยก็ทำลายกระบี่หลีแห่งอัคคีของเฉินซี จากนั้นกระบี่ของเขาก็หมุนควงกลายเป็นคลื่นคลั่งโถมใส่เฉินซี คลื่นขนาดมหึมาพุ่งขึ้นมาปกคลุมรอบกาย คล้ายจะให้เฉินซีจมลงไปในคลื่นดั่งคลื่นยักษ์ที่อยู่ภายในเจตจำนงกระบี่
“พี่เฉินเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาเถอะ ไม่เช่นนั้นท่านสู้ข้าไม่ได้แน่!” ฮวาโม่เป่ยหัวเราะออกมาเต็มที่ กระบี่ชี้ลงล่างหมุนเข้าไปด้านใน คลื่นขนาดใหญ่จากวารีกำแหงต้นกำเนิดก็โหมใส่ราวกับหมายทำลายเฉินซีให้เป็นผุยผงในพลัน
ฟิ้ว!
จังหวะนั้น เฉินซีที่ถูกคลื่นยักษ์ห้อมล้อมกลับหายไปไม่เหลือร่องรอย
อึดใจต่อมา แสงกระบี่คล้ายท้องนภาก็ปรากฏขึ้นด้านข้างฮวาโม่เป่ย มันเคลื่อนมาตรงหน้าเขาแล้วฟันเข้าใส่ทันใด ที่น่าตกใจก็คือ มันคือกระบี่เฉียนแห่งนภา การเคลื่อนไหวของมันดูฉาบฉวยดั่งฟ้านิรันดร์ ทั้งดูลวงตาและว่องไว ปกคลุมพื้นที่รอบกายไว้ทั้งหมด เป็นวิธีสังหารคนที่รวดเร็วและดุดันที่สุดวิธีหนึ่งทีเดียว
กระบี่เฉียนแห่งนภา กระบวนกระบี่ที่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาอยู่
ในการต่อสู้ครั้งนี้ เฉินซีใช้เพียงวิชานี้เท่านั้น เขาใช้กระบี่หลีแห่งอัคคีเพื่อดึงเจตจำนงกระบี่วารีของฮวาโม่เป่ยออกมา จากนั้นใช้ปีกนภาดารกะหลบออกจากสนาม ก่อนจะใช้กระบี่เฉียนแห่งนภาเข้าโจมตี การใช้ประโยชน์จากกระบวนท่ากระบี่ทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบนั้นถือว่ายอดเยี่ยมขั้นสุด
เท่าที่เขารู้ ฮวาโม่เป่ยก็เชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีเหมือนกับหลิวเฟิงจื่อที่เขาเคยประมือมาก่อน อย่างไรการทำความเข้าใจกับเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีในแถบทะเลตะวันออกก็นับว่าง่ายและสะดวกสบายที่สุดแล้ว
แต่เขาเองก็เชี่ยวชาญการใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งวารีเช่นกัน และก็ใช้กระบี่ข่านแห่งวารีพร้อมกับเต๋ารู้แจ้งแห่งวารี ดังนั้นความลึกล้ำแห่งวารีของเขาจึงสูงกว่าฮวาโม่เป่ย มีหรือเขาจะเกรงกลัววิชากระบี่ของฮวาโม่เป่ย?
สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว วารีกำแหงต้นกำเนิดของฮวาโม่เป่ยก็ดูราวกับไม่อาจทำอะไรเขาได้ แค่ใช้ปีกนภาดารกะสักเล็กน้อยก็หลบหนีออกมาจากท่ากระบี่อีกฝ่ายได้ ทั้งยังใช้กระบี่เฉียนแห่งนภาโจมตีกลับได้อีก
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าไหวพริบด้านการต่อสู้ของเฉินซีได้บรรลุถึงขั้นสูงกว่าแล้ว
‘อัศจรรย์จริง! ไม่น่าแปลกใจที่จี้เยว่เสียแขนไป วิชาต่อสู้ทั้งหลายของเขาถือได้ว่าสมบูรณ์แบบไปแล้ว ข้าจะต้องไม่ประมาท!’ ฮวาโม่เป่ยรู้สึกกังวลในใจ ปราณแท้ในร่างเริ่มพุ่งสูงขึ้น กระบี่ในมือกวาดออกเป็นแนวนอน ก่อนจะกลั่นเกราะป้องกันสีน้ำเงินเข้มดั่งวารีสาดจำนวนมากออกมา พวกมันเคลื่อนที่ไปสกัดกระบี่เฉียนแห่งนภา’
ตู้ม!
เสียงปะทะดั่งขุนเขาทลายดังก้อง เกราะป้องกันถูกฟันสลายในกระบี่เดียว ฮวาโม่เป่ยฉวยจังหวะที่กระบี่ปะทะกับเกราะรีบล่าถอย ไปหยุดอยู่ตรงขอบสังเวียนประลองได้พอดี
แต่ถึงกระนั้น การโจมตีครั้งนี้ก็ทำเอาพลังชีวิตและเลือดในกายปั่นป่วน จนสร้างความประหลาดใจแก่เขาขึ้นอีกครั้ง
‘พละกำลังแข็งแกร่งนัก! หรือระหว่างเขาสู้กับจี้เยว่ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้ใช้ปราณแท้ไปมากมาย? หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นกำลังที่เขาซ่อนเร้นไว้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว…’
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในใจเขา ก่อนมันจะกลับสู่สภาวะไร้อารมณ์ดังเดิม ความแข็งแกร่งของเขาได้บรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบนานแล้ว เขาพเนจรไปทั่วสถานที่อันตรายในทะเลตะวันออกอยู่นานหลายปี ในใจจึงไม่คิดถอยแค่เพราะประเมินกำลังของเฉินซีผิดไป กลับกันแล้ว ในใจกลับเกิดความอยากสู้ที่พลุ่งพล่านและแน่วแน่แทน
มีเพียงคู่ต่อสู้เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถขัดเกลาให้เขาแกร่งขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมการชุมนุมธารทอง แล้วเขาจะไม่คว้าโอกาสเช่นนี้ไว้ได้อย่างไร? สู้สิ!
สู้!
ต้องสู้!
ราวกับมีเปลวไฟสองลูกลุกไหม้อยู่ภายในดวงตาของฮวาโม่เป่ย ขณะที่ความปรารถนาในการต่อสู้พุ่งออกมาจากร่าง ทันใดนั้นเจตนาต่อสู้ที่พลุ่งพล่านราวกับกลั่นแน่นจนจับต้องได้ ก่อตัวเป็นคลื่นสมุทรขนาดมหึมาสีน้ำเงินลึกล้ำทำให้เขาดูน่าเกรงขามยิ่ง
“สระหยกไร้ขอบเขต จิตวิญญาณสมุทรก็คือนายท่านใหญ่!” ฮวาโม่เป่ยตะโกนออกมาเสียงดัง กระบี่ในมือเสือกเข้ากะทันหันพร้อมกับคลื่นขนาดมหึมาที่ม้วนตัวเข้ามา น่าตกใจนักที่มีสัตว์ร้ายวารีสีฟ้าคราม ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยเกล็ด มีแขนขาใหญ่ดั่งเสา และมีดวงตาดั่งระฆังทองเหลืองอยู่บนคลื่นขนาดมหึมานั่น มันแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้าแล้วขี่คลื่นพุ่งเข้ามา
กรร!
สัตว์ร้ายวารีส่งเสียงคำรามก้องราวกับเสียงเทพเจ้าแห่งสายฟ้าฟาดค้อน มันดังก้องไปทั่วโลกาจนถึงขั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ชั้นเมฆแหลกสลาย แม้แต่ผู้ชมที่กำลังดูอยู่ยังรู้สึกว่าสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เกิดเสียงดังกระหึ่มอยู่ในหู
เสียงคำรามของมันเหมือนเสียงฟ้าขู่คำราม น่าตกใจที่ภูตอสูรน้ำตนนี้คืออสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งในมหาสมุทร — กระทิงขุย!*[1]
ทันใดนั้น ทั้งสังเวียนประลองหมายเลขสามก็ได้กลายเป็นโลกใต้น้ำอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังกระหึ่มและน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก มันห่อหุ้มเฉินซีไว้ภายในโดยสมบูรณ์
“เต๋าแห่งการรู้แจ้งก่อรูป!”
“ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นแบ่งออกเป็นสี่ขอบเขตสิบสองระดับ ความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีของฮวาโม่เป่ยถึงขอบเขตเริ่มต้นระดับหกแล้วเห็น ๆ!”
“อัศจรรย์นัก! ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งก่อกำเนิดรูป มีผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติกี่คนที่ยังไม่ได้ขั้นนี้ แต่สหายผู้นี้กลับสามารถทำมันได้ ด้วยความสามารถเช่นนี้ก็เทียบเท่ากับนายน้อยโจวและคนอื่น ๆ ได้แล้วล่ะ!”
“ใช่ ในบรรดายอดฝีมือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ ผู้มีความสามารถในการบรรลุขอบเขตเริ่มต้นระดับหกของเต๋ารู้แจ้งนับว่าอยู่ในอันดับต้นแล้ว นายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ และคนอื่น ๆ ก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น การได้สถานะเช่นนี้หมายความว่าเขามีโอกาสติดหนึ่งร้อยอันดับในการชุมนุมดาวรุ่งสูง”
“ใช่แล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ที่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งเหล่านี้ล้วนมีฝีมือเช่นนี้กันทั้งนั้น ข้าไม่เคยคิดเลยว่าฮวาโม่เป่ยจะมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
เมื่อพวกเขาเห็นว่าพลังโจมตีของฮวาโม่เป่ยก่อให้เกิดปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ขึ้น พื้นที่ส่วนผู้ชมก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ทุกคนจึงเผยใบหน้าตกอกตกใจ
“พละกำลังของคนผู้นี้ค่อนข้างดีทีเดียว ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินว่ามียอดอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมได้ปรากฏตัวขึ้นในเกาะบ่อหยกสวรรค์เมื่อครั้งข้าอยู่ที่ทะเลตะวันออก สิ่งที่หาได้ยากเกี่ยวกับอัจฉริยะไม่ธรรมดาผู้นั้นคือดวงจิตแห่งเต๋าของเขานั้นหนักแน่นมาก เขาท้าทายขีดจำกัดตนเองด้วยการต่อสู้ดุดันต่าง ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง”
“ข้าว่ายอดอัจฉริยะนั่นก็คือเขาคนนี้ หากให้เวลาสักหน่อย อาจเป็นได้เหมือนกับหวงฝู่ฉางเทียนและจ้าวชิงเหอทีเดียว” เจิ้นหลิวชิงที่อยู่ในพื้นที่ผู้ชมสังเกตเห็นเจตนาต่อสู้และเต๋ารู้แจ้งที่ฮวาโม่เป่ยปลดปล่อยออกมาดูพลุ่งพล่านนัก จึงอดเอ่ยชมซ้ำ ๆ ไม่ได้
“คนเราชมศัตรูกันเช่นนี้หรือ?” ย่าชิงจ้องเจิ้นหลิวชิงด้วยความไม่พอใจ
“ศัตรูหรือ?” เจิ้นหลิวชิงชะงักไป
“ศัตรูของเฉินซีก็คือศัตรูของเราไม่ใช่หรือไร?” ย่าชิงโพล่งออกมา จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจึงทำท่าถุยน้ำลาย “ข้าลืมไปว่าเจ้ากับข้าไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน”
เจิ้นหลิวชิงยิ้มและไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสังเวียนประลอง
บนสังเวียนประลองหมายเลขสาม ในขณะนี้ เฉินซีดูท่าจะตกที่นั่งลำบากในสายตาคนอื่น ดูแตกต่างจากเฉินซีที่เอาชนะจี้เยว่ได้ในท่ากระบี่เดียวคนก่อนลิบลับ
ท่ากระบี่ของฮวาโม่เป่ยกินพื้นที่ทั่วสังเวียนประลอง มันมาพร้อมกับคลื่นน้ำเชี่ยวกรากและกำลังก่อตัวสูง อสูรกระทิงขุยที่ขึ้นรูปมาจากเต๋ารู้แจ้ง ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยคลื่น มันเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระ กระทืบกีบเท้าเข้าหาเฉินซีไม่หยุด พละกำลังน่าผวาทำให้ทุกย่างก้าวสั่นสะเทือนไปทั่วสนาม
ในทางกลับกันนั้น เฉินซีก็เหมือนปลาในคลื่นยักษ์ที่หาทางหนีและดิ้นรนไปทุกทิศทาง ถึงจะหลบไปได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง แต่ในสายตาคนอื่น เขาได้เสียเปรียบไปแล้ว และฮวาโม่เป่ยก็เป็นฝ่ายคุมการต่อสู้ไปอย่างเห็นได้ชัด
“เกิดอะไรขึ้นกัน? ความแข็งแกร่งของเฉินซีดูเหมือนจะอ่อนแอลงนะ?”
“หรือที่สู้กับจี้เยว่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาใช้กำลังไปมากกว่าครึ่งแล้ว?”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ถึงร่างจะทำจากเหล็ก แต่ต่อสู้นาน ๆ เข้าก็เหนื่อยล้าได้ ทว่าฮวาโม่เป่ยซ่อนเร้นกำลังตนได้มิดชิดนัก เขาต่อสู้มาแล้วกว่าห้าสิบครั้ง แต่ก็ยังสามารถกดดันเฉินซีได้ดุดันเช่นนี้ ช่างน่ากลัวจริง”
ตอนนี้ทุกคนเป็นห่วงเฉินซีนัก บ้างถึงกับสรุปแล้วว่าเฉินซีคงยื้อไว้ได้ไม่เกินเวลาหนึ่งถ้วยชาแน่
“พี่เฉิน ความแข็งแกร่งของท่านมีเท่านั้นเองหรือ? หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าท่านจะแพ้ได้…” ฮวาโม่เป่ยขมวดคิ้ว เดิมทีเขาคิดว่าคงจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สูสีกันแล้ว คงได้สู้กันอย่างจุใจ แต่ภายนอกของเฉินซีแม้จะดูแข็งแกร่งทว่าภายในกลับอ่อนแอ จึงทำให้เขาผิดหวังพอสมควร
‘ดูท่าใช้พลังแค่ครึ่งหนึ่งคงจะไม่สามารถสะเทือนคนผู้นี้ได้สินะ…’ เฉินซีส่ายศีรษะ จากนั้นก็หมุนข้อมือขวา กรีดกระบี่ผ่านฟ้า
ครืน!
ตอนนี้ เจตนาต่อสู้หนาแน่นเองก็เกาะกุมจิตใจของเฉินซีอยู่เช่นกัน เต๋ารู้แจ้งแห่งน้ำ ไฟ ลม และสายฟ้าพากันไหลเข้าสู่ยันต์ศัสตราพร้อมกับเสียงดังลั่น ส่งผลให้เกิดอักขระยันต์และแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นไปด้านบน
จากนั้นภาพอันยิ่งใหญ่และน่าตกใจก็บังเกิดขึ้นแก่สายตาทุกคน
กระทิงเพลิงนรกที่ร่างอาบเพลิงโลกันต์กำลังลอยอยู่เหนือพายุลมบนฟ้า ขนทั่วร่างเป็นเหมือนเมฆาเพลิงที่ลอยคลุ้ง คละเคล้าไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีอันน่าตื่นตะลึง
ในขณะเดียวกัน กิเลนน้ำที่มาพร้อมกับสายน้ำก็ปรากฏขึ้นบนฟ้าพร้อมกับกระทิงเพลิงนรก กิเลนมีหัวเป็นมังกร ร่างเป็นสิงห์ ดวงตาดั่งโคม รอบกีบมีเมฆฝนที่มีสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะอยู่ภายในลอยคลุ้งอยู่ ดูดุดันเหนือสิ่งใด
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว ตัวหนึ่งน้ำ ตัวหนึ่งไฟ ยืนอยู่บนฟ้าเหนือสังเวียนอย่างภาคภูมิ เป็นเหมือนเซียนสองตนที่ลงจากสวรรค์ ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามที่ทำเอาใจคนสั่นระรัว
เต๋าแห่งการรู้แจ้งกำลังก่อรูป!
ทั้งยังเป็นถึงร่างแปลงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากเต๋ารู้แจ้งสองชนิดเสียอีก! เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าผู้ชมทั้งหลายก็ได้แต่ตกใจ พวกเขาเบิกตากว้าง ตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าเผยความไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น
[1] กระทิงขุย เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานโบราณของจีน ที่อาศัยอยู่บนภูเขา มีลักษณะผสมระหว่างมังกร ลิง และควายป่า