บทที่ 326 มหาวายร้ายทั้งห้า
บทที่ 326 มหาวายร้ายทั้งห้า
รถม้าเกล็ดแดงเคลื่อนออกไปก่อนจะลับหายไปตรงสุดปลายถนน ปล่อยเฉินซีไว้ที่จุดนั้นเพียงคนเดียว ชายหนุ่มมองดูสภาพแวดล้อมรอบตัว ทว่ากลับไม่พบอะไรที่จะบ่งบอกว่าเป็นเมืองอีกาคลั่งสักอย่าง
พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยพุ่มไม้เจริญงอกงามเขียวชอุ่มและมีทั้งวัชพืชสีเหลืองและเขียวเอนไหวไปตามแรงลม นับว่าเป็นแดนเถื่อนที่กว้างใหญ่เอาการ เพราะถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นเลยว่าตรงไหนที่เรียกว่าเมืองอีกาคลั่งสักแห่ง
เคราะห์ยังดีที่จิตสัมผัสเทพของเขาแข็งแกร่งมากพอ หลังจากพยายามมองหาในบริเวณใกล้เคียงกว่าพันลี้อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบแผ่นไม้ซึ่งซ่อนอยู่ในพุ่มแห่งหนึ่ง
แผ่นไม้นั้นผุกร่อนหมดแล้วและยังแขวนอยู่บนกิ่งไม้ผุ ๆ และด้วยความที่มันมีสีสันเหมือนกับพวกวัชพืชที่อยู่รอบข้าง หากไม่สังเกตให้ถ้วนถี่ก็พบเห็นได้ยากจริง ๆ
บนแผ่นไม้ผุแผ่นนั้นปรากฏตัวอักษรบิด ๆ เบี้ยว ๆ ว่า ‘เมืองอีกาคลั่ง’
เฉินซีรีบกระโจนเข้าหาแผ่นไม้ทันที เขาพิจารณาดูอยู่พักใหญ่ก่อนจะเงื้อฝ่ามือและฟาดลงไปเบื้องหน้า กระแสลมคมกริบดุจใบมีดพลันพุ่งออกจากฝ่ามือและกวาดออกไปในแนวนอน ส่งผลให้วัชพืชหนาแน่นในบริเวณนั้นถูกสะบั้นและกระจัดกระจายหายไปกว่าครึ่งทันที
ทันใดนั้นเส้นทางเล็กแคบและคดเคี้ยวก็ปรากฏแก่สายตา
‘ต้นไม้เจริญเติบโตและเหี่ยวแห้งไปตามกาลเวลา ถนนที่นำไปสู่เมืองอีกาคลั่งจึงถูกวัชพืชเหล่านี้ปกคลุมไว้จนมิดนั่นเอง อันที่จริงหากมองลงมาจากบนท้องฟ้าก็น่าจะสามารถหาที่ตั้งของเมืองอีกาคลั่งได้เหมือนกัน แต่ด้วยวิธีนั้นจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ซึ่งจะไม่คุ้มกัน…’ เฉินซีหยุดอยู่ครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจก้าวไปตามเส้นทางข้างหน้าโดยไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย
ดวงอาทิตย์คล้อยเคลื่อนถึงเวลาสายัณห์ สายลมเหน็บหนาวพัดมาปะทะ เฉินซีมุ่งไปข้างหน้าราวเกือบหนึ่งเค่อจึงปรากฏเมืองหนึ่งขึ้นไกล ๆ ณ สุดขอบฟ้า
บริเวณท้องฟ้าเหนือเมืองขนาดเล็กมีหมอกหนาดำทะมึนปกคลุมสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอย่างยิ่ง หมอกหนาทึบประหนึ่งปราณวิญญาณที่เกิดจากเหล่าภูตผีวิญญาณอาฆาตที่ยังคงวนเวียนอยู่ อีกทั้งยังปลดปล่อยกลิ่นอายเหี้ยมเกรียมและน่าสยดสยองออกมาอย่างเต็มที่
ชายหนุ่มสันนิษฐานว่าอาจมีพวกที่ชอบก่อกรรมทำชั่วจำนวนมากใช้เมืองอีกาคลั่งเป็นที่ซ่อนตัว และเข้ามาก่ออาชญากรรมร้ายแรงจนทำให้เกิดความขุ่นแค้นในวงกว้าง ดังนั้นพวกมันจึงถูกไล่ล่าจากผู้บ่มเพาะในแผ่นดินซ่ง ในขณะนั้นปราณวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวได้ม้วนตัวไปรอบ ๆ ไม่กระจัดกระจายออกไป แสดงว่าข่าวลือที่ว่าเป็นความจริง เฉินซีจับตามองอย่างใช้ความคิดพลางกะพริบตาช้า ๆ
วิ้ว~ วิ้ว~ วิ้ว~
ยามค่ำเข้ามาแทนที่พร้อมกับลมหนาวพัดดังหวีดหวิว กระแสลมหนาวเยือกเย็นอย่างน่ากลัวให้ความรู้สึกหดหู่และสะเทือนขวัญอยู่ในที ราวกับพวกภูตผีวิญญาณอาฆาตเหล่านี้กำลังโหยหวนครวญครางอยู่ในบริเวณพื้นดินแถวนั้น ทำให้เมืองอีกาคลั่งที่อยู่ไกลออกไปออกจะคล้ายกับเมืองปีศาจ
ทันใดนั้นเฉินซีก็ชะงักหยุดเมื่อชายหนุ่มมองเห็นว่ามีร่างผอมแห้งร่างหนึ่งออกมาจากเมืองอีกาคลั่งและกำลังตรงมาทางเขานั่นเอง
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มแต่ร่างกายซูบซีด ผ่ายผอมและขี้โรคจนดูเหมือนถ้าลมกระโชกแรงสักวูบหนึ่ง เห็นทีคงพัดพาร่างเขาลอยไปเลยทีเดียว แต่ผมเผ้ากลับเป็นกระเซิงยุ่งอย่างกับรังนก
“ลูกค้าผู้มาเยือน… ขอต้อนรับสู่เมืองอีกาคลั่ง ข้าเป็นคนดูแลโรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง เจ้าจะเรียกข้าว่าเฉียวเซิงก็ได้ และเห็นทีนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้ามาในเมืองอีกาคลั่งกระมัง ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการคนนำทางสักคนหรือไม่” ชายหนุ่มร่างผอมแห้งที่ชื่อเฉียวเซิงยิ้มเผล่เห็นฟันขาวจั๊วะ ด้วยบุคลิกท่าทางทำให้คนอื่นประทับใจในตัวเขาไม่ยาก
“คนนำทาง?” เฉินซีเลิกคิ้วถามด้วยความสนใจ เขามองออกในทันทีว่าเฉียวเซิงผู้นี้มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น จึงไม่อาจตบตาหรือเป็นภัยแก่เขาแน่
เฉียวเซิงตอบยิ้ม ๆ “ถูกแล้ว… คนนำทาง ข้าสามารถช่วยเจ้าให้คุ้นเคยกับสภาพภายในเมืองอีกาคลั่งได้ เพราะข้าแนะนำได้ว่าสิ่งไหนที่เจ้าควรสนใจ สิ่งไหนที่ผ่านเลยได้ กฎการอยู่ในเมืองอีกาคลั่งและอื่น ๆ อีกมากมาย ข้าสามารถบอกได้ทั้งหมด”
คนฟังถามทันควัน “ค่าจ้างเท่าใด?”
อีกฝ่ายชูนิ้วพลางตอบ “สามหมื่นโอสถกลั่นแรกเริ่ม”
เฉินซีพยักหน้าหงึก “ตกลง”
ความน่าประหลาดของเมืองอีกาคลั่งที่เผยให้เห็น ทำให้ชายหนุ่มคิดได้ว่าจำเป็นที่จะต้องหาคนนำทางเพื่อทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมของที่นั่นโดยเร็ว ส่วนที่ว่าราคาค่าจ้างสูงจนน่าตกใจนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจ
“เยี่ยม… ตราบใดที่ไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คนตรงไปตรงมาเช่นเจ้า ย่อมเข้าไปอยู่ในเมืองอีกาคลั่งได้สบายอยู่แล้ว” เฉียวเซิงยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ต่อมาไม่นานเขาก็เริ่มออกนำทางไปทันที
เฉินซีสังเกตสภาพแวดล้อมข้างทางในขณะเดินตามหลังเฉียวเซิงเงียบ ๆ ไม่ช้าไม่นานเขาก็เข้าสู่เมืองอีกาคลั่ง
ถ้าพูดกันตามตรง เมืองอีกาคลั่งเป็นเพียงหมู่บ้านที่มีถนนหนทางเป็นดิน บ้านเรือนเก่าแก่ทรุดโทรม กลิ่นอายความอ้างว้างและยากจนกระจายอยู่ทั่วทุกที
ภายใต้บรรยากาศยามค่ำคืนที่โอบล้อม นาน ๆ เขาจึงจะเห็นแสงสว่างจากโคมไฟที่มีอยู่เพียงไม่กี่ดวงในเมืองอีกาคลั่งเท่านั้น เมื่อกระแสลมพัดทำให้เปลวไฟกะพริบริบหรี่ มองเห็นแต่ไกลจึงดูหรุบหรู่หมองมัวเหมือนดวงไฟปีศาจ
ขณะที่กำลังเดินไปนั้น เฉินซีพลันชะงักฝีเท้ากะทันหันพร้อมกับหันขวับไปมองทางขวามือ
ตรงนั้นมีเสาไม้แท่งกลมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านกว่าสิบต้น แต่ละต้นสูงราวสิบจั้งขึ้นไป ถัดไปจากถนนสายหลักไม่มากนัก แต่ที่ส่วนยอดเสาไม้มีซากศพห้อยต่องแต่ง ร่างไร้วิญญาณของสตรีที่ยังคงสดใหม่และเปลือยเปล่า ที่ลำคอของศพเปลือยเหล่านี้ถูกมัดเชือกไว้อย่างแน่นหนา โดยถูกมัดมือไพล่หลัง ส่วนขาแกว่งไกวอยู่กลางอากาศ ดวงตาเหลือกถลนแทบปะทุออกมานอกเบ้าและปกคลุมด้วยเงาแห่งมัจจุราช
ขณะนั้นมีกระแสลมเย็นเยือกพัดกระโชกไปยังใส่ซากศพ จนมองผิวเผินเหมือนร่างไร้วิญญาณของหุ่นไล่กาจำนวนมาก
ที่เสาไม้กลมแท่งสุดท้ายมีชายวัยกลางคนยืนเด่นเป็นสง่า เขาสวมเครื่องแต่งกายปักลวดลายทับด้วยผ้าคลุมขนพังพอนและที่ศีรษะสวมหมวกทรงกลม สีหน้าดูอบอุ่นบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีอัธยาศัยเหมือนคนใจบุญสุนทานซึ่งมักจะพบเห็นได้บ่อยครั้ง เขากำลังยืนเกาคางของตนเองขณะพิจารณาซากศพที่เพิ่งถูกนำขึ้นไปแขวนมาหมาด ๆ
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ชายวัยกลางคนท่าทางมีอันจะกินผู้นี้เปล่งกลิ่นอายสังหารอย่างแน่นหนาออกมาทั่วร่าง กระทั่งรอบตัวเขามีหมอกดำทะมึนก่อตัวทับซ้อนกันเป็นชั้นเบาบาง กลิ่นอายเหล่านี้เป็นกลิ่นอายของ ‘บาป’ ที่จะปรากฏขึ้นได้จากการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างทารุณจนถึงแก่ความตายมานับไม่ถ้วนเท่านั้น และมือของเขาย่อมปรากฏร่องรอยแปดเปื้อนจากดวงวิญญาณของผู้ที่ตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมเหล่านั้น
“คนนั้นคือหุ่นไล่กาจาง หนึ่งในห้ามหาวายร้ายแห่งเมืองอีกาคลั่ง” เฉียวเซิงพูดออกมาจากข้างตัวอย่างรวดเร็ว “คนผู้นี้ชื่นชอบการรวบรวมซากศพของสตรีจนถึงขั้นเสพติดและนำพวกมันมาขัดเกลาด้วยทักษะลับให้กลายเป็นหุ่นคน เขาจะรวบรวมซากศพให้ได้ร้อยศพ จากนั้นจะใช้ธาตุอโลหะในร่างจุดคบไฟให้ความสว่างไสวและพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้าที่มองเห็นได้จากระยะไกล …มันเป็นภาพที่งดงามมากทีเดียว”
เฉินซีพึมพำถามเสียงเย็น “หุ่นไล่กาจางอย่างนั้นหรือ?”
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว ในเมืองอีกาคลั่งมักจะมีสมญานามกันทุกคน น้อยคนเท่านั้นที่จะใช้ชื่อจริงกันน่ะนะ”
จากนั้นเฉินซีก็หุบปากเงียบไม่ถามอะไรอีก สายตาของเขาเหลือบไปหยุดที่ซากศพของหญิงคนหนึ่งที่กำลังแกว่งไกวไปตามกระแสลมหนาวที่โบกสะบัดเพียงครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับมุ่งหน้าเดินต่อไป
ฟิ้ววว!
ต่อมาไม่นานกระแสลมก็พัดพาเสียงน้ำไหลดังมาให้ได้ยิน ระคนกับกลิ่นคาวโลหิตฉุนกึกตลบอบอวล
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองตรงไปทันที ชายหัวโล้นร่างเปลือยท่อนบนนั่งอยู่ข้างทาง ตรงหน้ามีอ่างไม้ขนาดใหญ่และภายในนั้นเป็นโลหิตเข้มข้นกับกะโหลกศีรษะของคนซึ่งบัดนี้มีสีขาวเหมือนหิมะลอยฟ่อง
“นั่นคือหลีกะโหลกผี คนผู้นี้เป็นหนึ่งในห้ามหาวายร้ายแห่งเมืองอีกาคลั่งเช่นเดียวกับเจ้าหุ่นไล่กาจางนั่น เขามักจะมานั่งขัดเกลาหัวกะโหลกของมนุษย์เป็นประจำเพื่อทำเป็นไข่มุกกระดูกที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือ จากนั้นก็จะนำไปห้อยคอ” เฉียวเซิงชี้ไปที่บริเวณลำคอของเจ้ากะโหลกผีหลี ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ดูนั่น สร้อยที่เขาสวมอยู่ที่คอทำจากกระดูกพวกนั้น ซึ่งมีทั้งหมดร้อยแปดชิ้น และทุกชิ้นทำมาจากกะโหลกของคน มันสวยมากไม่ใช่หรือ?”
เฉินซีเขม้นมองด้วยความสนใจ จึงได้ประจักษ์ว่าสายสร้อยที่มีไข่มุกกระดูกร้อยเข้าไว้จำนวนมากนั้นเกิดจากกะโหลกมนุษย์ที่หดตัวลงหลายเท่า ทุกชิ้นมีลูกดวงกลวงโบ๋ ยิงฟันแจ่มแจ๋วจนดูเหมือนว่าพวกมันกำลังยิ้มให้อย่างเหี้ยมเกรียม
ทำนองเดียวกันกับเมื่อครู่ ชั้นหมอกหนาสีดำที่ม้วนเป็นวงล้อมรอบตัวหลีกะโหลกผีนั้นก็เกิดจาก ‘บาป’ เช่นกัน
เฉียวเซิงทักทายหลีกะโหลกผีเล็กน้อย ก่อนจะนำทางเฉินซีไปต่อ
ระหว่างทางเฉินซีอดที่จะถามออกไปไม่ได้ “มีหุ่นไล่กาจางแล้ว มีหลีกะโหลกผีแล้ว มหาวายร้ายอย่างที่เจ้าบอกอีกสามคนคือใคร?”
คนถูกถามเหยียดยิ้มที่มุมปาก “นึกแล้วเชียวว่าเดี๋ยวเจ้าต้องถามแน่ นอกจากพวกเขาแล้วก็มีคนที่ชื่อว่าชื่อหลัวหลานหรือนางกล้วยไม้แดง คนผู้นี้เป็นสตรีที่ชื่นชอบปลูกดอกกล้วยไม้แดงเป็นชีวิตจิตใจ แต่กล้วยไม้แดงที่นางปลูกต้องบำรุงด้วยปุ๋ยมนุษย์ นางจะฝังคนทั้งเป็นลงไปในหลุมโดยเจาะรูเปิดช่องไว้ที่หัวของคนคนนั้น จากนั้นนางก็หยอดพันธุ์กล้วยไม้แดงลงไป”
“นอกจากนางแล้ว ยังมีคนชื่ออู๋ฝูจื่อ ชายชราคนนี้มีความชอบส่วนตัวที่ถือว่าปกติที่สุด เพียงแต่เวลาที่เขาเข้านอนมักชอบให้มีเสียงร่ำไห้โหยหวนมาขับกล่อม เพราะฉะนั้นเขาจึงขุดหลุมขนาดใหญ่ในที่ที่เขาจะนอน และเลี้ยงคนที่มีชีวิตเอาไว้ในนั้น ทุกครั้งที่กำลังเข้านอนเขาจะเทไฟปีศาจนรกลงไปในหลุมนั่น ให้มันเผาไหม้คนในนั้นจนกระทั่งพวกเขาแหกปากร้องโหยหวน ก่อนที่เขาหลับไปอย่างเป็นสุข”
“คนสุดท้ายคือฉีอิ๋น เขาเป็นคนมีอุปนิสัยเย็นชา ไม่ยินดียินร้าย น้อยครั้งที่จะมาปรากฏตัวในเมืองอีกาคลั่ง ส่วนใหญ่แล้วเขาจะอยู่แต่ในป่าทมิฬ เพลิดเพลินกับการต่อสู้และไล่เข่นฆ่าพวกสัตว์อสูรดุร้ายที่นั่น”
เฉินซีพยักหน้าช้า ๆ “หุ่นไล่กาจาง หลีกะโหลกผี กล้วยไม้แดง อู๋ฝูจื่อ และฉีอิ๋น ในบรรดามหาวายร้ายที่เจ้าบอกมาทั้งหมด ข้าว่าฉีอิ๋นเป็นคนเดียวที่ถือว่าเหมือนคนปกติที่สุด”
คนฟังยิ้มและพูดว่า “เอาไว้เจ้าอยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่มีใครเข้ามาดูแลที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเข้าถึงกับตาเหลือกก่อนจะสั่นศีรษะดิก “ไม่มีทาง ที่นี่ก่ออาชญากรรมทั้งหลายแหล่ ในนี้มีใครบ้างที่มือไม่แปดเปื้อนมลทิน ถ้าไม่จนตรอกจริง ๆ ก็คงไม่มีใครอยากเข้ามาและทรมานทรกรรมอยู่ที่นี่หรอก”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ เฉียวเซิงพลันทำท่าราวกับจะเข้าใจอะไรบางอย่างจึงหันมาทำสีหน้าเคร่งขรึมและพูดเตือนอีกฝ่ายว่า “นี่ลูกค้า… ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเข้าเทียว แม้ว่าเจ้าหุ่นไล่กาจางและคนอื่นจะฆ่าคนเป็นว่าเล่น จนต้องหลบหนีมาอยู่ในเมืองอีกาคลั่งและพวกเขาสมควรตายก็ตาม ทว่าหากเจ้าแส่ไปยุ่งกับพวกเขา ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องพบจุดจบเหมือนกับคนตายพวกนั้นแน่”
เฉินซีนิ่งไป เขาจำได้ว่าก่อนจะจากมา คนบนรถม้าเกล็ดแดง เรียกเขาว่า ‘ปีศาจ’ ไว้อย่างไร ถ้าเช่นนั้นเหล่าวายร้ายในเมืองอีกาคลั่งพวกนี้ก็ไม่ใช่ปีศาจจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
สถานที่นี้เป็นที่ลี้ภัยสำหรับพวกเดนมนุษย์ชัด ๆ
จากนั้นตลอดการเดินทาง เฉินซีก็ซักถามเฉียวเซิงต่อไปอีกสองสามเรื่อง จนทำให้พอจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองอีกาคลั่งอยู่บ้าง
เมืองอีกาคลั่งเวลานี้มีคนอาศัยอยู่กว่าพันคน มีทั้งโจรผู้ร้าย ฆาตกร หัวขโมย… พวกเขามีจุดที่ร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือหลบหนีการไล่ล่าของราชวงศ์ซ่งทั้งสิ้น และที่เลือกมาที่นี่ก็เพราะทุกคนถูกไล่ล่ากระทั่งจนตรอกแล้ว
ส่วนสาเหตุง่าย ๆ ที่ทำไมทางการแผ่นดินซ่งจึงไม่กำจัดพวกเขาเสีย เป็นเพราะด้านหลังเมืองอีกาคลั่งคือป่าทมิฬซึ่งเป็นป่าที่เหล่าอสูรสัตว์ร่อนเร่อยู่อย่างมีอิสระ ทุกย่างก้าวในป่าจึงเต็มไปด้วยภัยร้ายและแม้ว่าจะเป็นที่อันตราย แต่มันกลับอุดมไปด้วยวัตถุวิญญาณและสายแร่วิญญาณมากมาย หากมหาวายร้ายที่ชุมนุมอยู่ในเมืองอีกาคลั่งต้องการที่จะอยู่รอด พวกเขาต้องยอมจ่ายค่าที่ซ่อนตัวเป็นวัตถุต่าง ๆ ทุกเดือน มิฉะนั้นอาจโดนผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งมาล้อมจับได้
อีกนัยหนึ่งก็คือเมืองอีกาคลั่งเปรียบเสมือนคุก และวายร้ายเหล่านี้ก็คือพวกนักโทษนั่นเอง
ส่วนเรื่องที่อยากจะหนีไปจากที่นี่นั้นลืมไปได้เลย แม้ว่าเฉียวเซิงจะไม่ได้พูดเจาะจงถึงรายละเอียด แค่บอกเพียงว่าวายร้ายที่เคยหนีออกจากเมืองอีกาคลั่งจะถูกจับส่งกลับมาภายในไม่เกินสามวัน ซึ่งตอนนั้นพวกมันล้วนเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณกลับมาเท่านั้น
แน่ล่ะ เฉินซีได้ถามเฉียวเซิงเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าตัว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเจ้าสหายหน้าใหม่ผู้นี้จะเป็นคนของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งเช่นกัน
น่าแปลก!
ที่นี่ดูแปลกจริง ๆ
จนถึงตอนนี้เฉินซีก็ยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับสภาพการณ์ตรงหน้าอยู่นั่นเอง
แต่เพียงไม่นานเขาพลันสลัดความกังวลทั้งหลายในใจลง เพราะตนไม่ได้คิดจะมาอยู่ที่เมืองอีกาคลั่งอยู่แล้ว เขาเพียงแค่ต้องการใช้มันเป็นทางผ่านไปสู่ป่าทมิฬและมุ่งหน้าต่อไปที่นครอสนีบาต เพื่อไปถึงนครหลวงธารสายไหม
ผ่านไปไม่นานข้างหน้าก็ปรากฏพื้นที่กว้างขวาง กำแพงหลายแห่งพังทลายลง อีกทั้งยังมีซากปรักหักพังอยู่ทุกหนแห่ง มีเพียงโรงเตี๊ยมซอมซ่อที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ ตั้งอยู่หลังเดียว
โรงเตี๊ยมหลังนี้ไม่เพียงซอมซ่อและหยาบเท่านั้น แต่มันเกือบจะพังมิพังแหล่ด้วย กำแพงที่ล้อมรอบเป็นรอยกะดำกะด่าง หลังคามีรอยแตกร้าวเต็มไปหมด สภาพเหมือนจะพังโครมลงมาได้ทุกเมื่อ
ตรงปากทางเข้าโรงเตี๊ยมมีแผ่นไม้เว้าแหว่ง ห้อยกะร่องกะแร่งแขวนอยู่ บนแผ่นป้ายไม้มีรูปอีกาสีมอ ๆ และตัวหนังสือเขียนว่า ‘โรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง’
ท้องฟ้ายามค่ำคืนดำมืดเสมือนน้ำหมึกมีเสียงเปล่งหัวเราะดังกึกก้องปานเสียงฟ้าร้องดังออกมาจากข้างในโรงเตี๊ยมเป็นครั้งคราว ทำให้บรรยากาศของเมืองเล็ก ๆ ที่หมองหม่นแห่งนี้คึกคักขึ้นมาทันที