บทที่ 332 เทพอสูรล่ามโซ่
บทที่ 332 เทพอสูรล่ามโซ่
หลังจากบินมาได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม และยืนยันจนแน่ใจว่าด้านหลังของเขาไม่มีผู้ใดไล่ตามมาแล้ว เฉินซีจึงค่อย ๆ ลดความเร็วลงในที่สุด
เขากำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้เขาไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยมากนัก ความได้เปรียบของจำนวนคนนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะแสดงผลออกมาในป่าเขาเช่นนี้ และตัวเขาก็ยังสามารถพลิกแพลงได้มากกว่าเพราะมีเพียงตัวคนเดียวด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาคุ้นเคยกับการต่อสู้ในป่าเป็นอย่างดี
ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือ ถึงแม้ว่าเขาจะหลบหนีจากมือสังหารของตำหนักตะวันดำกลุ่มล่าสุดที่ไล่ตามมาได้ แต่ก็ยังมีมือสังหารจำนวนมากกระจายตัวอยู่ที่ด้านหน้า ยิ่งไปไกลมากเท่าไร ระดับความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น หากเขายังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละเช่นนี้ เฉินซีจะตกหลุมพรางที่คนพวกนั้นวางไว้ทีละอย่างอย่างแน่นอน และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเต็มใจที่จะให้เกิดขึ้น
เฉินซีรู้ว่าหากต้องการแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ เขาจะต้องเริ่มทำความเข้าใจและคาดเดาวิธีคิดของอีกฝ่าย โดยไม่ถูกจูงจมูกเช่นที่ผ่านมาให้ได้เสียก่อน!
แล้วเขาควรจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้อย่างไร?
เฉินซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็วในขณะที่เขามุ่งหน้าต่อเข้าไปยังพื้นที่ภายในของป่าทมิฬ
ป่าทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากจนแทบจะเหมือนไร้ขอบเขต เมื่อเดินลึกเข้าไป ขนาดของต้นไม้รอบข้างก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ สูงชะลูดและเก่าแก่ดุจเสาค้ำฟ้าที่ตั้งตระหง่าน ทำให้ผู้คนจินตนาการได้ยากว่าต้นไม้เหล่านี้มีอายุยืนยาวมากเพียงใด
และเมื่อเดินลึกเข้าไปอีก เนินเขาและภูเขาที่สูงตระหง่านและกว้างใหญ่ก็เริ่มปรากฏให้เห็น ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมด้วยป่าอันอุดมสมบูรณ์เช่นป่าที่เขากำลังผ่านอยู่นี้ หากได้ลองมองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นขุนเขาบนแผ่นดินเป็นราวกับลูกคลื่นในทะเลป่าที่อุดมไปด้วยสีเขียวขจี
ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกหวาดกลัวสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาและขัดจังหวะความคิดของเฉินซี เทือกเขาที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้ากลับเป็นสีน้ำตาลเทา ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ ทำให้มันเป็นเขาที่โล้นเตียนและแห้งแล้งยิ่ง จนทำให้มันสะดุดตาอย่างมากเมื่ออยู่ท่ามกลางทะเลป่าไม้อันกว้างใหญ่นี้
เฉินซีสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่าง ความรู้สึกนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย สัญชาตญาณจากจิตสำนึกของเขาทำให้เขาตัดสินใจได้ทันทีว่า ถ้าตนยังไม่ออกห่างจากภูเขาแห่งนี้ ชีวิตของเขาจะต้องประสบกับสถานการณ์ร้ายแรงเป็นแน่!
ฟิ้ว!
เฉินซีใช้ปีกนภาดารกะด้วยพละกำลังทั้งหมดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทิ้งไว้เพียงเงาร่างในอากาศที่เขาเคลื่อนตัวผ่านไป หลังจากทิ้งระยะออกไปได้ประมาณเกือบสิบลี้ เขาก็หยุดลง
เมื่ออยู่ในระยะนี้แล้ว ร่องรอยความหวาดหวั่นที่ยังคงอยู่ในใจของเขาก็หายไปในที่สุด และทำให้เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป
ในยามนี้ ที่ที่เขายืนอยู่ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์และต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าจำนวนมหาศาล ซึ่งแตกต่างกับภูเขาที่แห้งแล้งไกล ๆ ลูกนั้นอย่างชัดเจน ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและพืชที่เขียวขจี ในขณะที่ภูเขาแห้งแล้งนั้นมีเพียงกลิ่นอายแห่งความตาย ไม่มีแม้แต่ใบหญ้างอกอยู่เลย ทำให้มันดูรกร้างอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายลึกลับที่คลุมเครือยังปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา ราวกับว่าถ้ำของสัตว์ประหลาดที่ถูกผนึกไว้ชั่วนิรันดร์กำลังจะถูกเปิดออก
มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นกันแน่?
แกร๊ก!
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้คิดออก เสียงแปลก ๆ จากภูเขาที่อยู่ห่างไกลนั้นก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกกำลังแตกร้าว ก้อนหินขนาดใหญ่สั่นไหวประหนึ่งสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวบางตัวกำลังจะคืบคลานออกมาจากภายในภูเขา
ครืน!
สัตว์อสูรที่ทั้งบินได้และไม่ได้รอบในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ตื่นตระหนกราวกับว่าพวกมันถูกกระตุ้นโดยบางสิ่งบางอย่าง ทำให้พวกมันหนีไปไกลอย่างบ้าคลั่ง กวาดลากเอาต้นไม้ใบหญ้าไปกับพวกมันพร้อมกับกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
มันเหมือนกับว่าจุดจบของโลกกำลังใกล้เข้ามาถึงแล้ว เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติบนภูเขาแห้งแล้ง ป่าที่เงียบสงบนี้จึงวุ่นวายขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“นี่คือ… ” เฉินซีเบิกตากว้าง จู่ ๆ ทิวเขาจำนวนมากที่อยู่ในระยะสายตาก็พังทลายลงอย่างกะทันหันโดยไม่มีแม้แต่สัญญาณเตือนเลย จากนั้นกลุ่มหมอกสีน้ำตาลเถ้าก็ลอยฟุ้งขึ้น จนก่อตัวเป็นฉากที่น่ากลัวยิ่ง
ภูเขาขนาดใหญ่จำนวนมากพังทลายลง รอยแยกขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนพื้นดิน ในขณะที่ภูเขาแห้งแล้งทรุดตัวลงไปจนกลายเป็นหลุมดำที่น่าสะพรึงกลัว
โครม!
ในเวลานี้ ร่างที่มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาพุ่งออกมาจากพื้นดินพร้อมด้วยเสียงดังโครมคราม ครึ่งร่างของมันถูกพันธนาการด้วยโซ่สีดำหนาแน่นจำนวนมาก ทว่าเพียงแค่ร่างท่อนบนของมันก็สูงแทบเสียดฟ้าแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างดูราวกับทะเลสาบขนาดใหญ่ ไหล่ของมันกว้างยิ่งกว่าเทือกเขาที่ทอดตัวยาวไปทั่วพื้นดิน ทุก ๆ ลมหายใจเป็นราวกับลมพายุที่พัดสะเทือนกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง พร้อมส่งเสียงดังกึกก้องดุจฟ้าร้อง
“เทพอสูรโบราณ!?”
เฉินซีรู้สึกตกใจอย่างมากจนไม่อาจอธิบายออกมาได้ เขาจำตัวตนที่แท้จริงของร่างมหึมานี้ได้ในทันทีด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ในตอนนี้ ภูเขายักษ์หลายลูกพังทลายลงและพื้นดินแยกตัวออกจากกัน เป็นเพราะมันพุ่งออกมาจากข้างใต้
เทพอสูรโบราณตนนี้กำลังดิ้นรนอย่างรุนแรง จนทำให้ภูเขาและพื้นดินที่ถล่มลงไปแล้วกลายเป็นฝุ่นควันฟุ้งกระจายขึ้นมา เสียงที่ดังก้องไปทั่วสวรรค์และปฐพีของมันนั้นดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่ามันจะพยายามมากแค่ไหน ส่วนล่างที่ถูกโซ่จำนวนมากดึงรั้งเอาไว้ของมันก็ไม่สามารถหลุดออกไปได้เลย
โซ่สีดำสนิทเหล่านั้นต้องเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น การคุมขังเทพอสูรโบราณตนนี้เอาไว้ โดยไม่ให้มันสามารถทำลายโลกได้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
โอม!
ทันใดนั้นเฉินซีก็รู้สึกว่ามือของเขาสั่นอย่างแรง ธนูทลายดารา! สมบัติจ้าววิญญาณที่ได้มาจากฉีอิ๋นเริ่มปั่นป่วน และกำลังจะหลุดออกจากมือของเขา
“ช่างเป็นพลังดึงดูดที่ทรงพลังยิ่งนัก เป็นไปได้ไหมว่าเทพอสูรโบราณตนนี้จะถูกคันธนูนี้ชักนำออกมา? ใช่แล้ว วัสดุที่ใช้ในการปรับแต่งธนูคันนี้มาจากเทพอสูร! สำหรับเทพอสูรโบราณที่อ้างว่าตนมีเกียรติอย่างยิ่งแล้ว การกระทำเช่นนี้คงถือเป็นการดูหมิ่นที่ไม่อาจทนได้”
เฉินซีคาดเดาหลายสิ่งหลายอย่างในใจของเขาทันที สำหรับผู้บ่มเพาะกายาแล้ว สมบัติจ้าววิญญาณนับเป็นอาวุธที่พวกเขาใฝ่ฝันถึงมากที่สุด แต่สำหรับเทพอสูรโบราณสมบัติจ้าววิญญาณเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่กระตุ้นความเกลียดชังในตัวพวกมันได้มากที่สุด นั่นก็เพราะทุกการเกิดของสมบัติจ้าววิญญาณหมายถึงการตายของเทพอสูร
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ เฉินซีจึงโยนคันธนูทลายดาราเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ทันที ในตอนนั้นเองเขาก็พบว่าดวงตาขนาดมหึมาของเทพอสูรโบราณกำลังจับจ้องมาที่เขา ดวงตาเย็นยะเยือกดุจทะเลสาบเต็มไปด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน พลังน่าสะพรึงกลัวที่มันปล่อยออกมากดดันให้ร่างกายของเฉินซีแข็งทื่อ และแม้กระทั่งการหายใจเองก็ทำได้ยากขึ้นอย่างมาก
ปัง!
ท้ายที่สุด ร่างของเทพอสูรโบราณที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กก็ล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรงและหายไปในรอยแตกขนาดใหญ่มหึมา หลังจากนั้นเสียงอึกทึกครึกโครมก็หยุดลง ฝุ่นควันค่อย ๆ กระจายตัวไปอย่างช้า ๆ และหลงเหลือไว้เพียงเศษซากที่น่าสะพรึงกลัวจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
เฉินซีพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ป่าทมิฬแห่งนี้อันตรายและน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ แม้แต่การดำรงอยู่ที่เหนือจินตนาการอย่างเทพอสูรโบราณก็กลับมีตัวตนอยู่จริง สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่นี่เกินกว่าสถานที่อันตรายใด ๆ ที่เขาเคยประสบมาเสียอีก
เฉินซีไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปและรีบมุ่งหน้าไปต่อ ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็ได้เดินทางไปหลายหมื่นลี้ทั้งยังผ่านมาหลายวันแล้ว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาพึ่งพาปีกนภาดารกะที่ว่องไวดุจสายฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์อสูรดุร้ายมากมายมาตลอดทาง แน่นอนว่ามันย่อมเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวโดยไม่อาจเลี่ยงได้
จนถึงตอนนี้เฉินซีก็ยังไม่รอดพ้นจากการถูกไล่ตาม เนื่องจากตะขาบยักษ์ที่มีลำตัวสีเงินปรอทได้ไล่ตามเขามาถึงสองวันแล้ว
เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์อสูรที่ดื้อรั้นและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง มันมีลำตัวยาวหลายสิบจั้งและมีพละกำลังที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว เปลือกทั่วทั้งร่างของมันแข็งเหมือนเหล็ก แม้แต่ยันต์ศัสตราก็ไม่สามารถทำให้เปลือกของมันแตกได้ ในขณะที่ขานับพันของมันเป็นเหมือนใบมีดคมกริบที่สามารถตัดโค่นต้นไม้และทิ้งรอยไปทั่วภูเขา หากเฉินซีช้าลงแม้เพียงเล็กน้อย มันจะตามลมหายใจของเขามาทันและสร้างปัญหาให้เขาไม่รู้จบ
ตามการคาดเดาของเฉินซี ความแข็งแกร่งของตะขาบสีเงินตัวนี้อย่างน้อยก็คงอยู่ในขอบเขตจุติ เมื่อรวมกับการป้องกันที่โดดเด่นและความเร็วที่รวดเร็วของมันแล้ว การที่เขาจะสังหารมันลงได้ในเวลาอันสั้นแทบเป็นไปไม่ได้
ยามนี้เขาทำได้เพียงแค่หลบหนี ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับตำหนักตะวันดำ แม้กระทั่งการสลัดเจ้าสตว์อสูรน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ข้างหลังเขาก็ทำให้ตอนนี้เฉินซีรู้สึกปวดหัวมากพอแล้ว
โครม!
แสงเย็นยะเยือกนับพันพุ่งทะลุผ่านอากาศ กวาดส่งต้นไม้โบราณและก้อนหินน้อยใหญ่ทั้งหมดในบริเวณโดยรอบให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที ถึงเฉินซีจะไม่ได้หันไปมอง เขาก็รับรู้ได้ว่าตะขาบสีเงินตามมาจนถึงตัวเขาอีกครั้งแล้ว
เขาไม่ลังเลที่จะกระโจนขึ้นเลยแม้แต่น้อยและรีบเร่งจากไป
ปัง!
จุดที่ชายหนุ่มเพิ่งจะจากไปเมื่อครู่ปรากฏรอยตัดขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนขึ้นบนพื้น ต้นไม้โบราณทั้งหลายถูกตัดออกเป็นสองท่อนในทันใด
หลังจากนั้น ตะขาบสีเงินขนาดมหึมาก็พุ่งออกมาราวสายฟ้าสีเงินพร้อมกับเหวี่ยงขานับพันไปรอบ ๆ ดวงตาสีแดงเข้มของมันจ้องมองไปยังทิศทางที่เฉินซีหลบหนี ร่องรอยแห่งความโกรธเกรี้ยวที่ฉายชัด เฉียดฉิวเพียงนิดเดียว แต่เขาก็กลับหนีไปได้อีกครั้ง…
โฮก!
ทันใดนั้นเสียงคำรามอันรุนแรงได้ดังก้องออกมาจากป่าลึก เงาสีดำที่สูงกว่าสิบจั้งก็พุ่งออกมา มันเหวี่ยงแขนออกไปด้วยความคล่องแคล่ว และคว้าจับตะขาบสีเงินเอาไว้
มันคือลิงยักษ์ที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมที่มีขนทั้งตัวเป็นสีทองอร่ามยามต้องแสงแดด
ตะขาบเงินตกใจและรีบเหวี่ยงขาอันแหลมคมนับพันของมันไปทางลิงตัวยักษ์นั้น
เปรี้ยง!
แม้เจ้าลิงยักษ์จะมีร่างกายใหญ่โต แต่มันก็เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมาก มันกลายเป็นเส้นแสงสีทอง ก่อนจะปรากฏขึ้นที่ส่วนหัวของตะขาบสีเงินอย่างรวดเร็ว มือของมันฟาดกระแทกลงมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งดาวตก มันเปิดหัวตะขาบสีเงินที่แข็งอย่างมากออกด้วยการฟาดเพียงครั้งเดียว
ตะขาบสีเงินตัวใหญ่ที่ไล่ล่าเพื่อสังหารเฉินซีมาเป็นเวลาหลายวัน ทำได้เพียงส่งเสียงร้องด้วยความสิ้นหวังก่อนจะตายลงในทันทีภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของลิงยักษ์ จากนั้นสมองและเนื้อของมันถูกลิงยักษ์กลืนกินไปจนหมดสิ้น
ที่นี่คือป่าทมิฬ ที่ซึ่งมีอันตรายและสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง กฎของป่าคือที่สุด ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง จิตสังหารและการต่อสู้เสี่ยงชีวิตจนนองเลือดล้วนมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่
ที่นี่ไม่เคยมีเหตุผลให้ใช้ ผู้อ่อนแอจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานนัก เพราะเพียงไปนานมันก็อาจจะกลายเป็นอาหารของสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ไปได้ในชั่วพริบตา
หลังจากนั้น เฉินซีก็ได้ต่อสู้เสี่ยงชีวิตอีกหลายครั้งและพบกับอันตรายมากมาย เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบตายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่การบ่มเพาะร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นตราบเท่าที่ศีรษะและหัวใจของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็สามารถฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้ในเวลาอันสั้น ชายหนุ่มจึงรอดพ้นจากการโจมตีของสัตว์อสูรทั้งหลายมาได้หลายครา
ตอนนี้เฉินซีได้สร้างอุปนิสัยใหม่ที่ดีมากขึ้น เมื่อใดที่เขาหยุดเคลื่อนไหว เขาจะพักฟื้นพละกำลังในทันที และหลังจากหยุดไม่นาน เขาจะจากไปโดยไม่รั้งรอเลย เพราะเขาไม่มีเวลาให้เสียเปล่าแม้แต่น้อย หากเขาใช้เวลาในที่แห่งเดียวมากกว่าหนึ่งเค่อ เขาก็จะถูกสัตว์อสูรที่พุ่งเข้ามาโจมตีทันทีหลังจากจับการเคลื่อนไหวของเขาได้
อย่างไรก็ตาม การผ่านการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายมานับครั้งไม่ถ้วน นั้นกลับมีประโยชน์ต่อความแข็งแกร่งและการบ่มเพาะของเฉินซีอย่างมาก เช่นเมื่อวันก่อนนี้ การบ่มเพาะของเขาได้พัฒนาขึ้นมาจนถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขานับได้ว่าเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ เฉินซีก็สามารถสู้กับพวกเขาได้อย่างเท่าเทียมแล้ว
ยิ่งกว่านั้น การเดินทางไปด้วยบ่มเพาะไปด้วยนี้ ทำให้เฉินซีได้รับสมุนไพรวิญญาณหายากที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติสวรรค์เกือบสิบชนิด ทั้งยังได้รับหนังกระดูกและวัสดุต่าง ๆ มากมายจากเหล่าสัตว์อสูร มูลค่าของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนับว่ามากมายยิ่ง หากนำพวกมันทั้งหมดมารวมกันและแลกเปลี่ยนเป็นโอสถกลั่นแรกเริ่ม อย่างมากก็ได้ถึงสองหรือสามล้านเม็ด และนั่นถือเป็นความมั่งคั่งอย่างมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันทีที่เฉินซีมุ่งมั่นไปกับการเดินหน้าต่อ บริเวณลานหินที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาภายในป่าทมิฬ ก็มีกลุ่มคนที่กำลังวางแผนซุ่มโจมตีที่สมบูรณ์และพิถีพิถันอยู่