บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 334 เป้าหมาย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 334 เป้าหมาย

บทที่ 334 เป้าหมาย

ครืน!

ร่องรอยความผันผวนเผยขึ้นจากยันต์เลิศล้ำสีฟ้าอ่อนในมือ จากนั้นดวงตาของจิ้งจอกแดงก็หรี่ลงพร้อมกับคลี่ยิ้มบาง “เป้าหมายดูเหมือนจะสังเกตเห็นเราและกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังป่าทมิฬ ไปกันเถอะ การล่ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”

ปลายเท้าของจิ้งจอกแดงแตะท้องฟ้า เกิดระลอกคลื่นกระจายออก จากนั้นความเร็วของเขาก็สูงขึ้นมาก ก่อนที่นักฆ่าคนอื่น ๆ ของตำหนักตะวันดำจะตามหลังเขาไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

ควบคู่ไปกับนักฆ่าห้าสิบคนที่กุหลาบนำมา ขณะนี้กลุ่มจึงมีทั้งหมดร้อยเจ็ดคน

คนเหล่านี้ล้วนเป็นนักฆ่าที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาหลายร้อยครั้ง มีประสบการณ์โชกโชน ปรับรูปขบวนให้กลายเป็นทรงพัด ก่อนจะกระโจนหายขึ้นฟ้าไป แม้ว่าความเร็วที่รุดหน้าไปจะรวดเร็ว แต่ใบหน้าทุกคนล้วนสงบสำรวม ไร้ความใจร้อนใดแสดงให้เห็นว่าภารกิจมีโอกาสสำเร็จสูง ความสามัคคีระหว่างกันก็ดีเยี่ยม

จิ้งจอกแดงไม่ได้ใช้เกราะป้องกันร่างไว้ ปล่อยให้ลมหนาวราวกับใบมีดพัดผ่านใบหน้า ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าเผยแววความเพลิดเพลินจาง ๆ หลังจากที่ได้ยินกุหลาบอธิบายเรื่องเฉินซีแล้ว เขาก็รู้สึกถึงจิตสังหารที่ค่อย ๆ ก่อตัว

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้พบกับคนที่น่าสนใจเช่นนี้ จึงคาดหวังกับการปิดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้นมาก

จิ้งจอกแดงไม่ได้กังวลว่าเป้าหมายจะหลบหนีได้หรือไม่ บางทีอาจไม่มีใครสามารถหลบหนีไปจากเขาได้เลยกระมัง เนื่องจากเขามีวิธีการจับตัวศัตรูอยู่นับไม่ถ้วน และยันต์เลิศล้ำติดตามเงาก็เป็นเพียงหนึ่งในวิธีเหล่านั้นเท่านั้น

เขาไม่ได้เชี่ยวชาญการต่อสู้ อีกทั้งพละกำลังยังด้อยกว่ากุหลาบเสียอีก แต่เขาก็ยังอยู่ในอันดับที่ 68 ในการจัดอันดับแกนทองคำแห่งตำหนักตะวันดำ ซึ่งอันดับสูงกว่ากุหลาบที่ได้อันดับที่ 76

ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายดายมาก นั่นก็เพราะไม่มีนักฆ่าระดับผู้บัญชาการคนใดที่มีทักษะการติดตามทัดเทียมกับเขาได้เลย ตำหนักตะวันดำส่งเขามาในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการติดตามเป้าหมายให้อยู่มือ และลบล้างโอกาสที่เป้าหมายจะหลบหนีไปได้!

“ทุกคนตั้งใจด้วย เป้าหมายหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เตรียมพร้อมต่อสู้!” ในครั้งนี้จิ้งจอกแดงก็ไม่พลาดเช่นกัน เขาสังเกตเห็นตำแหน่งคร่าว ๆ ของเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าซึ่งกินพื้นที่ประมาณหกลี้ และดูเหมือนว่าจะมีปุ่มเล็ก ๆ นูนขึ้นมาจุดหนึ่งภายในป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ทำให้มันดูไม่เด่นชัดแต่อย่างใด

เฉินซียืนอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามลม ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังฟากฟ้าอันไกลโพ้น

ณ ฟ้าไกลมีกลุ่มจุดสีดำเล็ก ๆ ที่กำลังบินมาที่นี่ด้วยความเร็วสูง จิตสังหารปกคลุมหนาแน่นจนอากาศ ดูเหมือนเมฆมืดที่พัดผ่านชอบกล

เฉินซียกมุมปากขึ้นดูเย็นเยียบ เขาเตรียมตัวรับมือศึกในวันนี้มานานแล้ว ในขณะนี้ ขณะที่เขามองกลุ่มนักฆ่าตำหนักตะวันดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่ากลัว เขากลับไม่รู้สึกประหม่าสักนิด ทว่ามีเพียงจิตสังหารอยู่ภายในเท่านั้น

เขาไร้ความคิดไขว้เขวใด ๆ ทำให้ใจกระจ่างไม่เหมือนเคย รอเพียงจังหวะเหมาะที่จะซัดกระบวนท่าออกไปอย่างไร้ความลังเลก็เท่านั้น

เพราะเขาไม่ชอบเป็นฝ่ายรับมือหรือรับการกระทำใด ๆ ไม่ชอบถูกผู้อื่นมองว่าเป็นเหยื่อ ครั้งนี้เขาจึงหมายให้พวกนั้นรู้ว่าใครเป็นนักล่าและใครเป็นเหยื่อกันแน่!

บนฟากฟ้า จิ้งจอกแดงและกุหลาบหยุดเคลื่อนไหว นักฆ่าชุดดำทั้งร้อยห้าคนที่อยู่เบื้องหลังพลันกระจายตัวออกไป กลิ่นอายทั้งหลายพุ่งตรงไปยังจุดที่อยู่ห่างไกลตรงนั้น

จิตสังหารไร้อารมณ์อื่นเจือปนดูกดดันแผ่ปกคลุมสวรรค์และโลก ทำให้สัตว์อสูรที่อยูู่ใกล้เคียงในระยะร้อยลี้ดูคล้ายกับสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่นี้

กุหลาบยกมือขาวขึ้นรวบเส้นผมสีดำไว้หลังใบหู โซ่สีม่วงที่ข้อมือเปล่งเสียงกรุ๋งกริ๋งแปลกประหลาด ทำเอาใจคนเต้นแรง นางจ้องมองเฉินซีด้วยดวงตาเย็นเยียบไร้อารมณ์เหมือนว่านางกำลังจ้องคนตาย

เป็นเพราะก่อนหน้าคนผู้นี้หลบหนีจากวงล้อมของนางไปได้ ดังนั้นคราวนี้นางจะไม่ยอมให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก!

เขามองเฉินซีที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ณ ที่ไกล มุมปากของจิ้งจอกแดงระบายยิ้มน่ากลัว ท่าทีแลดูคล้ายสตรี ขณะเอ่ยด้วยเสียงไม่รีบร้อนขึ้นมาว่า “เจ้ารู้ว่าหนีไปก็เปลืองแรงเปล่า จึงไม่คิดหนีอย่างนั้นหรือ? เอาอย่างนี้ก็ได้ ลูกค้าที่ไว้วางใจให้ตำหนักตะวันดำของเราทำการลอบสังหารเจ้า น่าจะยินดีที่จะได้เห็นว่าเจ้าตายอย่างน่าเศร้าด้วยสองตาของพวกเขาเอง”

จิ้งจอกแดงไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างใจร้อน แต่กลับเริ่มสร้างผนึกขึ้น ก่อนจะหยิบกระจกที่ปล่อยระลอกพลังออกมา

กระจกนี้ถูกเรียกว่ากระจกแห่งการแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นสมบัติที่หายากและมหัศจรรย์นัก มันไร้ความสามารถในการโจมตีใด และผลลัพธ์ของมันก็เรียบง่ายมาก คือมันสามารถแสดงภาพทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงได้

แม้ว่าอีกคนที่ถือกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนไว้จะอยู่ห่างออกไปล้านลี้ ก็จะยังสามารถเห็นทุกอย่างผ่านกระจกราวกับตนอยู่ตรงนั้นด้วย ทำให้มันเป็นสมบัติน่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย

เห็นได้ชัดว่าจิ้งจอกแดงทำเช่นนี้ เพราะต้องการให้ใครบางคนที่อยู่ห่างไปเท่าไรไม่อาจรู้ได้ ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ด้วย

เฉินซีเดาได้ว่าหวงฝู่จิ่งเทียนและพวกตาเฒ่าประหลาดพวกนั้นคงนั่งรวมกันอยู่หน้ากระจกแห่งการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ไหนสักที่และกำลังจ้องมองเขาอยู่เป็นแน่ แต่ชายหนุ่มไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เห็นแล้วมันทำไมเล่า? ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกันเสียหน่อย

ก็เหมือนที่เฉินซีคาดเดา ในขณะนี้ ณ พื้นที่ภายในตำหนักจ้าวปัญญาที่เต็มไปด้วยปราณเซียน กระจกแห่งการแลกเปลี่ยนกำลังลอยอยู่กลางอากาศพลางฉายภาพเหตุการณ์อยู่

เมื่อเห็นเฉินซีถูกนักฆ่าแห่งตำหนักตะวันดำปิดล้อม จิตใจของหวงฝู่จิ่งเทียน นักพรตเต๋าหลงเหอ โม่หลานไห่ จ้าวจื๋อเหม่ย ท่านหลิวเสี่ยว และชงซวี่ก็สดชื่นขึ้น สีหน้าแววตาดูตื่นเต้น

“ตำหนักตะวันดำนั้นคู่ควรกับการเป็นกลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจริง ๆ จะสังหารสหายตัวกระจ้อย แต่กลับส่งกองกำลังมาตั้งมาก เป็นการสิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย คราวนี้เด็กนี่ได้ตายอนาถเป็นแน่!” โม่หลานไห่ผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งเกาะฉลามมังกรว่า

หวงฝู่จิ่งเทียนแห่งตำหนักจ้าวปัญญาส่ายหน้าพลางหัวเราะเสียงเย็น “พวกเราทั้งหกคนจ่ายเงินจำนวนมากให้ตำหนักตะวันดำจัดการกับเด็กคนนั้น การส่งนักฆ่าไปจำนวนมากจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

“ข้าไม่ได้กังวลกับเรื่องพวกนี้เลย ตราบใดที่สมบัติของเด็กคนนั้นตกอยู่ในมือเราอย่างปลอดภัยได้ ไม่ว่าจะจ่ายไปมากแค่ไหนก็นับว่าคุ้มค่า” นักพรตเต๋าหลงเหอหัวร่อ

สายตาของทุกคนลุกโชนเมื่อสมบัติในความครอบครองของเฉินซีถูกกล่าวถึง พวกเขาต่างจ้องไปยังกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนราวกับอยากจะลากเฉินซีออกมาจากกระจกเสียให้ได้!

บนท้องฟ้าเหนือเนินเขาเล็ก ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยป่า ทั้งสองฝ่ายยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล สองฝ่ายไม่พูดไม่จาอันใด

แต่ละฝ่ายต่างมั่นใจว่าจะสามารถสังหารศัตรูในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ เช่นนั้นจะต้องเปลืองน้ำลายไปไย?

แม้จะรู้ว่าฝั่งตนครองความได้เปรียบอยู่ จิ้งจอกแดงก็ยังตัดสินใจส่งคนไปหยั่งเชิงศัตรูก่อนสักสองสามคน เขาเคยประสบกับการต่อสู้นับไม่ถ้วนจึงรู้ดีว่าตนเองไม่อาจประมาทได้ เพราะเฉินซียังรอดชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ ความแข็งแกร่งอีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดาแน่

จากนั้นเขาก็เรียกลูกน้องห้าคนออกมา และพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “จบให้เร็วเล่า”

ทั้งห้าคนนี้ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ แม้ว่าเป้าหมายจะเป็นเพียงคนคนเดียว แต่ก็สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือผู้บัญชาการกุหลาบได้ ดังนั้นจะประมาทความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไม่ได้ หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว พวกเขารู้ว่าคงไม่เหมาะ แต่หากเป็นการต่อสู้ห้าต่อหนึ่ง พวกเขาก็มั่นใจว่าจะฆ่าอีกฝ่ายได้ หากใครอยากมีรากฐานมั่นคงในตำหนักตะวันดำ ยิ่งถ้าเป็นนักฆ่าธรรมดาด้วยแล้ว ก็จำต้องเรียนรู้การทำงานกับคู่หูให้ดี

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาอยู่ถึงรอดมาได้ตลอดหลายปีจนถึงตอนนี้

นักฆ่าชุดดำทั้งห้าคนเดินเข้ามา ทั้งหมดยืนอยู่ในตำแหน่งที่จัดไว้อย่างดี ทำให้สามารถผนึกกำลังกันได้จากระยะไกล ใช้วิธีการต่อสู้แบบไร้จุดบอดเพื่อจับกลิ่นอายเฉินซีไว้ได้ไม่หลุด

ก่อนที่คนเหล่านั้นจะเข้าใกล้ เฉินซีก็ขยับมือ กล้ามเนื้อพลันนูนขึ้น ปราณจ้าววิญญาณจำนวนมากถูกถ่ายลงไปในธนูทลายดาราสีดำสนิทที่เรืองแสงออกมาสลัว ๆ ในขณะที่เขาโก่งคันธนูสร้างเป็นรูปจันทร์เต็มดวง

ตู้ม!

ทันใดนั้น เฉินซีก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากร่างราวกับกระแสน้ำ ผมสีดำของเขาปลิวไสว รอบกายเต็มไปด้วยจิตสังหาร รวมทั้งท่าทางในการโก่งศรเป็นรูปจันทร์เต็มดวง เขาจึงดูเหมือนเทพเจ้าแห่งยุคโบราณที่ยิงดวงตะวันและกำจัดสัตว์ร้ายที่สร้างความหวาดกลัวหวาดผวาให้สิ้นไป

คนทั้งห้าที่เคลื่อนไหวอยู่รอบกายเขารู้สึกหายใจไม่ออก ใบหน้าล้วนซีดเซียว ร่องรอยความผันผวนเกิดขึ้นในใจเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเฉินซี

แม้ว่าจะเพียงชั่วครู่ แต่เฉินซีก็ฉวยจังหวะนี้ไว้อย่างแม่นยำ มือที่กำสายธนูพลันขยับต่อเนื่องห้าครั้ง ราวกับกำลังบรรเลงเพลงพิณก็มิปาน

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

ราวกับเสียงที่พรากชีวิตคน เหมือนเสียงกลองแห่งความตายที่กระหน่ำอยู่ในใจคน ศรไร้รูปร่างห้าดอกเปลี่ยนเป็นแสงห้าสายที่กรีดผ่านฟ้า

ตู้ม!

ทันใดนั้น ร่างของนักฆ่าชุดดำก็ระเบิดออกราวกับถูกค้อนเซียนทุบ แรงกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ร่างที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ระเบิดออก เป็นหยาดเลือดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า

พลังของศรเพียงลูกเดียวกลับน่ากลัวถึงขนาดนี้!

จริง ๆ แล้วนับว่าเป็นเรื่องปกติมาก การยิงธนูนั้นแตกต่างจากวิธีการต่อสู้อื่น ๆ หากไม่ถูกเป้าก็ไม่เป็นไร แต่หากถูกก็สังหารเป้าหมายได้อย่างแน่นอน พลังโจมตีของมันน่าเกรงขามมาก และระยะโจมตีที่มีประสิทธิภาพก็ไกลมากจนไม่อาจหาอาวุธใดเปรียบ

แม้ว่าศรนี้จะเป็นเพียงศรไร้รูปร่าง แต่ก็อัดแน่นไปด้วยปราณจ้าววิญญาณของเฉินซีไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาและเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมอยู่อีก ทำให้มีความรวดเร็วเหนือสิ่งใด ดังนั้นถึงมันจะไม่อาจจับต้อง แต่ก็เป็นอาวุธร้ายแรงที่ใช้ล่าสังหารศัตรูและทำให้ศัตรูไม่อาจหาทางป้องกันได้

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

พริบตาเดียวกันนั้น ร่างของคนอีกสี่คนก็ระเบิดออก เกิดเป็นฝนโลหิตที่โปรยลงจากฟ้า

นักฆ่าชุดดำทั้งห้าคนที่จิ้งจอกแดงส่งมาพลันพบกับจุดจบ ไร้โอกาสจะเปล่งเสียงร้องก่อนตายด้วยซ้ำ ฉากนองเลือดเช่นนี้ทำให้ทุกคนหรี่ตาลง

พวกเขาจำธนูทลายดาราในมือของเฉินซีได้ ย่อมรู้ว่าเดิมทีมันเป็นสมบัติจ้าววิญญาณของฉีอิ๋น แต่เมื่ออยู่ในมือเฉินซี พลังที่มันสำแดงออกมาก็ทำเอาทุกคนไม่อยากเชื่อ

สหายผู้นี้ไม่ใช่แค่ผู้บ่มเพาะปราณภายใน และการแปรสภาพร่างกายก็แกร่งมาก เหนือกว่าฉีอินด้วยซ้ำ!

ฉับพลันที่ได้รู้เรื่องนี้ หัวใจของทุกคนพลันรู้สึกเยียบเย็นลงทันใด ทว่าก่อนจะลงมือครั้งนี้ ข้อมูลที่พวกเขาได้มาชี้ให้เห็นเพียงว่าเฉินซีเป็นเพียงผู้บ่มเพาะปราณภายในคนหนึ่ง แต่ไม่ได้กล่าวว่าแท้จริงแล้วเขาฝึกวิชาแปรสภาพร่างกายไปด้วย

แม้ข้อมูลจะผิดพลาดไปเล็กน้อย แต่ก็อาจทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงได้ นักฆ่าทุกคนจำต้องจำสิ่งนี้ให้ขึ้นใจ ตอนนี้ การแปรสภาพร่างที่เฉินซีเผยให้เห็นย่อมต้องทำให้สถานการณ์เกิดความเปลี่ยนแปลงแน่

การตายของคนทั้งห้าทำให้ความเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเปิดเผยออกมา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีต่อการลงมือในขั้นต่อไปเพราะพวกเขายังคงความได้เปรียบอยู่

“สมบัติจ้าววิญญาณ! ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร! คนคนนี้มีความลับมากมายจริงแท้… ” เมื่อพวกตาเฒ่าประหลาดในตำหนักจ้าวปัญญาได้เห็นเช่นนั้นแล้ว นอกจากความตกใจในตอนแรก ไม่นานพวกเขาก็กลับคืนสู่ความปกติ

เรื่องที่พวกเขากังวลคือ ไม่ว่าเฉินซีจะมีความสามารถในการต่อสู้แกร่งเพียงใด สุดท้ายก็ยังตัวคนเดียว ขณะนี้เขาถูกนักฆ่าจากตำหนักตะวันดำกว่าร้อยคนล้อมไว้ ทั้งยังมีนักฆ่าระดับผู้บัญชาการสองคนที่นำภารกิจครั้งนี้ ดังนั้นจุดจบเดียวของชายหนุ่มย่อมเป็นความตาย!

ตึง! ตึง! ตึง!

เฉินซีดูเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นสถานการณ์ปัจจุบันของตนเท่าไร จากนั้นเขาก็แผลงศรเข้าใส่นักฆ่าชุดดำรอบกายไม่หยุด

แต่น่าเสียดาย หลังจากลองหยั่งเชิงไปแล้ว นักฆ่าชุดดำเหล่านี้จึงเผยพละกำลังแท้จริง พวกเขาล้วนหลบศรได้ทุกดอก การโจมตีทั้งหมดของเฉินซีไม่ถูกเป้าคล้ายกับไร้ประโยชน์

ตอนนี้ ทุกคนมองว่าเฉินซีเหมือนสัตว์ร้ายถูกขังกรงตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างสิ้นหวัง

ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าจุดที่ศรไร้รูปที่เฉินซียิงออกไปกลับมีแสงเรืองอ่อน ๆ ปรากฏขึ้น!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท